ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก – บทที่ 304 เทพคุ้มครองที่ร่วงหล่น

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 304 เทพคุ้มครองที่ร่วงหล่น

ราชาสวรรค์ได้ย่อตัวลงมา ก่อนที่จะหมุนบิดดาบเหล็กในมือที่แฝงไว้ด้วยพลังภายในอย่างเต็มเปี่ยม พร้อมดวงตาที่มองตามความเคลื่อนไหวของดาบนี้ มันดูเป็นการตวัดดาบที่ดูแล้วเรียบง่ายแต่ก็กวาดทุกสิ่งในระยะสองเมตรตรงหน้าของราชาสวรรค์ไป

“เมื่อหัวใจของเจ้าเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังฟ้าดิน และพลังฟ้าดินจะไหลบ่าสู่เจ้า”

“เพลงดาบทำลายวิญญาณเปรียบได้ดั่งจักรวาลที่หมุนเวียน”

“เฉินเฉียงกระบวนท่าสุดท้ายของเพลงดาบทำลายวิญญาณนี้ไม่ใช่กระบวนท่าธรรมดาแต่อย่างใด มันเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังฟ้าดินที่สูงล้ำอย่างสุดจะหยั่ง ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูนับพันด้วยตัวคนเดียว ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับราชาระดับขุนพลด้วยระดับของเจ้า หรือแม้แต่ต้องพบเจอกับราชาระดับจอมพล เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องหวั่นไหว”

“ราชาผู้นี้ที่ต้องการให้เจ้ารับรู้ถึงเจตจำนงแห่งการต่อสู้ ก็เป็นเพราะว่าข้ามุ่งหวังให้เจ้าได้คุ้นเคยกับมันเอาไว้”

“หากเจ้าสามารถรับรู้ถึงมันได้ก่อนที่จะเข้าสู่ระดับราชา ข้าเชื่อว่าเจ้านั้นจะได้กลายเป็นจักรพรรดิคนที่สี่ในประวัติศาสตร์”

“และกระบวนท่าทั้งเจ็ดนี้เองไม่ใช่เพียงแค่เพลงดาบ แต่ยังถือได้ว่าเป็นเคล็ดวิชาการบ่มเพาะของผู้ที่อยู่ในระดับราชาอีกด้วย”

หลังจากที่ราชาสวรรค์ได้ร่ายรำกระบวนท่าทั้งเจ็ดจนเสร็จสิ้น เขาได้โยนดาบเหล็กในมือทิ้งไปในทันที ก่อนที่จะทรุดเข่าลงตรงหน้าหลุมศพของซุนต้าฮู่ที่อยู่ข้างหน้า และพ่นเลือดออกมากระจายไปทั่ว

“ท่านราชาสวรรค์”

เมื่อเห็นแบบนี้ หยานเสวี่ยรีบพุ่งเข้าไปประคองราชาสวรรค์ที่ทรุดตัวลงไว้ด้วยแขนของตน

ราชาสวรรค์ที่พึ่งจะกระอักเลือดไปนั้น อยู่ๆพลังชีวิตก็ลดฮวบลงไปราวกับลูกบอลที่โดนเจาะเป็นรูรั่วขนาดใหญ่

ในตอนนี้ เฉินเฉียงที่จ้องมองอยู่ไม่ไกล ก็ได้พบว่าหมอกไอดำที่อยู่รอบตัวราชาสวรรค์นั้น ได้ถูกปัดเป่าออกไปโดยสายลม

“ท่าน ท่านราชาสวรรค์”

หยานเสวี่ย ที่ประคองราชาสวรรค์อยู่นั้นก็รับรู้ได้ถึงเรื่องนี้ และนี่ก็เป็นครั้งแรกของเธอเช่นเดียวกันที่ได้พบเห็นใบหน้าที่แท้จริงของราชาสวรรค์

“ฮ่าฮ่าฮ่า พี่ต้าฮู่ เทียนเว่ยผู้นี้ขอบคุณพี่มากที่ทำให้ข้าผู้นี้ได้มีโอกาสพบเจอลูกของตนได้อีกครั้ง”

เมื่อเห็นหน้าตาอันหล่อเหลาและดูคุ้นเคยของราชาสวรรค์แล้ว หยานเสวี่ยก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังเฉินเฉียงในทันที

ในตอนนี้ เฉินเฉียงตกอยู่ในสภาพที่เรียกว่า ตกตะลึงจนอื้ออึงไปหมด

และเพียงคำว่าเทียนเว่ยหลุดออกมาจากปากของราชาสวรรค์ ห้วงความคิดของเฉินเฉียงก็ราวกับเกิดระเบิดจนสะเทือนเลื่อนลั่น ทั่วทั้งร่างนั้นสั่นเทาอย่างสับสนจนโอนเอน

เฉินเฉียงได้ค่อยๆพยายามก้าวข้าของตนที่หนักอึ้งไปหาราชาสวรรค์ที่อยู่ตรงหน้าทีละก้าว

พร้อมกับดวงตาที่มีน้ำไหลรินอย่างไม่ขาดสาย

ถึงแม้วิญญาณของเขาหาใช่คนบนโลกนี้ เป็นเพียงร่างกายของเขาเท่านั้นที่ถูกเรียกขานว่าเฉินเฉียง

แต่กระนั้น เขาก็ยังเป็นคนธรรมดาที่มีความคิดและจิตวิญญาณ

นับแต่เขาได้รู้จักราชาสวรรค์มา เขานั้นไม่เคยได้รู้สึกเลยสักนิดว่าราชาสวรรค์คิดร้ายต่อตน

ไม่เพียงเท่านั้น ราชาสวรรค์ยังช่วยชีวิตเขาอยู่มากมายหลายครั้ง พร้อมกับสั่งสอนสิ่งต่างๆที่ช่วยชีวิตเขามาได้อีกหลายหน

แต่เขาก็ไม่เคยคิดถึงเหตุผลที่ราชาสวรรค์นั้นยอมทำเพื่อเขาขนาดนั้นไปทำไม

ทั้งการที่ช่วยปรับปรุงดาบดั้นเมฆ ส่งหยานเสวี่ยไปคอยอารักขา สอนการเข้าถึงเจตจำนงแห่งการต่อสู้ และหากไม่ใช่เป็นเพราะราชาสวรรค์ ผู้อาวุโสสูงสุดฮูเตี๋ยนแห่งฮุยตู๋ก็คงไม่เคลื่อนไหวเพื่อช่วยเหลือคนเช่นเขา

แต่เขาเองก็ไม่เคยนึกมาก่อนว่าเหตุผลที่ราชาสวรรค์ทำลงไปนั้นเป็นเพราะเรื่องนี้

แม้กระทั่งตอนนี้ ต่อให้บาดเจ็บเจียนตาย แต่เขาก็ยังถ่ายทอดเพลงดาบทำลายวิญญาณที่สมบูรณ์ให้กับเขานี่อีก

เป็นเพียงตอนนี้ที่เฉินเฉียงก็รู้สึกราวกับรับรู้ได้ในทุกสิ่งที่ราชาสวรรค์ทำให้กับเขามา

มันเป็นความรู้สึกที่เฉินเฉียงไม่เคยรับรู้มาก่อน

มันเป็นความรู้สึกที่ราวกับว่าได้รับของขวัญมาโดยคนให้ไม่ต้องการสิ่งตอบแทนใดๆ

และเมื่อนึกถึงเรื่องราวต่างๆแล้ว เฉินเฉียงเองก็รับรู้ได้ว่า ราชาสวรรค์เองก็คงจะรับรู้ตัวตนของเขาได้ตั้งแต่แรกเห็น

เฉินเฉียงได้ยื่นมือที่สั่นเทาของเขาที่ในตอนนี้แข็งเกร็งราวกับกิ่งไม้ไปยังราชาสวรรค์ที่อยู่ตรงหน้า

แต่ก่อนที่มือของเขาจะไปถึงราชาสวรรค์ เขาก็ต้องหยุดมือกลางคัน

หยานเสวี่ยที่กำลังพยุงร่างของราชาสวรรค์อยู่นั้น แม้จะมีน้ำตาไหลรินตลอดเวลา แต่ดวงตาของเธอก็ยังฉายแววดุร้ายอย่างไม่น่าเชื่อ

หลังจากมองค้อนใส่เฉินเฉียงไปแล้ว หยานเสวี่ยก็ได้ปล่อยมือของตนออกมาแล้วถอยห่างจากเฉินเฉียงไปห้าเมตร

ด้วยช่วงเวลาแบบนี้ แม้เธอจะไม่อยากจะออกห่าง แต่เธอก็ไม่ยากจะขัดขวางช่วงเวลาอันน้อยนิดของพ่อลูกที่ผลัดพรากจากกันมา

ด้วยการที่ไม่ได้พบเจอมากว่ายี่สิบสามปี ไม่ได้อยู่ด้วยกันมากว่ายี่สิบสามปี นี่เป็นความรู้สึกที่ไม่ใช่ว่าเธอจะไม่เข้าใจ

เมื่อห้าปีก่อน เมื่อเฉินเฉียงปรากฏตัวเป็นครั้งแรกที่เกาะเทียนลี่ ราชาสวรรค์เองนั้นสมควรจะรับรู้ตัวตนของเฉินเฉียงได้แล้ว

แต่เธอก็ไม่เข้าใจว่าทำไมราชาสวรรค์ยังคงทำแบบนี้อยู่อีก

แต่ที่เธอเศร้าใจที่สุดในตอนนี้คือเป็นเพียงตอนที่ราชาสวรรค์กำลังจะตกตาย พ่อลูกถึงได้พบเจอรับรู้ถึงการคงอยู่ของกันและกัน นี่มันช่างโหดร้ายยิ่งนัก

สิบกว่าปีมานี้ ราชาสวรรค์ดูแลหยานเสวี่ยประดุจลูกของเขาคนหนึ่ง และทำให้เธอสามารถก้าวข้ามความโศกเศร้าที่ต้องตกอยู่ในสถานะมนุษย์กลายพันธุ์มาได้ นี่จึงทำให้หยานเสวี่ยเคารพและภักดีต่อราชาสวรรค์อย่างหมดหัวใจ

ในตอนนี้ เธอ ต้องการจะใช้ชีวิตในช่วงห้าวันนี้ในฐานะลูกสาวคนหนึ่งของราชาสวรรค์ จนกว่าชีวิตของเขาจะหาไม่

แต่เธอก็ไม่อาจจะทำได้

นั่นก็เพราะในตอนนี้ ราชาสวรรค์ต้องการพบเจอเฉินเฉียงอย่างที่สุด

ยิ่งไปกว่านั้นคือ หากว่าราชาสวรรค์ยอมที่จะกลับไปยังฮุยตู๋ในตอนนี้ ไม่แน่ว่าผู้อาวุโสฮูเตี๋ยนอาจจะมีทางรักษาเขาได้

แต่เขาก็ไม่เลือกที่จะเสี่ยงกับทางนั้น แต่เลือกที่จะมาหาลูกชายที่ไม่ได้พบเจอมานานแสนนาน

ที่เธอขุ่นเคืองเฉินเฉียงนี้หาใช่สิ่งอื่นใด เพียงแค่เพราะเขายังไม่ยอมเรียกราชาสวรรค์ว่าพ่อออกมาก็เพียงเท่านั้น

แต่หยานเสวี่ยหารู้ไม่ว่า เฉินเฉียงนั้นพูดคำว่าพ่อออกมาอย่างมากมายหลายครั้งตั้งแต่เขาได้พบหน้าราชาสวรรค์ แม้สติของเขาจะยังเลือนราง แต่ริมฝีปากของเขาก็ยังขยับไปมา เพียงแต่มันก็ราวจะติดอยู่ที่ปากแล้วไม่อาจจะออกเสียงออกมาได้

และเมื่อได้เห็นฉากเมื่อครู่ที่ราชาสวรรค์ได้กระอักเลือดพร้อมเศษอวัยวะภายในที่หลุดออกมา นี่ทำให้จิตใจของเฉินเฉียงราวกับร่วงหล่นในทันที

ทั้งๆที่บาดเจ็บเจียนตายขนาดนี้ ราชาสวรรค์ก็ยังฝืนทนร่ายรำเพลงดาบทำลายวิญญาณเพื่อถ่ายทอดให้กับเขา

พร้อมทั้งใช้พลังภายในของตนเพื่อแสดงให้เขาเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้งอีก

“พรวด”

ในตอนนี้ ราชาสวรรค์ได้กระอักเลือดออกมาอีกครั้ง พร้อมใบหน้าที่ซีดเผือดและทรุดร่างลงไปยิ่งกว่าเดิม

“ท่านพ่อ”

เป็นตอนนี้ที่เฉินเฉียงได้ส่งเสียงคำนี้ออกมาได้ในที่สุด

สองคำที่ออกมาจากปากของเฉินเฉียง โดยไม่มีความรู้สึกที่ลังเลหรือติดขัดแต่อย่างใด

ถึงแม้พวกเขาจะมีสายสัมพันธ์แค่เพียงสายเลือด แต่มันก็แสดงออกมาว่าเฉินเฉียงนั้นรักและศรัทธาพ่อของตนมากมายขนาดไหน

เมื่อได้ยินคำพูดสองคำนี้ของเฉินเฉียง ร่างกายของราชาสวรรค์ก็ได้สั่นเทิ้ม ก่อนที่จะหันหน้ามาหาเฉินเฉียง

หลังจากได้จ้องมองกัน ทั้งคู่นั้นราวกับว่ากำลังมองกระจกอยู่ก็ไม่ปาน

หลังจากผ่านไปยี่สิบสามปี เฉินเทียนเว่ยไม่ได้แสดงออกมาว่ามีอายุมากขึ้นแต่อย่างใด ถ้าจะให้บอกตรงๆแล้ว หน้าของเขายังดูกระจ่างใสกว่าเฉินเฉียงด้วยซ้ำ

เฉินเฉียงในตอนนี้ได้ยื่นมือที่สั่นเทาของตนไปแตะใบหน้าของเฉินเทียนเว่ยถึงสองรอบ

และนี่ยิ่งทำให้เขาไม่อาจสะกดข่มความอัดอั้นตันใจที่มีและเริ่มร้องไห้ออกมา

“ข้าขอโทษ มันเป็นความผิดของข้าเองที่ไปทำลายแผนการล้างแค้นของพ่อ และโง่งมพอที่จะไปชั่วไอ้ตัวระยำเช่นเว่ยหยวนตี้นั่น”

ดั่งคำที่ว่า ใจเขาใจเรา

หากสลับที่ของทั้งสองคนแล้ว เขาเองก็คงรู้สึกอัดอั้นอย่างมากเมื่อเห็นว่าศัตรูคู่อาฆาตที่กำลังจะตกตายอยู่ตรงหน้าถูกช่วยเหลือไป

คนที่เขาถือว่าเป็นพี่น้องมาตลอดแต่กลับทรยศในช่วงเวลาที่วิกฤต

แถมในเวลาวิกฤตนั้นเอง เขาก็ยังรั้งตนไม่ให้หลบหนีเพื่อจะช่วยเว่ยหยวนตี้ให้ได้เพียงเท่านั้น

ด้วยเวลาแบบนั้น หากเฉินเทียนเว่ยใช้ก้าวย่างสวรรค์โดยไม่สนใจเว่ยหยวนตี้ เขานั้นสามารถหนีไปได้อย่างง่ายดาย

แต่เพราะไอ้ตัวระยำอย่างเว่ยหยวนตี้ที่เมื่อยามที่ต้องพบเจอภัยอันตรายกลับโยนคนที่ต้องการมาช่วยด้วยจิตใจที่ห้าวหาญ ทิ้งไปในผาลึกเพียงเพื่อต้องการให้ตัวเองรอด

ด้วยนิสัยของเฉินเทียนเว่ยนั้น ต่อให้ต้องตกตายจากการต่อสู้กับสัตว์ประหลาด เขาก็ยังไม่เสียใจ แต่กับการถูกคนที่เชื่อใจหักหลัง นี่ทำให้เขานั้นไม่อาจปล่อยวางได้

มันไม่ใช่เลยที่เฉินเทียนเว่ยจะอดกลั้นความแค้นมากว่ายี่สิบปี ถึงจะได้มีโอกาสสะสางความแค้นที่ฝังลึกแบบนั้น

เขาเองก็คิดไม่ถึงว่าเป็นเพราะตัวเขา ทำให้เฉินเทียนเว่ยไม่อาจจากไปอย่างสงบสุขต่อให้ต้องตกตายไปก็ไม่อาจจะสะสางความแค้นของตนได้

นี่จึงทำให้เฉินเฉียงนึกภาพได้ว่า เฉินเทียนเว่ยนั้นจะต้องเจ็บแค้นคาใจมากมายขนาดไหนกัน

เฉินเทียนเว่ยได้ปาดน้ำตาของเฉินเฉียงและพูดออกมา “เฉียงเอ๋อ ลูกอย่าได้โทษตัวเอง หากพ่อต้องการฆ่าเว่ยหยวนตี้จริงๆล่ะก็ พ่อเองก็มีโอกาสนับครั้งไม่ถ้วน”

“แต่ก็อีกล่ะน้า หากพ่อฆ่ามันได้จริง ข้าก็คงอดที่จะได้ลูกสะใภ้… แค่ก แค่ก”

เมื่อพูดมาถึงตอนนี้ เฉินเทียนเว่ยได้ไอออกมาอย่างหนัก นี่ทำให้เฉินเฉียงรีบเข้าไปประคองเฉินเทียนเว่ยในทันที “ท่านพ่อ ไม่ต้องพูดแล้ว หากท่านคิดว่าคนเช่นข้าจะเห็นแก่ความรักของตนจนละเลยความแค้นของพ่อ ข้าทำแบบนั้นไม่ได้หรอก”

“อย่าได้กังวล ข้าจะฆ่าเว่ยหยวนตี้แทนท่านให้จงได้”

เฉินเทียนเว่ยได้ยกมือขึ้นห้ามปรามในทันที “เฉียงเอ๋อ เรื่องของคนรุ่นก่อนจงหลงลืมมันไปซะ”

“ย้อนไปตอนนั้น แม้พ่อจะโดนฝ่ามือของเว่ยหยวนตี้ไปจนกระเด็นลงไปที่หน้าผานั่น แต่ก็ยังดีที่ได้รับการช่วยเหลือจากใครบางคน”

“ท่านหมายถึงผู้อาวุโสสูงสุดฮูเตี๋ยนอย่างนั้นใช่รึเปล่า ไม่แปลกใจเลยจริงที่ท่านไปที่เขาโชวหยางเพื่อช่วยข้า ท่านพ่อ ท่านเป็นคนขอร้องเขาใช่รึเปล่า”

เมื่อได้ยินแบบนี้ เฉินเฉียงก็ได้มั่นใจได้ในทันทีว่าเป็นเฉินเทียนเว่ยที่จัดการเรื่องนี้ให้เขา ไม่อย่างนั้นฮูเตี๋ยนคงไม่คิดจะสนใจคนที่สถานะต่ำต้อยเช่นเขาอย่างแน่นอน

เฉินเทียนเว่ยพยักหน้ารับ “ถูกต้อง ในตอนนั้นเองข้าก็ถูกช่วยเอาไว้โดยท่านผู้อาวุโสสูงสุดเช่นเดียวกัน มันเป็นช่วงที่เรียกว่า ลมหายใจสุดท้ายแห่งชีวิต”

“ในภายหลัง ผู้อาวุโสสูงสุดได้อธิบายถึงสถานการณ์ให้พ่อฟังว่าแม้แต่เม็ดยาเทพเซียนและน้ำยาอมฤทธิ์ก็ยังยากที่จะช่วยเหลือชีวิตพ่อไว้ได้”

“ความหวังเดียวที่เหลืออยู่ของพ่อในตอนนั้นคือแผ่นแก่นพลังงาน”

“และนี่ก็ทำให้ก่อนที่พ่อจะได้ตกตายก็ได้รับการฝังแผ่นพลังงานเอาไว้และกลายเป็นมนุษย์กลายพันธุ์”

“ชีวิตของพ่อนั้นต่อสู้กับมนุษย์กลายพันธุ์มาชั่วชีวิต ไม่คิดว่าสุดท้ายแล้วก็ต้องกลับกลายเป็นมนุษย์กลายพันธ์ุอย่างไม่มีทางเลือกอื่น”

“และนี่จึงเป็นเหตุให้พ่อเกลียดชังเว่ยหยวนตี้อย่างสุดหัวใจ”

“อย่างไรก็ตาม หลังจากที่พ่อได้เรียนรู้ว่าเจ้าแผ่นแก่นพลังงานนี้ หลังจากบรรลุสู่ระดับราชาไปแล้วมันจะสลายหลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย นี่ทำให้พ่อยอมรับความเป็นจริงอย่างช้าๆ”

“เฉียงเอ๋อ ดังนั้นหลังจากที่พ่อตาย เจ้าเองก็ควรปล่อยวางเรื่องของเว่ยหยวนตี้ไปซะ”

“ไม่”

เฉินเฉียงตอบกลับอย่างทันควัน “ท่านพ่อ ท่านต้องหายดี ข้ามีเม็ดยาฟื้นฟูอยู่ ข้าจะเป็นคนรักษาท่านเอง”

เมื่อเฉินเฉียงพูดจบ เขาได้นำเม็ดยาฟื้นฟูออกมาจากแหวนมิติ

อย่างไรก็ตาม เฉินเทียนเว่ยได้ยกมือขึ้นห้ามก่อนจะพูดต่อ “เฉียงเอ๋อ อย่ายุ่งยากเลย ตอนนี้จุดลมปราณของข้าแตกซ่านจนหมดสิ้น ต่อให้เทพเซียนมาโปรด พ่อก็ไม่อาจจะรอดไปได้”

เฉินเฉียงได้หรี่ตาลงในทันทีก่อนที่จะถามออกมา “ท่านพ่อ ใครทำร้ายท่านกัน”

เฉินทียนเว่ยได้หัวเราะออกมาเล็กน้อย ก่อนจะถอดถอนลมหายใจแล้วพูดออกมา “ไม่ว่าจะเป็นใครก็ช่างมันเถอะ เฉียงเอ๋อ เจ้าไม่ต้องสืบสาวเรื่องนี้แต่อย่างใด”

“ด้วยระดับการบ่มเพาะของเจ้านั้น ต่อให้เจ้ารู้ไปก็มีแต่ต้องคับแค้นใจอยู่ดี”

“เจ้าอย่าลืมสิว่าขนาดพ่อคนนี้เป็นถึงระดับราชาขุนพลขั้นสูงช่วงปลายเลยนะ ยังตกอยู่ในสภาพนี้เลย”

เมื่อเห็นว่าเฉินเฉียงจะถามแต่ เฉินเทียนเว่ยได้ยกมือขึ้นห้ามอีกครั้งแล้วพูดออกมา “เฉียงเอ๋อ ที่พ่อมาหาเจ้านั้นนอกจากต้องการจะพบเจ้าเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว พ่อยังมีเรื่องที่จะไหว้วานให้เจ้าช่วยจัดการ”

“มีสองเรื่องที่พ่อต้องไหว้วานเจ้าในวันนี้ หนึ่งคือการปรากฏตัวของสัตว์หายนะที่ทรงพลังยากจะจัดการนั่นที่ปรากฏในพื้นที่ภาคกลางในตอนนี้ ความจริงแล้ว มันเป็นผลมาจากแผ่นแก่นพลังงานประเภทหนึ่งที่ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยศูนย์บัญชาการมนุษย์กลายพันธุ์”

อย่างไรก็ตาม กับเรื่องนี้ แม้แต่พวกผู้อาวุโสในมนุษย์กลายพันธุ์เองก็ยังพยายามปิดเรื่องนี้เอาไว้อย่างสุดชีวิต

แต่เดิม พ่อเองก็อยากจะไปรายงานเรื่องนี้ที่ศูนย์บัญชาการฮุยตู๋เหมือนกัน

แต่เมื่อดูสภาพของตัวพ่อเองแล้วนั้น หากไปที่เขาเอเวอเรสต์แล้ว มันจะไม่มีทางเลยที่พ่อจะได้พบเจอลูกได้อีกเป็นครั้งสุดท้าย

“หลังจากคิดดีแล้ว พ่อของเจ้าจึงคิดที่จะมาที่นี่ เพื่อที่ว่า หลังจากได้พบเจอเจ้าแล้ว จะขอนอนหลับอย่างสงบที่ข้างๆพี่ต้าฮู่ได้ก็คงดีไม่น้อย”

หลังเฉินเทียนเว่ยพูดจบ เขาก็ได้นำธงสามเหลี่ยมออกมาจากโลกใบเล็กของตน

“เฉียงเอ๋อ หลังจากพ่อตาย ขอให้เจ้านำเรื่องสัตว์หายนะนี้ไปรายงานให้ท่านผู้อาวุโสสูงสุดฮูเตี๋ยนได้รับทราบ และให้เขาไปจัดการเรื่องนี้ที่เขาห่านป่าด้วยตนเอง”

หลังจากพูดจบ ใบหน้าของเฉินเทียนเว่ยได้แสดงออกมาอย่างเลวร้าย ก่อนที่จะกวักมือเรียกหยานเสวี่ยให้เข้าไปหา

หยานเสวี่ยได้วิ่งเข้าไปหาในทันที “ท่านราชาส….”

เฉินเทียนเว่ยได้ลูบใบหน้าของหยานเสวี่ยอย่างทะนุถนอมและพูดออกมาอย่างอ่อนโยนราวกับผู้เป็นพ่อกำลังพูดกับลูกสาว “เด็กโง่เอ๊ย เจ้าไม่ต้องเรียกข้าอย่างห่างไกลขนาดนั้นหรอกน่า เสวี่ยเอ๋อ ข้าเองก็ดูแลเจ้าประดุจลูกสาวคนหนึ่ง ตอนนี้เมื่อข้าไม่อยู่แล้ว เจ้าก็คอยดูแลเฉียงเอ๋อแทนข้าด้วยแล้วกัน เข้าใจรึเปล่า”

หยานเสวี่ยพยักหน้าออกมาอย่างหนักแน่น และพูดออกมาอย่างจริงจัง “นายท่าน เสวี่ยเอ๋อเองก็ถือว่าท่านเป็นพ่อของข้าเช่นเดียวกันค่ะ”

“อย่าได้เป็นกังวลไป ตราบใดที่เสวี่ยเอ๋อยังอยู่ ข้าจะดูแลเฉินเฉียงเป็นอย่างดี”

“อืมมม ดี เพียงแค่นี้ข้าก็สบายใจได้แล้ว” เฉินเทียนเว่ยพูดออกมาในขณะที่คิดบางสิ่งจนทำให้ใบหน้ากลับมาแดงก่ำได้บ้าง

“ไม่ ท่านพ่อ ท่านต้องไม่เป็นอะไร อ้อแล้วก็ท่านพ่อ ข้ายังมีเรื่องที่ไม่ได้บอกท่านอยู่อีกนะ”

เมื่อเห็นสัญญาณที่แสดงออกมาว่าเฉินเทียนเว่ยกำลังจะหมดพลังชีวิต เฉินเฉียงที่สมองราวกับจะติดขัด อยู่ก็ได้นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จึงรีบได้พูดออกมา “ท่านพ่อ ท่านยังจำเรื่องราวที่เข้าไปในเขตแดนลับในเขตแดนจักรพรรดิได้หรือไม่”

“ข้าไม่ได้บอกเล่าเรื่องราวให้ท่านฟังจนหมด”

“ที่นั่น ลูกชายของท่านได้พบเจอกับร่างของผู้อาวุโสที่ร่วงลับไปแล้วสามคนที่นั่น”

เมื่อเฉินเฉียงได้ยินก็ทำให้เฉินเทียนเว่ยเกิดความสนใจขึ้นมา

“โอ้ เฉียงเอ๋อ ที่เจ้าพูดหมายความว่าเช่นใดกัน”

เฉินเฉียงเมื่อเห็นว่าคำพูดของตนเรียกให้เฉินเทียนเว่ยสนใจจนกลับมามีสติขึ้นได้ก็ได้รีบเล่าออกมา “ท่านพ่อ ลูกชายของท่านได้พบเจอร่างผู้อาวุโสในเขตแดนลับนั่น พวกเขาใช้พลังทั้งหมดที่มีคอยสร้างเขตแดนเอาไว้”

“ในตอนนั้น ลูกชายของท่านต้องการจะแตะตัวร่างของผู้อาวุโสคนหนึ่ง แต่กลับถูกดีดกระเด็นออกมาจากเขตแดนลับนั่นแทน”

“เป็นเพียงหลังจากนั้นเมื่อข้าได้มีเวลาคิดไตร่ตรองจึงคิดว่าพวกเขาคือราชาจักรพรรดิเทพสงครามของทั้งสามเผ่าพันธุ์ที่ได้หายสาบสูญไป”

“ราชาจักรพรรดิ…เหรอ”

หลังจากได้ยินคำพูดนี้ เฉินเทียนเว่ยก็ประหลาดใจจนเบิกตากว้าง แต่อย่างไรก็ตาม ดวงตาของเขากับราวจะมอดแสงลงไปในไม่ช้า และค่อยๆไร้แววมากขึ้นเรื่อยๆ

“เฉียงเอ๋อ เป็นไปได้ว่าข้อสงสัยของเจ้านั้นถูกต้องแล้ว”

“นับจากโบราณกาล ผู้คนต่างก็เล่าขานว่าราชาจักรพรรดิทั้งสามได้ตกตายอยู่ในเขตแดนจักรพรรดินั่น แต่นั่นก็ยังคงเป็นตำนานเรื่องเล่า”

“แต่ข้าผู้นี้ไม่คิดเลยว่าลูกชายของข้านั้นจะเป็นผู้เดียวที่สามารถค้นพบความลับเรื่องนี้ได้ และได้พบเจอแม้กระทั่งราชาจักรพรรดิทั้งสามนั่นอีก นี่ทำให้ข้าเองก็อดที่จะอิจฉาเสียมิได้”

“เฉียงเอ๋อเอ๋ย หากเจ้ามีโอกาส เจ้าจงกลับไปยังที่นั่น และสืบค้นเรื่องราวให้กระจ่างชัด”

“พ่อเองก็เสียดายนัก ที่ไม่อาจช่วยเจ้า…คลี่คลายปมปัญหาเหล่านี้….ได้ ในภายภาคหน้า….เจ้า….คงทำได้เพียง….คลี่คลาย….ความ…ลับ…ด้วย…ตน…เอ…ง””

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
ฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษ หลังจากที่เขาศึกษาระบบนี้ทำให้รู้ว่า เขาสามารถดูดความสามารถดั้งเดิมแบบสุ่มของซากศพได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร หรือแม้แต่มนุษย์ด้วยความสามารถนี้ทำให้เฉินเฉียงมั่นใจว่าเขาจะมีชีวิตรอดในยุคโลกาวินาศนี้ได้ ยิ่งเขาฆ่า!มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท