ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก – บทที่ 307 ลับลวงพราง(2)

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 307 ลับลวงพราง(2)

เว่ยหยวนตี้ย่อมรู้ความคิดของลูกสาวของตนเป็นอย่างดี เขาได้หัวเราะออกมาแล้วพูดออกไป “ดูเหมือนลูกสาวข้าที่พึ่งจะกลับมาจากการฝึกแล้วเหนื่อยไปหน่อยน่ะ อย่าได้ถือสานางเลย”

“หากเป็นอย่างนั้นล่ะก็ พวกเราควรจะปล่อยให้คุณหนูฉิงเชินได้พักแล้วกัน อย่าทำให้นางต้องวุ่นวายใจจะดีกว่า”

เมื่อแขกของเว่ยหยวนตี้ได้พูดจบลง กำไลสื่อสารของเว่ยหยวนตี้ก็ได้ส่งสัญญาณดังขึ้นมา

“ฮื้ม”

เมื่อเห็นว่าพ่อของตนคิ้วขมวดในทันทีที่เห็นข้อความ เว่ยฉิงเชินจึงได้ถามออกไป “ท่านพ่อ เป็นอะไรรึเปล่าคะ”

“โอ้ ไม่มีอะไรหรอก แค่พ่อไม่รู้ว่าหลินเฟิงคิดจะทำอะไรเท่านั้นแหละ เขาส่งข้อความมาบอกว่าเพื่อนเก่ามาเยี่ยมเยือน ให้พ่อไปหาเขาน่ะ”

“ลุงหลินเฟิงเหรอคะ” เว่ยฉิงเชินดวงตาลุกวาวขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยิน “ท่านพ่อ ว่าไปแล้วข้าเองก็ไม่ได้ไปเจอลุงหลินเฟิงตั้งนาน ถ้าอย่างนั้นข้าว่าเราไปหาเขากันดีกว่าค่ะ”

“แต่….”

เว่ยหยวนตี้ขมวดคิ้วค้างไว้อย่างไม่ผ่อนคลาย

นับแต่เขามาประจำอยู่ที่ตึกจอมพลภาคกลาง เขาก็ว่าเขาได้พบเจอเพื่อนเก่าไปมากมายแล้ว ยังไม่รวมถึงเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมานี้ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่าหลินเฟิงยังคิดจะพบเจอเขาอีกทำไม

จะแค่การพบเจอเพื่อนเก่าจริงๆเหรอ

นับแต่ตอนที่เขาเกือบจะต้องตกตายไปโดยราชาสวรรค์เมื่อครั้งก่อน นี่ทำให้เว่ยหยวนตี้ระวังตัวอย่างสุดกู่ และนับวันยิ่งเรียกได้ว่าขลาดเขลามากขึ้นเรื่อยๆ กลัวแม้กระทั่งเพียงแค่การออกจากตึกจอมพลแล้วถูกดักฆ่าโดยราชาสวรรค์ระหว่างทางด้วยซ้ำ

เมื่อเห็นท่าทางของเว่ยหยวนตี้ที่เป็นกังวลอยู่นี้ ฉิงเชินได้เหวี่ยงมือของเว่ยหยวนตี้ไปมาแล้วรีบพูดออดอ้อนในทันที “ท่านพ่อ ตึกกันหนันยังดีกว่าที่นัก”

“พวกเราเองก็ไม่ได้พบเจอลุงหลินเฟิงมานานแล้ว ยังไงเราก็ควรจะไปเยี่ยมเยือนเขาหน่อยนะคะ”

“อีกอย่าง ลูกสาวของท่านในตอนนี้ก็อยู่ในระดับราชาขุนพลแล้ว และท่านเองก็เป็นราชาขุนพลขั้นกลาง จะมีที่ใดในโลกอีกที่พวกเราจะไปไม่ได้กันคะ”

“ท่านพ่อจะเป็นกังวลไปทำไมกัน ให้ลูกสาวคนนี้ปกป้องท่านเองนะ”

“ลูกสาวของท่านเป็นถึงศิษย์แห่งผู้อาวุโสสูงสุดหลิวฉิงเลยน้า ใครจะกล้าหาเรื่องข้ากัน”

เมื่อได้ยินคำออเซาะของเว่ยฉิงเชิน ในที่สุด เว่ยหยวนตี้ก็ได้ตามใจนาง ก่อนที่จะใช้นิ้วไปจิ้มที่จมูกของลูกสาวแล้วพูดออกมา “ยัยเด็กนี่ พ่อคนนี้ต้องให้เจ้าคอยปกป้องตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”

“หากเจ้าอยากจะดูแลข้าจริงล่ะก็ เจ้าก็ควรจะฝึกฝนและตั้งใจร่ำเรียนกับผู้อาวุโสสูงสุดดีๆจนไปถึงระดับจอมพลให้ได้โดยเร็ววันแล้วกัน เมื่อถึงตอนนั้น พ่อคนนี้จะยอมให้เจ้าปกป้องได้น่ะ”

“เอาล่ะ งั้นเราไปหาหลินเฟิงกัน”

เมื่อเว่ยหยวนตี้และเว่ยฉิงเชินออกจากตึกจอมพลภาคกลาง หลินเฟิงกับเฉินเทียนเว่ยก็ได้ดื่มไวน์กันอย่างออกรสออกชาติ

“พี่ใหญ่เทียนเว่ย ข้าถามจริงๆเถอะ ยี่สิบปีที่ผ่านมานี้ท่านหายไปไหนมากัน บอกข้าหน่อยดิ”

เฉินเทียนเว่ยที่ยกไวน์ดื่มจนหมดไหแล้วโยนทิ้งไปก็ได้พูดออกมา “เจ้านี่จะรีบร้อนไปทำซากอะไรกัน เดี๋ยวเว่ยหยวนตี้มาถึงค่อยฟังทีเดียวสิโว้ย จะต้องให้เล่าซ้ำซากทำไมกัน”

“ว่าแต่น้องหลินเฟิง มีเรื่องนึงที่ข้าอยากจะถามเจ้าน่ะ ขอให้เจ้าอย่าได้ปิดบัง”

“พี่ใหญ่เทียนเว่ยนี่น้า ดูพี่พูดเข้าดิ”

“น้องเล็กเช่นข้าคนนี้แม้ท่านไม่อยู่แต่ข้าก็ยังสรรเสริญเยินยอท่านต่อหน้าผู้คนมากว่ายี่สิบปีเกี่ยวกับฝีมือที่เลิศล้ำของท่านเลยนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับฝีมือของท่านที่ข้าไม่เคยเห็นใครที่เท่าเทียม”

“หากมีอะไรที่ท่านต้องการจะถามก็ถามมาได้เลย ข้าย่อมตอบท่านตามตรงอยู่แล้ว”

“ก็ดี”

เฉินเทียนเว่ยได้ตบมือและหัวเราะออกมา “ก็ดี น้องหลินเฟิง งั้นข้าก็ขอถามตรงๆเลยแล้วกัน”

“น้องชายเอ๋ย สิ่งที่ข้าจะถามก็คือ ในปีนั้นยามที่ข้าเกิดเรื่อง เจ้าคงจะจดจำได้เกี่ยวกับเรื่องที่กองกำลังเทียนเว่ยถูกไล่ล่าได้สินะ”

เมื่อเฉินเทียนเว่ยเอ่ยถาม เขาก็พลางมองไปที่ใบหน้าของหลินเฟิง

และอย่างที่เขาคาด เมื่อได้ยินคำถามนี้ หลินเฟิงถึงกับหน้ากระตุกในทันใด

เมื่อเห็นว่านี่เป็นโอกาส เฉินเทียนเว่ยจึงได้ถามต่อ “น้องหลินเฟิง เจ้ารู้สินะว่าใครกันเป็นผู้ที่สั่งไล่ล่ากองกำลังของข้าน่ะ แล้วเป้าหมายของคนผู้นั้นคือสิ่งใด”

เมื่อเห็นใบหน้าที่กระตุกยับของหลินเฟิง เฉินเทียนเว่ยเองแม้จะอยากจะถามออกไปต่อแต่ก็เลือกที่จะไม่พูดสิ่งใดออกไป กลับกัน เขากลับเลิกคิ้วแล้วเพียงแค่พูดออกมาเท่านั้น “หลินเฟิง ข้าเองก็ถือเจ้าว่าเป็นน้องชาย แต่ดูเหมือนว่าเจ้าเองคงไม่อยากเป็นเสียแล้วกระมัง”

“….หรือก็เป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งคือเจ้าคือคนออกคำสั่งนั้นใช่รึเปล่า”

หลินเฟิงที่ได้ยินก็ถลึงตาโตก่อนที่จะยกมือป่ายปัดไปมา “พี่เทียนเว่ย ท่านเข้าใจข้าผิดแล้ว”

ย้อนกลับไปตอนนั้น ข้าเองก็ยังเป็นกัปตันกองกำลังธรรมดาอยู่เลยนา แถมยังเป็นนายพลวิญญาณขึ้นกลางเสียอีก แล้วอย่างข้าเนี่ยนะจะไปทำอะไรแบบนั้นได้กัน

“ก็แล้วใครกันล่ะเว้ย”

เมื่อเห็นท่าทางถมึงทึงของเฉินเทียนเว่ยแล้ว หลินเฟิงก็ได้ถอดถอนลมหายใจออกมาก่อนที่จะพูดต่อ “พี่เทียนเว่ย ในเมื่อเรื่องมันก็ผ่านมานานหลายปีแล้ว จะดีกว่าไหมหากท่านจะปล่อยให้มันผ่านไปน่ะ”

“อีกอย่างคือทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องเข้าใจผิดทั้งนั้น”

“ตอนที่ข้าได้ยินว่าท่านตกตายไป ท่านเว่ยเองก็ได้ส่งคนไปสืบสวนแล้วประกาศออกมาว่ากองกำลังเทียนเว่ยเป็นสายลับของมนุษย์กลายพันธุ์ที่สร้างความเสียหายให้กับตึกจอมพลเหมันต์จันทราซ้ำแล้วซ้ำเล่า”

“นี่จึงทำให้ท่านเว่ยประกาศให้กองกำลังอื่นไล่ล่าคนในกองกำลังเทียนเว่ย”

“แต่เพียงผ่านไปหนึ่งวัน ท่านเว่ยก็ได้ออกคำสั่งยกเลิก มาตอนหลังข้าได้ยินว่าคนรับคำสั่งได้รับข้อมูลผิดพลาด สิ่งที่เขาสั่งคือการให้สรรเสริญกองกำลังเทียนเว่ย แถมตอนหลังท่านก็ออกมายืนยันด้วยตัวเองอีก”

“เรื่องในครานั้นยังดีที่ไม่ได้ทำให้ใครเป็นอะไรไปหรือตกตาย พวกเราจึงทำได้เพียงปล่อยเรื่องเลยตามเลย”

“ไม่มีใครเสียหายรึ” เฉินเทียนเว่ยสบถออกมา “แล้วซุนต้าฮู่ล่ะ”

“เอ่ออออ พี่ต้าฮู่ เขาหายไปในตอนนั้นจริง แถมยังพาลูกชายของท่านเฉินเฉียงหายไปกับเขาด้วย”

“และด้วยเหตุนี้เองก็ทำให้ท่านเว่ยต้องโศกเศร้าอย่างหนัก”

“ภายหลัง ถึงแม้จะส่งคนออกไปหาอยู่นาน แต่พวกเราก็ไม่ได้ข่าวคราวจากพี่ต้าฮู่และเฉินเฉียงแม้แต่น้อย”

“อย่างไรก็ตาม….”

หลินเฟิงได้ยืนขึ้นก่อนที่จะพูดออกมาอย่างมีความสุข “อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้า ไม่เพียงพวกเราจะได้ข่าวของลูกชายพี่เท่านั้น เขายังเข้าร่วมกับพวกเราและสร้างผลงานที่สูงล้ำให้กับตึกจอมพลของเราเลยนะ แถมตอนนี้เขาก็เป็นกัปตันของกองกำลังเทียนเว่ยแล้วด้วย”

เพียงหลินเฟิงได้พูดจบประโยค เขาก็ได้ยินเสียงตะโกนดังโหวกเหวกออกมาจากด้านนอก

“หลินเฟิง นี่เจ้าพูดบ้าบออะไรอยู่กัน”

ที่ด้านนอกห้องโถง เว่ยหยวนตี้ในตอนนี้แสดงออกมาด้วยใบหน้าที่เย็นชา พร้อมสายตาโกรธเคืองที่จ้องไปยังหลินเฟิง

“ท่านพ่อ ทำไมอยู่ๆท่านถึงได้โกรธขึ้นมาล่ะคะ” ฉิงเชินที่ควงแขนเว่ยหยวนตี้อยู่นั้นก็ได้เดินเข้าไปในห้องโถง ในขณะเดียวกันเขาก็ได้พบกับคนตัวสูงที่หันหลังให้กับเธออยู่

แน่นอนว่าเฉินเฉียงรับรู้การมาถึงของเว่ยหยวนตี้และเว่ยฉิงเชินตั้งแต่ระยะยี่สิบไมล์

ที่เขาโกรธนั้นเป็นเพราะว่าเขาได้ยินหลินเฟิงกำลังเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อปีนั้น

อย่างไรก็ตาม หลินเฟิงนั้นไม่ได้รับรู้เรื่องนี้แม้แต่น้อย

“โอ้ ท่านเว่ยนี่เอง…”

เมื่อเห็นว่าเว่ยหยวนตี้มาถึงเร็วกว่าที่คิด หลินเฟิงก็แสดงออกมาอย่างยินดียิ่ง เขาไม่ได้สนใจในคำพูด ท่าทางและน้ำเสียงของเว่ยหยวนตี้เมื่อครู่เลยสักนิด ทำเพียงแค่เข้าไปต้อนรับขับสู้ด้วยท่าทางเปี่ยมสุข

“ท่านเว่ย ฉิงเชิน ไม่คิดจริงๆว่าทั้งสองคนจะมาเร็วขนาดนี้ ฮ่าฮ่าฮ่า”

เมื่อเขาเดินไปตรงหน้าของเว่ยหยวนตี้ แสดงออกมาซึ่งความตื่นเต้นอย่างที่สุดเพียงเท่านั้น ก่อนที่จะดึงมือของเว่ยหยวนตี้ให้รีบเร่งเข้ามาในห้องแล้วพูดออกไป “ท่านเว่ย ท่านต้องไม่เชื่อแน่ๆว่าใครกันที่ขอให้ข้าเชิญท่านมาหา”

ท้ายที่สุดแล้ว เว่ยหยวนตี้นั้นราวกับจะไม่ถือสาเอาความกับการหลุดปากเรื่องใหญ่ออกมาของหลินเฟิง กลับกัน เขาก็ได้เปลี่ยนท่าทีแล้วยิ้มออกมาอย่างกว้างขวาง “หลินเฟิง ไอ้ตัวเวรตะไล เจ้าเนี่ยน้า อยู่ๆก็ทักไปให้รีบมาหา ข้าล่ะอยากรู้จริงๆว่าใครกันที่ถึงกับทำให้เจ้าติดต่อมาหาข้าให้รีบมาได้เนี่ย”

“ฮี่ฮี่ฮี่” หลินเฟิงยิ้มออกมาจากเจ้าเล่ห์ ก่อนที่จะรีบพูดออกมา “พี่ใหญ่ ทำไมท่านไม่มาเชิญท่านเว่ยด้วยตัวเองล่า ท่านเองก็ไม่ได้พบเจอเขามายี่สิบกว่าปีแล้วนา”

“มากกว่ายี่สิบปีเลยรึ” เมื่อเว่ยหยวนตี้ได้ยินก็ถึงกับนิ่งอึ้งไป แม้จะได้ยินแบบนี้เขาก็ทำได้เพียงจ้องมองไปยังด้านหลังของชายตรงหน้าอย่างนึกหน้าค่าตาไม่ออก

เป็นตอนนี้ที่เฉินเทียนเว่ยได้ค่อยๆหันหลังมาแล้วพูดด้วยเสียงที่นิ่งลึก “เว่ยหยวนตี้ จะบอกว่าเจ้าหลงลืมพี่น้องจนหมดสิ้นแล้วรึไงกัน”

เมื่อได้ยินเสียงที่เป็นเอกลักษณ์นี้ หัวใจของเว่ยหยวนตี้ได้หดเกร็ง เมื่อได้เห็นใบหน้าที่กำลังหันหน้ามาหาแล้ว นี่ก็ทำให้ตัวเขาราวกับวิญญาณออกจากร่างไป

“เฉิน..ชะ ชะ พี่เฉินเทียนเว่ย นี่ นี่ เป็นไป ได้ ยังไง ไม่ใช่ว่า ท่าน….”

ในตอนนี้เว่ยหยวนตี้รู้สึกราวกับว่ามีน้ำแข็งหมื่นปีได้ร่วงหล่นเข้าไปค้างอยู่ในลำคอ

เมื่อเว่ยฉิงเชินได้ยินคำพูดของพ่อตน เธอก็ได้ประหลาดใจแล้วรีบพุ่งเข้าไปหาชายตรงหน้า ก่อนที่จะหยุดอยู่ห่างจากเฉินเทียนเว่ยหนึ่งเมตร ก่อนที่จะเห็นว่าชายคนนี้มีความคล้ายคลึงกับเฉินเฉียงถึง 70%

“คุณลุงเฉินสินะคะ คุณลุงเฉิน หนูชื่อฉิงเชิน สวัสดีค่ะ”

เมื่อพูดจบ เว่ยฉิงเชินก็ก้มหัวให้เล็กน้อย

เฉินเฉียงในรูปลักษณ์ของเฉินเทียนเว่ยไม่ได้ชายตาแลเว่ยฉิงเชินแต่อย่างใด เขาจ้องมองไปที่เว่ยหยวนตี้ที่กำลังแข็งค้างอยู่

“ฮ่าฮ่าฮ่า อ้าวอ้าว เป็นอะไรไปล่ะนั่นท่านเว่ย นี่ข้าบอกอะไรไปผิดรึไงกัน”

“ข้าเองก็คิดไว้อยู่แล้วว่าเมื่อพบพี่เทียนเว่ยแล้วแม้แต่ท่านเองก็ยังต้องประหลาดใจเมื่อได้พบเจอ”

“นั่นสิน้า พี่น้องร่วมสาบานที่สาบสูญไปได้พบเจอกัน เป็นธรรมดาที่ต้องตื่นเต้นตกใจ”

“ท่านเว่ย ในเมื่อเราเหล่าพี่น้องได้พบเจอกัน จะยืนอยู่ทำไมเล่า มามา มานั่งแล้วดื่มกันดีกว่า”

แต่ไม่ว่าหลินเฟิงจะฉุดดึงเว่ยหยวนตี้ยังไงก็ตาม เขาก็ไม่มีท่าทีจะขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย เขายังยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน

เมื่อเห็นเป็นแบบนี้ หลินเฟิงจึงรอบส่งเสียงผ่านจิตวิญญาณออกไป -ฉิงเชิน ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมีเรื่องต้องคุยกันแฮะ ถึงแม้ว่าจะผ่านมายี่สิบกว่าปีแล้ว แต่แม้แต่ข้าเองก็ไม่รู้เลยว่าจะคุยอะไรกับเขา ข้าว่าพวกเราอย่าได้อยู่ขัดคอการพูดคุยจะดีกว่า เจ้าน่ะมานั่งคุยเล่นกับพี่หลินเฟิงแทนก็แล้วกันจะดีกว่านา-

เว่ยฉิงเชินเองเมื่อเห็นท่าทางของเฉินเทียนเว่ยและพ่อของตนแล้วก็รับรู้ได้ว่าต้องมีเรื่องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน แต่เธอก็ไม่ได้คิดมากแต่อย่างใด เธอได้กลอกตามองหลินเฟิงและลอบส่งเสียงผ่านจิตวิญญาณออกไป –ลุงหลินเฟิง ก็แค่การดื่ม หนูไม่กลัวหรอกน่า-

หลังจากที่หลินเฟิงและเว่ยฉิงเชินไปนั่งที่โต๊ะแล้วหยิบไหไวน์มาเตรียมที่จะดื่มกิน เฉินเทียนเว่ยก็ได้ยักไหล่แล้วพูดออกมา “เว่ยหยวนตี้ เมื่อเห็นข้ามายืนอยู่ตรงนี้แล้วเจ้ารู้สึกเป็นเช่นไรล่ะนั่น”

ถึงแม้เว่ยฉิงเชินและหลินเฟิงจะแยกตัวไปดื่มไวน์ แต่หูของทั้งคู่ก็ยังเปิดอย่างเต็มพิกัด และเมื่อได้ยินคำพูดนี้แล้ว ไม่ว่าจะนึกตามยังไงก็นึกในทางดีเสียมิได้

และเมื่อทั้งสองได้มองไปที่เว่ยหยวนตี้อีกครั้งก็พบว่าเว่ยหยวนตี้ในตอนนี้หน้าซีดเผือดและร่างกายสั่นเทิ้มไม่หยุด

“เจ้า จะ พี่ พี่เทียนเว่ย ท่าน…ยัง…อยู่”

ในตอนนี้ปากของเว่ยหยวนตี้ราวกับหนักอึ้ง พร้อมใบหน้าที่กระตุกยับ

“แล้วเจ้าคิดว่ายังไงกัน” เสียงพูดของเฉินเทียนเว่ยนั้นราวกับส่งตรงมาจากนรก มันเต็มไปด้วยความเย็นชาชนิดที่ว่าแม้แต่เว่ยฉิงเชินและหลินเฟิงที่นั่งห่างไปไกลก็ยังรับรู้ได้ว่าผิดปกติ และนี่ทำให้ทั้งสองรู้สึกได้ในทันทีว่าการพูดคุยกันระหว่างเฉินเทียนเว่ยและเว่ยหยวนตี้นี้ไม่ใช่การพูดคุยกันของเพื่อนเก่าแต่อย่างใด

แต่มันเหมือนกับศัตรูคู่อาฆาตที่ได้พบเจอ อาฆาตชนิดที่ว่าเปลี่ยนตาเป็นสีแดงก่ำได้ในทันที

และในตอนนี้ ดวงตาของเฉินเทียนเว่ยเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ

เฉินเทียนเว่ยได้ออกมาด้วยเสียงที่กระจ่างชัด “เว่ยหยวนตี้ เจ้าคงไม่คิดสินะว่าฝ่ามือของเจ้าที่ซัดข้าจนร่วงลงไปหน้าผาคนแก่แบบนั้นจะไม่ได้พรากชีวิตข้าไป”

“ข้า เฉินเทียนเว่ยผู้นี้ช่างตาบอดนัก ทำไมข้านั้นถึงได้มองเจ้าเป็นพี่น้องได้กัน”

“ย้อนกลับไปในครานั้น ข้าปกป้องเจ้าจากไอ้พวกมนุษย์กลายพันธุ์ด้วยใจที่ต้องการปกป้อง แต่ในช่วงเวลานั้น เจ้ากลับคิดฆ่าข้าจากด้านหลังเพียงเพื่อปกป้องชีวิตตัวเองไม่ให้ถูกพบเจอจากมนุษย์กลายพันธุ์”

“สวรรค์มีตาที่ทำให้ข้ายังรอดชีวิตมาได้”

“แต่ข้าไม่นึกจริงๆ เว่ยหยวนตี้ เจ้ามันช่างไร้หัวใจนัก”

“ไม่เพียงคิดฆ่าข้า ไม่สิ ไม่เพียงจะฆ่าข้า เจ้ายังไม่คิดปล่อยลูกชายคนเดียวของข้า เฉินเฉียงให้รอดพ้น”

“ย้อนไปตอนนั้น เฉินเฉียงยังเป็นเพียงเด็กแรกเกิดเองนะเว้ย”

“แต่เจ้าก็ยังไม่คิดจะปล่อยเด็กน้อยเมื่อตอนนั้นเพียงเพื่อคิดจะปกปิดความผิดนี้”

“ทำแม้กระทั่งส่งผู้คนจำนวนมากไปไล่ล่ากองกำลังของข้า”

“หากไม่ใช่ซุนต้าฮู่ที่เสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเฉินเฉียงเอาไว้ ข้า เฉินเทียนเว่ยคงจะไร้ซึ่งทายาทไปแล้วในวันนี้”

เมื่อเฉินเทียนเว่ยพูดมาถึงจุดนี้ ทั้งเว่ยฉิงเชินและหลินเฟิงต่างก็นิ่งอึ้งไป

เว่ยฉิงเชินเมื่อตั้งสติได้ เธอเขวี้ยงไหเหล้าที่อยู่ในมือทิ้งไปแล้วพุ่งไปหาพ่อของตนในทันทีแล้วพูดออกมา “ท่านพ่อ ไม่ใช่ว่าท่านบอกว่าลุงเฉินเป็นพี่น้องที่ดีที่สุดของท่านไม่ใช่เหรอ”

“แล้วทำไมท่านถึงได้ฆ่าลุงเฉินกัน แถม….ยังเป็นการลอบทำร้าย”

“ลูกสาวของท่านจดจำได้ว่าในทุกๆปีท่านบอกให้ลูกสาวคนนี้จดจำคุณงามความดีของลุงเฉิน…แล้วทำไม…”

“ท่านพ่อ เกิดอะไรขึ้นกันแน่”

หลินเฟิงได้ยืนขึ้นมาก่อนที่จะหันไปมองเฉินเทียนเว่ย

“พี่ใหญ่เทียนเว่ย ท่านเข้าใจผิดไปรึเปล่า”

“ท่านเว่ยจะฆ่าท่านได้ยังไงกัน”

“ต้องมีเรื่องเข้าใจผิดแน่ๆ”

“พี่เทียนเว่ย ท่านคงไม่เห็นว่าท่านเว่ยนั้นโศกเศร้าแค่ไหนยามที่ท่านตายไป”

“นี่ทำให้ทุกคนต่างก็รับรู้สายสัมพันธ์ระหว่างท่านกับท่านเว่ย ทุกคนที่อยู่ในตึกเหมันต์จันทราในครานั้นต่างก็รับรู้เรื่องนี้”

“ไม่มีทาง”

“ข้าไม่เชื่อว่าท่านเว่ยจะทำร้ายท่าน”

หลังจากได้ยินคำพูดของหลินเฟิงแล้ว เฉินเทียนเว่ยก็ได้หัวเราะออกมาอย่างดังลั่นแล้วกล่าวต่อ

“เว่ยหยวนตี้เอ๋ยเว่ยหยวนตี้ ข้านี่ยอมรับนับถือเจ้าจริงๆ”

“ข้าไม่นึกเลยจริงๆเจ้าจะเล่นใหญ่ขนาดที่ว่ายอมโกหกลูกสาวตนเองมากว่ายี่สิบปี ไม่สิ เจ้าโกหกผู้คนในใต้ล้าเกี่ยวกับเรื่องนี้มากว่ายี่สิบปี”

“แต่นะแต่ แต่เจ้าก็คงคิดไม่ถึงกระมังว่าข้า เฉินเทียนเว่ยที่เป็นตัวเอกในเรื่องนี้ยังคงไม่ตกตาย”

“ในวันนั้นที่ผาคนแก่ นอกจากมนุษย์กลายพันธ์ุที่ไล่ล่าพวกเราให้ตกตาย ก็มีเจ้า หลี่ปิง และข้าที่คอยปกป้องเจ้าไว้”

“บอกมาสิว่าหากไม่ใช่เจ้าที่ข้าใช้ร่างปกป้องแล้วจะเป็นใคร”

“อย่าบอกนะว่าเป็นหลี่ปิง”

“ถึงแม้ข้าจะไม่ใช่คนยโสโอหังในความทรงพลังก็เถอะ แต่ข้ากล้าบอกเลยว่าในตอนนั้น ต่อให้มีสิบหลี่ปิงก็ยังทำอะไรข้าไม่ได้”

คำพูดของเฉินเทียนเว่ยนั้นราวกับได้ส่งตรงลึกเข้าไปในหัวใจเขา

ถูกแล้ว

เขา เว่ยหยวนตี้ได้หลอกลวงผู้คนใต้โลกหล้า

แล้วเขาจะไปหลอกคนที่ถูกกล่าวถึงในเรื่องโกหกได้อย่างไร

“ไม่ เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้”

เว่ยหยวนตี้ได้ก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว ก่อนที่จะชี้ไปที่หน้าของเฉินเทียนเว่ยแล้วพูดออกมา “เจ้าไม่ใช่เฉินเทียนเว่ย”

“ในวันนั้น ข้า เว่ยหยวนตี้ ผู้นี้ได้ลงมือซัดเจ้……”

เมื่อมาถึงจุดนี้ เว่ยหยวนตี้ก็ได้นิ่งค้างไป อย่างไรก็ตาม เฉินเทียนเว่ยได้สบถออกมาแล้วพูดต่อ “อะไรกัน เว่ยหยวนตี้ แม้แต่จะบอกว่าซัดข้าด้วยฝ่ามือจนทะลุกลางอกของเข้าไปด้วยฝ่ามือเดียวแล้วก็ยังพูดไม่ออกอีกเหรอ”

“เจ้า..รู้..ได้…ยังไง เป็น เป็นไปไม่ได้”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เว่ยหยวนตี้ หัวสมองได้อื้ออึงไปหมด

และด้วยประโยคนี้เองทำให้หลินเฟิงและฉิงเชินถึงกับหน้าเปลี่ยนสีอย่างที่สุด

คำพูดนี้มันเทียบได้กับการยอมรับเลยไม่ใช่รึไงกัน

“ท่านพ่อ ทำไมกัน ทำไมพ่อต้องทำแบบนั้นด้วย” เว่ยฉิงเชินในตอนนี้น้ำตาไหลพรากจนแข้งขาอ่อนแรงในทันที ยังดีที่หลินเฟิงคว้าจับร่างของนางไว้ได้ทันก่อนที่เธอจะร่วงหล่นลงไปกองกับพื้น

แม้กระทั่งตอนนี้ เฉินเฉียงก็ยังไม่แยแสต่อเว่ยฉิงเชินและหลินเฟิงแต่อย่างใด เขาจับจ้องไปยังเว่ยหยวนตี้อย่างไม่วางตา

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
ฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษ หลังจากที่เขาศึกษาระบบนี้ทำให้รู้ว่า เขาสามารถดูดความสามารถดั้งเดิมแบบสุ่มของซากศพได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร หรือแม้แต่มนุษย์ด้วยความสามารถนี้ทำให้เฉินเฉียงมั่นใจว่าเขาจะมีชีวิตรอดในยุคโลกาวินาศนี้ได้ ยิ่งเขาฆ่า!มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท