ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก – บทที่ 300 ผู้ปกป้องที่คาดไม่ถึง

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 300 ผู้ปกป้องที่คาดไม่ถึง

“หรือว่า…..สัตว์ประหลาด…หรือสัตว์หายนะนี่จะกินทุกคนไปหมดแล้ว”

เม่ยหลังหลันพูดพลางปิดปากของตนด้วยความหวาดกลัวต่อสิ่งที่คิด

ไม่มีทาง”

หลู่จี้ได้พูดความคิดเห็นของตนออกมาต่อ “ถ้าพวกนี้โดนกินจริง รอยเลือดที่ผสมควรจะต้องมหาศาลยิ่งกว่านี้”

“กัปตัน ท่านคิดว่ายังไง” จางหยวนและพวกหันไปหาเฉินเฉียงเป็นตาเดียวกัน

เฉินเฉียงในตอนนี้แสดงออกมาด้วยสีหน้าที่แสนจะยับย่น

หลังจากมองไปรอบๆแล้ว เฉินเฉียงก็ได้ส่งสัญญาณมือออกไปแล้วพูดออกมา “ไปกันเถอะ ข้าว่าการต่อสู้เพิ่งจะเริ่มได้ไม่ถึงวันแน่นอน พวกเราควรจะตามร่องรอยที่เหลือแล้วไปดูให้เห็นกับตา”

“ต่อให้มันจะมีความหวังเพียงน้อยนิด แต่ยังไงซะจะดีกว่าหากพวกเราไปทันและช่วยคนเหล่านี้หากยังเหลือรอด”

ทุกคนรีบพยักหน้ารับก่อนที่จะตรวจสอบพื้นที่โดยรอบ ในที่สุด พวกเขาก็พบร่องรอยตามที่เฉินเฉียงกล่าว

เฉินเฉียงเมื่อเห็นก็รีบทะยานขึ้นฟ้าแล้วปล่อยกระแสจิตของตนออกไปค้นหาพื้นที่โดยรอบในทันที

หลังจากผ่านไปประมาณสิบนาที เขาก็ได้พบเจอศพของมนุษย์ปรากฏอยู่ระหว่างทาง

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่พวกเขาตรวจสอบดูแล้ว นอกจากเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ตกตาย พวกเขายังพบทั้งซากศพของสัตว์ประหลาดและมนุษย์กลายพันธุ์

“กัปตัน ทำไมมันถึงดูเหมือนเกิดการต่อสู้ระหว่างสามเผ่าพันธุ์เลยล่ะ” จางหยวนพูดออกมาอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น

เฉินเฉียงไม่พูดอะไรออกมา เขาทำเพียงตรวจสอบศพไปทีละศพเท่านั้น

มีทั้งหมดแปดศพ

ศพหนึ่งนั้นเป็นศพของสัตว์ประหลาด อีกเจ็ดศพที่เหลือ หกเป็นศพมนุษย์ระดับนักรบสายเลือด อีกหนึ่งเป็นศพของมนุษย์กลายพันธุ์ที่อยู่ในระดับนายพลทักษะพิเศษขั้นสูง

หลังจากตรวจสอบศพทั้งหมดดูแล้ว ในขณะที่เฉินเฉียงไปตรวจสอบศพของสัตว์ประหลาด เป็นตอนนี้ที่เขาได้สะดุ้งตัวโหยงในทันที จนก้นไปจ้ำเบ้าอยู่กับพื้นด้วยท่าทางตกตะลึง

“กัปตัน เกิดอะไรขึ้น”

เฉินเฉียงได้ชี้ที่สัตว์ประหลาดตัวสุดท้าย มันคือหมูเขี้ยวดาบ แต่เขากลับพูดคำหนึ่งออกมาแทน “สัตว์หายนะ”

“ห้ะ”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ จางหยวนและพวกรีบตรงเข้าไปยังหมูเขี้ยวดาบตัวนี้ในทันที

ร่างของมันนั้นมีกระบี่ยาวเสียบทะลุหัวใจของมันตรงๆ แต่กระนั้นดวงตาของมันกลับแดงฉานประดุจดั่งการตกตายในขณะที่ยังมีความแค้นอย่างที่สุด

“กัปตัน นี่….ไอ้นี่มองยังไงก็เป็นสัตว์ประหลาดชัดๆ แล้วมันจะเป็นสัตว์หายนะได้ยังไง”

เมื่อพูดจบ หลางซานเอ๋อก็ได้เตะร่างของหมูเขี้ยวดาบไปทีหนึ่งแล้วพูดออกมา “พวกเราก็ฆ่าไอ้หมูแบบนี้มามากมายแล้วนา ข้าก็ไม่เห็นมันต่างจากไอ้พวกนั้นตรงไหน”

“เอ่อออออ นอกเสียจากว่าดวงตาที่แดงก่ำของมันที่ราวกับจะปูดโปนนี่ ข้าเองก็ว่ามันก็เหมือนๆกับหมูป่าเขี้ยวดาบทั่วไปนา”

คนอื่นๆเองก็พยักหน้ารับอย่างเห็นพ้อง

เฉินเฉียงไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาเพียงยืนขึ้นจากพื้น ก่อนที่จะเดินตรงไปที่หัวของหมูเขี้ยวดาบตนนี้ด้วยท่าทางเย็นยะเยียบ ก่อนที่จะวางมือซ้ายที่ตรงกลางหัวของมัน และปล่อยคลื่นพลังหนึ่งจากมือ

เป็นตอนนี้ที่แผ่นแก่นพลังงานแผ่นหนึ่งได้ปรากฏขึ้นในมือ

ฉากนี้ทำให้ทุกคนถึงกับยืนมองกันอย่างโง่งม

“นี่….สัตว์ประหลาดกลายพันธุ์….เหรอ เจ้านี่คือตัวตนของสัตว์หายนะงั้นรึ”

“ฉิบหายล่ะ” หลู่จี้สบถออกมาในทันใด “กัปตัน ดูเหมือนว่าสัตว์หายนะนี่คนสร้างจะเป็นพวกมนุษย์กลายพันธุ์นะนั่น”

“ก่อนหน้านี้พวกมันฝังแผ่นแก่นพลังงานกับมนุษย์เพียงเท่านั้น นึกไม่ถึงว่าในตอนนี้แม้แต่สัตว์ประหลาดพวกมันก็ไม่เว้น”

“เจ้าสิ่งที่เรียกว่าสัตว์หายนะนี่น่าจะเป็นสัตว์ประหลาดที่ถูกครอบงำโดยแผ่นแก่นพลังงานนั่น”

“เป็นไปได้ว่าสัตว์ประหลาดเหล่านี้ถูกควบคุมโดยมนุษย์กลายพันธุ์”

“พวกมันวางแผนที่จะทำอะไรกันแน่”

ด้วยการที่ผู้พูดคือหลู่จี้ที่เป็นมันสมองของกลุ่ม คำพูดของเขาเองย่อมมีน้ำหนักพอที่ทุกคนจะไม่โต้แย้งแต่อย่างใด

หลังจากได้รับฟังการวิเคราะห์นี้แล้ว สายตาทุกคนต่างก็ตกอยู่ในความประหวั่นพรั่นพรึง

ทั้งสามเผ่าพันธุ์ต่างก็พยายามรักษาดุลอำนาจมาโดยตลอด และในช่วงไม่กี่ปีมานี้เองที่กำลังรบของเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้เริ่มที่จะเพิ่มขึ้นและแข็งแกร่งขึ้นมา

แต่ก็คงไม่มีใครนึกว่า พวกมนุษย์กลายพันธุ์เองจะเริ่มเข้าไปควบคุมฝั่งสัตว์ประหลาดแทนที่

และนี่มันเปรียบได้ดั่งการที่มนุษย์ต้องรับศึกหนักอย่างการเผชิญหน้ากับสองเผ่าพันธุ์พร้อมกันเลยไม่ใช่รึไงกัน

“กัปตัน ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะแย่กว่าที่เราคิดไว้นะ หากเป็นแบบนี้ต่อไปข้าเกรงว่าวิถีชีวิตของเผ่าพันธุ์คงต้องเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง”

“ไอ้พวกกลายพันธุ์นี่คิดจะบังคับให้เราตกตายไปให้หมดเลยรึไงวะ”

เพียงจางหยวนพูดออกมา เฉินเฉียงกลับส่ายหน้าปฏิเสธความคิดนี้ทิ้งไปในทันที

“ไม่มีทางหรอกน่า พี่ชายทั้งหลาย พวกท่านลืมอะไรไปรึเปล่า”

“พวกกลายพันธุ์นั้นไม่อาจสืบพันธุ์ได้โดยง่าย พวกมันเองก็มีเพียงอายุที่ยาวนานกว่าพวกเราเพียงเท่านั้น”

“หากพวกมันฆ่าล้างพวกเราไปแล้วพวกมันจะได้ประโยชน์อะไรกัน”

“หากคิดแบบนั้นจริง แม้แต่เผ่าพันธุ์ของมันเองก็ยังต้องดับสูญตามๆไป”

“และเป้าหมายที่พวกมันคิดควบคุมพวกเรานั้น นั่นย่อมหมายความว่าพวกมันไม่ได้ต้องการให้พวกเราสาบสูญไปแต่อย่างใด”

คำพูดของเฉินเฉียงเองนั้นก็ไม่ใช่จะไร้เหตุผลสักทีเดียว และนี่เองก็ทำให้ทุกคนเข้าใจในทันทีว่าเรื่องนี้ต้องมีเบื้องหลังบางอย่างซ่อนอยู่

“แต่กัปตัน ท่านจะอธิบายเรื่องนี้ยังไงกัน”

จางหยวนเองก็ยังอดไม่ได้ที่จะถามออกมาพลางชี้ลงพื้นไปยังร่างของหมูป่าเขี้ยวดาบ

“ข้าว่าไอ้ตัวนี้มันยังมีอะไรแปลกๆอยู่นะ” เฉินเฉียงเองก็ได้ชี้ไปที่ซากร่างของหมูป่าเขี้ยวดาบก่อนจะพูดต่อ “ไอ้หมูป่าเขี้ยวดาบตัวนี้มันอยู่ในระดับนายพลขั้นกลางเพียงเท่านั้น เมื่อคิดถึงศพของเผ่าพันธุ์เราที่อยู่ที่นี่ ทุกคนนั้นต่างก็อยู่ในระดับนักรบสายเลือด จะมีที่ระดับสูงที่สุดก็มนุษย์กลายพันธุ์นั่นที่อยู่ในระดับนายพลทักษะพิเศษเพียงคนเดียว”

เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงก็ได้นำแผ่นแก่นพลังงานออกมาจากนายพลทักษะพิเศษขั้นสูงคนนี้

“เดี๋ยวนะ กัปตัน นี่ท่านบอกได้แม้แต่ระดับของไอ้หมูนี่เลยเหรอ ไม่สิ แม้แต่ระดับของไอ้กลายพันธุ์นี่อีก”

จางหยวนถามออกมาพลางมองเฉินเฉียงอย่างสงสัย

และไม่ใช่เพียงจางหยวนคนเดียวเท่านั้นที่สับสน

ยังไงซะไม่เพียงจะมีแค่หมูเขี้ยวดาบเท่านั้นที่ตกตาย แม้แต่ซากร่างอื่นๆเองล้วนแล้วแต่ตกตายจนหมดสิ้น

“เอ่อออออ เอาไปข้ามีวิธีการเฉพาะตัวที่ใช้ในการบ่งบอกเรื่องนี้ก็แล้วกัน ส่วนรายละเอียด เราคงต้องคุยกันยาวๆทีหลังล่ะนะ” เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงได้เปลี่ยนท่าทางก่อนที่จะพูดต่อไป “ดูนั่น อาวุธที่ปักอยู่ที่หัวใจเจ้าหมูนี่นั้นน่าจะเป็นของมนุษย์กลายพันธุ์คนนี้”

“ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น”

หนอนหนังสือหลู่จี้หยักหน้ารับ

“มันก็น่าแปลก หากว่าไอ้สัตว์หายนะนี่จะถูกฆ่าโดยมนุษย์กลายพันธุ์ ทั้งๆตัวมันเองก็สมควรจะเป็นผลงานของพวกมนุษย์กลายพันธุ์ด้วยน่ะ แล้วหากเป็นเช่นนั้นจริง มนุษย์กลายพันธุ์คนนี้จะฆ่ามันไปทำไม”

“ไม่ต้องคิดให้มากความหรอกน่า” เฉินเฉียงได้พูดออกมาด้วยท่าทางเย็นชา “เดี๋ยวพวกเราไปเห็นมันก็รู้เอง”

“จางหยวน ด้วยระดับการบ่มเพาะของเจ้า ตราบใดที่พวกเจ้าร่วมมือกัน ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าจะสามารถจัดการสัตว์หายนะนี่ได้”

“เดี๋ยวข้าขอไปดูลาดเลาก่อนแล้วกันว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

จางหยวนพยักหน้ารับ “กัปตัน อย่าได้กังวล ดูแลตัวเองด้วย”

หลังจากพูดจบ เฉินเฉียงก็ได้กางปีกและทะยานขึ้นฟ้าไป ก่อนที่จะแผ่กระแสจิตของตน และติดตามร่องรายความโกลาหลที่เหลือทิ้งเอาไว้ไปอย่างรวดเร็ว

ครึ่งวันผ่านไป ในที่สุด กระแสจิตของเฉินเฉียงก็ได้พบกลุ่มคนที่ห่างออกไปประมาณยี่สิบไมล์

แต่ที่น่าแปลกประหลาดก็คือ คนกลุ่มนี้แล้ว นอกจากมนุษย์แล้วยังมีมนุษย์กลายพันธุ์ที่ปะปนอยู่ด้วย

ที่ภาคพื้นในตอนนี้มีมนุษย์อยู่ประมาณสองร้อยคน โดยระดับการบ่มเพาะของมนุษย์ที่สูงที่สุดก็คือนักรบสายเลือด ส่วนบนฟ้านั้นมีนายพลทักษะพิเศษราวๆยี่สิบคน พวกเขาพยายามปกป้องมนุษย์อย่างขะมักเขม้น

แถมดูจากท่าทางแล้ว ดูเหมือนว่ามนุษย์กลายพันธุ์เหล่านี้ไม่ได้มีท่าทีเหยียดชาติพันธุ์แต่อย่างใด ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วก็คงไม่ต้องใจปกป้องคนกลุ่มนี้ขนาดนั้นเป็นแน่

และเมื่อเห็นเป็นแบบนี้แล้ว เฉินเฉียงได้กระพือปีกของตนเพื่อเร่งความเร็วไปหาคนกลุ่มนี้ในทันที

“กริ๊กกริ๊กกริ๊กกริ๊กกริ๊กกริ๊กกริ๊ก”

เสียงตกกระทบระหว่างกันของปีกสีเงินที่มีขนาดกว่าเก้าเมตรของเฉินเฉียงนี้ทำให้เหล่านายพลทักษะพิเศษและเผ่าพันธุ์มนุษย์จำต้องจับจ้องไปที่เขาในทันที

ท่ามกลายนายพลทักษะพิเศษเหล่านี้ มีสี่คนที่อยู่ในระดับสูง ส่วนที่เหลือจะอยู่ในระดับกลางและต่ำปนๆกันไป

และด้วยการที่พวกเขาเองก็กำลังหนีเอาชีวิตรอดอยู่เช่นกัน เมื่อนายพลทักษะพิเศษทั้งหลายได้เห็นปีกของเฉินเฉียงแล้ว ทุกคนต่างก็คิดว่าได้พบกับผู้ช่วยชีวิตเข้าให้แล้ว ทุกคนจึงได้หยุดบินกันอย่างพร้อมเพรียง

“เรียนนายท่าน สัตว์หายนะพวกนี้ใกล้เข้ามาแล้ว แถมพวกเราในตอนนี้ต่างก็บาดเจ็บกันถ้วนหน้า”

หนึ่งในผู้ที่อยู่ในระดับนายพลทักษะพิเศษขั้นสูงได้กล่าวรายงานออกมา

เฉินเฉียงที่ยืนตระหง่านวางมือไพล่หลังอยู่กลางอากาศนั้นได้ถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มลึก “เกิดอะไรขึ้นมนุษย์เหล่านี้ เหตุใดพวกเจ้าถึงพามาด้วยได้กัน เจ้าเป็นคนในอาณัติของใคร แล้วเจ้ามีภารกิจใดในครั้งนี้”

“เรียนนายท่าน ข้าอยู่ใต้อาณัติของฉินเจียงหวัง ตัวข้ามีนามว่าเจิ้งเชิง แต่เดิม ภารกิจของพวกข้าคือการเข้าไปยังตึกจอมพลแดนใต้เพื่อโจมตีกองกำลังมนุษย์”

แต่ก่อนที่พวกข้าจะได้ไปถึงที่หมายก็ได้พบเจอมนุษย์เหล่านี้กำลังต่อสู้กันอยู่ และนั่นทำให้พวกเราได้พบสัตว์หายนะประมาณห้าตัวในการสู้รบนี้

ตัวข้าที่เดียดฉันท์ไอ้พวกสัตว์หายนะเหล่านี้อยู่ก่อนแล้วกอปกับการได้เห็นพวกเขาต่อสู้อย่างสุดแรงแม้จะไม่มีโอกาสชนะแม้แต่น้อย ทำให้ข้านั้นเปลี่ยนเป้าหมายแล้วเข้าไปช่วยพวกเขาแทนก่อนเป็นอันดับแรก

“เดี๋ยวนะ ทำไมข้าว่าข้าฟังเจ้าอธิบายไม่เข้าใจนะ” เฉินเฉียงยกมือขึ้นมาหยุดเจิ้งเชิงเอาไว้ในทันทีเมื่อได้ยิน ก่อนที่จะขมวดคิ้วแน่นแล้วถามออกมา “ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าเจ้าไปเพื่อโจมตีกองกำลังมนุษย์ไม่ใช่รึ แล้วทำไมถึงได้กลับกลายมาเป็นปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์ซะล่ะ”

“….เรียนนายท่าน มีสิ่งใดผิดแปลกกัน”

“ฮี่ฮี่ฮี่ ”เฉินเฉียงยิ้มออกมา “แล้วเจ้าไม่คิดว่คำพูดของเจ้านั้นมันขัดกันเองอยู่บ้างรึไง เจ้าบอกจะไปโจมตีกองกำลังของมนุษย์ แต่ในตอนนี้เจ้ากลับมาปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์เนี่ยนะ”

“นายท่าน ก่อนพวกเราจะเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ พวกเราต่างก็เป็นมนุษย์มาก่อนไม่ใช่รึ” เจิ้งเชินได้ยืดอกขึ้นสูงก่อนจะพูดออกมา “แล้วก็ ในการต่อสู้ระหว่างเผ่าพันธุ์นั้น มันเป็นเรื่องของนักรบของทั้งสองเผ่าพันธุ์เพียงเท่านั้นที่จะวัดในความทรงพลังของกันและกัน”

“ในฐานะมนุษย์ การพบเจอว่าพลเรือนที่ไร้ทางสู้กำลังตกอยู่ในอันตรายก็ควรยื่นมือเข้าช่วยไม่ใช่รึ”

“แล้วไอ้ความขัดแย้งระหว่างนักรบนั่นมันเกี่ยวข้องยังไงกัน”

เมื่อเห็นท่าทางอันห้าวหาญไร้ซึ่งความกลัวที่เจิ้งเชิงแสดงออกมานี้แล้ว เฉินเฉียงเองก็อดไม่ได้ที่จะนึกยอมรับนับถือขึ้นมาในใจ

“พูดได้ดี”

เฉินเฉียงตบมือพร้อมกับกล่าวคำสรรเสริญออกมาสั้นๆ ก่อนที่จะก้มหน้ามองไปยังนายพลทักษะพิเศษที่มีชื่อว่าเจิ้งเชิงผู้นี้

อย่างไรก็ตาม เป็นตอนนี้ที่กระแสจิตของเฉินเฉียงเองก็ได้ตรวจพบสัตว์ประหลาดที่มีจำนวนกว่าสามสิบตนที่กำลังพุ่งตรงมาในอีกทิศทางหนึ่งที่อยู่ห่างไปยี่สิบกว่าไมล์

นี่ทำให้เฉินเฉียงนั้นหน้าตึงไปในบัดดลก่อนที่จะรีบถามออกมา “เจิ้งเชิง ไม่ใช่ว่าเจ้าพึ่งบอกว่ามีสัตว์หายนะแค่ห้าตัวไม่ใช่เหรอ”

แม้จะเห็นท่าทางแปลกประหลาดของเฉินเฉียงแล้ว แต่เจิ้งเชิงที่ยังไม่รับรู้ในเรื่องนี้ก็พยักหน้ารับ “ใช่แล้วครับนายท่าน หนึ่งในนั้นเป็นหมูป่าเขี้ยวดาบและมันได้ตกตายไปกับพี่น้องของข้าไปหนึ่งตัว”

“และถ้าข้าเข้าใจไม่ผิด พวกมันควรจะเหลืออีกสามตัวเท่านั้น”

“ด้วยการที่สัตว์หายนะพวกนี้มันดูราวกับไม่มีสติปัญญาแต่อย่างใด พวกมันไม่ได้เลือกเป้าหมายอย่างเจาะจง แค่เห็นสิ่งมีชีวิตมันก็พุ่งเข้าไปโจมตีแล้ว”

“และด้วยเหตุนี้ทำให้พวกเราหลุดรอดออกมาได้ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ พวกเราก็คงโดนไม่ไล่ฆ่าล่าไม่เลิกอยู่เลยในตอนนี้”

“พอแล้ว”

เฉินเฉียงได้ยกมือขึ้นห้ามปรามก่อนจะพูดออกมา “เจิ้งเชิน เจ้าหยุดอยู่นี่ก่อน และปกป้องพลเรือนพวกนี้เอาไว้ อย่าได้หลบหนีไปเป็นอันขาด”

“อีกไม่นานจะมีใครบางคนตามมาสมทบกับเจ้า”

ก่อนที่จะจากไป เฉินเฉียงก็ได้พูดต่อ “อ้อ แล้วก็จดจำไว้ว่าคนที่กำลังจะมาอยู่นี่เองก็เป็นนายพลแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์”

“ถึงแม้พวกเจ้าจะอยู่คนละฝักฝ่าย แต่ในตอนนี้ การกำจัดสัตว์หายนะสำคัญกว่า พวกเจ้าห้ามต่อสู้กันเป็นอันขาด”

“ห้ะ”

เจิ้งเชิงเมื่อได้ยินก็หน้าตึงขึ้นมาในทันใด เขาหันไปมองคนของตนราวกับจะยืนยันว่าเขาได้ยินสิ่งใดผิดไปหรือไม่ ก่อนที่จะพยักหน้ารับแล้วพูดออกมา “พวกข้าไม่มีปัญหา ตราบใดที่นายพลของมนุษย์ที่ท่านว่าไม่ลงมือก่อน พวกเราเองก็จะไม่ลงมือเช่นกัน”

เมื่อได้ยินแบบนี้ เฉินเฉียงจึงได้รีบส่งข้อความไปบอกทุกคนให้รับรู้เอาไว้ และให้พวกเขาร่วมมือกับกองกำลังของเจิ้งเชิงในการปกป้องพลเรือนมนุษย์เหล่านี้

หลังจากตกลงกับทุกคนในกองกำลังเสร็จสิ้น เฉินเฉียงจึงรีบบินตรงเข้าไปหาฝูงสัตว์ประหลาด

ในตอนนี้ สัตว์ประหลาดเหล่านี้อยู่ห่างจากเขาไปเพียงห้ากิโลเมตรเพียงเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ด้วยกระแสจิตของเขานั้น ตอนนี้เขาพบว่าข้างหลังกลุ่มสัตว์ประหลาดนี้ได้มีหมีดำที่ตัวใหญ่ยักษ์ตามหลังมา

ด้วยกระแสจิตของเขานั้น เขารับรู้ได้ว่าหมีดำตัวใหญ่ยักษ์นี้แม้ว่ามันจะอยู่ในระดับขุนพลขั้นสูงก็จริง แต่ตัวมันนั้นใหญ่กว่าที่ควรจะเป็นมากนัก จนทำให้สัตว์ประหลาดที่มันกำลังไล่เป็นเด็กน้อยไปโดยปริยาย

นอกจากนั้น เฉินเฉียงยังรับรู้ได้ว่า เจ้าหมีดำตัวใหญ่นี้มีดวงตาที่แดงก่ำ ไม่ได้แตกต่างจากหมูป่าเขี้ยวก่อนหน้านี้แต่อย่างใด

และเท่าที่ดูจากท่าทางสัตว์ประหลาดทั้งหลายเหล่านี้ ไม่ว่ามองยังไงก็ตาม มันไม่ได้มีท่าทางจะมาโจมตีเขาแต่อย่างใด แต่มันกำลังวิ่งหนีอย่างสุดชีวิต

เจ้าสัตว์หายนะนี่ แม้แต่สัตว์ประหลาดด้วยกันเองก็ยังไม่เลือกที่จะฆ่าทิ้งเสียกระมัง

และในตอนที่เฉินเฉียงกำลังสังเกตการณ์อยู่นี้ หมีดำตัวยักษ์นี่ก็ไล่หลังเข้าไปหากลุ่มสัตว์ประหลาดด้วยระยะห่างอีกเพียงแค่ไม่ถึงครึ่งกิโลเมตรด้วยซ้ำ

และด้วยระยะนี้ เจิ้งเชิงและพวกก็ยังได้ยินเสียงวิ่งของเหล่าสัตว์ประหลาดอย่างสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น

เมื่อเฉินเฉียงได้เห็นจางหยวนและคนอื่นๆเข้ามาใกล้แล้ว เฉินเฉียงก็ได้ตะโกนออกมา “จางหยวน ไปปกป้องพลเรือนชาวมนุษย์ร่วมกับกองกำลังพี่ชายมนุษย์กลายพันธุ์ตรงนั้นซะ”

เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงเองแม้จะรู้ตงิดใจอยู่บ้าง แต่ในที่สุด เขาก็ยังเลือกที่จะปล่อยเรื่องนี้ให้ขึ้นอยู่กับจางหยวนและพวกตัดสินใจเอาเอง

หลังจากจางหยวนและคนอื่นๆไปถึงแล้ว คลื่นพลังที่แสดงออกมาอย่างเหี้ยมเกรียมของจางหยวนก็ได้ปะทุออกมาในทันที นี่ทำให้เจิ้งเชิงและพวกของตนตื่นตัวไม่น้อยเลยทีเดียว

เพราะไม่ว่ายังไงก็ตาม พวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นศัตรูกัน

ส่วนเหล่าชาวอาณานิคมที่อยู่เบื้องล่างนี้ ด้วยการที่ตอนนี้พวกเขาอยู่ในช่วงเวลาเป็นตาย พวกเขาจึงทำได้เพียงร้องขอและห้ามปรามทั้งสองฝ่ายเอาไว้เท่าที่จะทำได้

เมื่อมาถึงจุดนี้ เมื่อได้เห็นว่าคนของตนถูกนักรบฝั่งศัตรูปกป้องอย่างสุดความสามารถ แถมยังมาขอร้องปกป้องแทนอย่างออกหน้าออกตา นี่ทำให้พวกเขาในฐานะกองกำลังของเผ่าพันธุ์มนุษย์เองก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจไม่น้อย

ก่อนหน้านี้จางหยวนและพวกต่างก็ไม่เข้าใจว่าเฉินเฉียงต้องการอะไรกันแน่ ทำไมเขาถึงได้สั่งออกมาเช่นนั้น แต่เมื่อได้เห็นชาวอาณานิคมของตนนอกจากไม่ได้มีอคติหรือท่าทีเดือดฉันท์แม้แต่น้อยแล้ว พวกเขายังออกโรงปกป้องเสียขนาดนี้ ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขายังบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นมาให้รับฟัง และนี่จึงทำให้จางหยวนและพวกมีท่าทีที่โอนอ่อนลง

นั่นก็เพราะ สำหรับพวกเขาแล้ว ตราบใดที่พวกมนุษย์กลายพันธุ์ไม่คิดลงมือ มีหรือที่พวกเขาจะหาเรื่องก่อน

เป็นตอนนี้ที่เสียงการต่อสู้ได้ดังขึ้นจากที่ห่างไกล พร้อมเสียงสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นของผืนดินที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“กัปตัน พวกเราควรไปช่วยรึเปล่า”

“ไม่” เจิ้งเชินพูดออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “นายท่านสั่งเอาไว้ว่าให้พวกเราปกป้องพลเรือนเหล่านี้ไว้”

จางหยวนเมื่อได้ยินก็เข้าใจได้อย่างกระจ่างชัด

“จางหยวน ถ้าอย่างนั้นทำไมเราไม่ไปผสมโรงร่วมกับหัวหน้ากันล่ะ อย่างน้อยๆก็ไปดูลาดเลาหน่อยก็ยังดี”

“หยุดเลยเอ็ง หลางซานเอ๋อ ข้าว่าทำตามคำสั่งดีกว่า หรือเจ้าคิดจะขัดคำสั่งกัน”

ถึงแม้ว่าจางหยวนจะอยากไปดูการต่อสู้ขนาดไหนก็ตาม แต่ด้วยการที่เฉินเฉียงออกคำสั่งมาโดนเฉพาะในช่วงเวลาแบบนี้ เขาเองก็ทำได้เพียงปกป้องชาวอาณานิคมเหล่านี้เอาไว้

ยิ่งไปกว่านั้นคือ สถานการณ์ของที่นี่นั้นน่าเป็นห่วงกว่า

ชาวอาณานิคมกว่าสองร้อยคนนี้ไม่มีความสามารถในการต่อสู้แต่อย่างใด เพียงแค่พวกเขาคอยปกป้องเอาคนเหล่านี้เอาไว้เผื่อว่าจะมีสัตว์หายนะออกมาโจมตีได้ทุกเมื่อนี่ก็ถือได้ว่าตึงมือมากแล้ว

“ตู้ม……….ตู้ม……….ตู้ม……….ตู้ม……………..”

เสียงวิ่งอันหนักแน่นของหมีดำยักษ์นี้ทำให้บรรดาสัตว์ประหลาดที่วิ่งหนีอยู่ตรงหน้าต่างก็วิ่งได้แทบจะไม่ตรงเป็นเส้นตรงมากนัก พวกมันในตอนนี้ราวกับเรือเล็กที่กำลังแล่นฝ่าพายุในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ แถมส่วนใหญ่แล้ว ไม่เพียงพวกมันจะประคองตัวให้วิ่งไม่ได้ พวกมันล้วนแล้วแต่ต้องทรุดตัวลงในแต่ละครั้งเมื่อเท้าของเจ้าหมียักษ์นี่สัมผัสกับผืนดินด้วยซ้ำ

และในระหว่างนี้เอง เฉินเฉียงก็สามารถพบเจอกับหัวหน้าของสัตว์ประหลาดกลุ่มนี้จนได้ในที่สุด และมันก็คือสัตว์ประหลาดตัวแรกที่เฉินเฉียงได้ดูดซับไปนับแต่ที่เขามาที่นี่ นั่นก็คือ ค้างคาวเลือดพิษเพลิง

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
ฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษ หลังจากที่เขาศึกษาระบบนี้ทำให้รู้ว่า เขาสามารถดูดความสามารถดั้งเดิมแบบสุ่มของซากศพได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร หรือแม้แต่มนุษย์ด้วยความสามารถนี้ทำให้เฉินเฉียงมั่นใจว่าเขาจะมีชีวิตรอดในยุคโลกาวินาศนี้ได้ ยิ่งเขาฆ่า!มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท