บทที่ 317 กลับเขาเอเวอเรสต์
“ฟู่วววว ดีแล้ว ดีจริงๆ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสามต่างก็ถอดลมหายใจออกมาอย่างโล่งใน
แต่เฉินเฉียงยังคิ้วขมวดแล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่นิ่งลึก “ผู้อาวุโสสูงสุดหลิว อย่าพึ่งดีใจไป”
“ถึงแม้ผู้อาวุโสสูงสุดฮูเตี๋ยนจะส่งคนไปกวาดล้างพวกมันแล้ว แต่พวกท่านก็อย่าได้หลงลืมไป”
“เจ้าตัวหนวดนั่นมันเป็นเพียงแค่หนึ่งในสิ่งมีชีวิตต่างเขตแดน”
“ใครจะรับรองได้ว่าจะไม่มีไอ้ตัวหนวดนั่นอยู่ที่อื่นอีก หรือแม้แต่สิ่งมีชีวิตต่างเขตแดนในรูปแบบอื่น”
“และที่สำคัญยิ่งกว่าคือพวกเราไม่รู้ว่าไอ้ตัวนี้มันมาที่โลกเราได้ยังไง”
“ถูกต้อง สิ่งที่นายเหนือหัวพูดมานั้นถูกต้องแล้ว แล้วพวกเราจะป้องกันเรื่องนี้ยังไงล่ะ”
“นายเหนือหัว นอกจากสายเลือดของท่านแล้ว ไม่มีหนทางอื่นในการต่อกรกับพวกมันอีกจริงๆรึ”
“นายเหนือหัว ข้าว่าพวกเราควรจะค้นหาว่าพวกมันนั้นเข้ามาที่โลกของเราได้เช่นไร ไม่อย่างนั้นล่ะก็ พวกเราจะต้องเผชิญหน้ากับหายนะเป็นแน่”
หลินจิ้น หลิวฉิง และหลูเป็งต่างก็มีท่าทีร้อนรน
ส่วนฮูเตี๋ยนและหยางตู๋นั้น ทั้งสองต่างก็สงบนิ่ง
ในมุมมองของพวกเขาแล้ว เฉินเฉียงที่เป็นผู้ค้นพบเรื่องนี้และเป็นถึงนายเหนือหัวแห่งฮุยตู๋ แม้จะเป็นปัญหาใหญ่ขนาดนี้ พวกเขาเชื่อว่าเฉินเฉียงจะต้องมีหนทางแก้ไขอย่างแน่นอน
เฉินเฉียงได้ยกมือขึ้นห้ามปรามอาการร้อนรนของผู้อาวุโสสูงสุดทุกคน “ทุกท่าน อย่าพึ่งแตกตื่นไป”
“เจ้าตัวหนวดพวกนี้มาจากไหนนั้น แม้แต่นายเหนือหัวผู้นี้ก็ยังไม่รู้เลย”
“แต่ข้าเชื่อว่าตราบใดที่พวกเราทำงานด้วยกัน ปัญหานี้ย่อมสามารถแก้ไขได้”
ทำงานด้วยกันงั้นรึ
หลิวฉิง หลินจิ้น และหลูเป็งมองหน้ากันในทันที จากมุมมองของพวกเขาแล้วต่างก็คิดไปในทางเดียวกัน นั่นก็คือฝันกลางวันชัดๆ
ทั้งสองกองกำลังต่อสู้กันมานับร้อยปี แล้วเพียงแค่พูดก็จะให้พวกเขาร่วมมือกันเนี่ยนะ
เมื่อเห็นท่าทางของทุกคน เฉินเฉียงก็ได้ถอดถอนลมหายใจออกมา เขารู้ดีว่ามันคงยากที่จะเป็นไป เพราะแต่ละคนเองต่างก็ยึดถือทิฐิของตนเป็นที่ตั้ง มันยากยิ่งที่จะสำเร็จได้ในเวลาอันสั้น
อย่างไรก็ตาม เฉินเฉียงก็ยังคิดจะนำพาให้ทั้งสามรวมกันเป็นหนึ่งให้จงได้
แต่หากไม่ได้จริงๆ ก็ลืมเรื่องจัดการสิ่งมีชีวิตต่างเขตแดนไปได้เลย แม้แต่เรื่องของสัตว์หายนะที่เกิดขึ้นก็ยังยากที่จะจัดการแล้ว
“ผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสาม โปรดฟังที่ข้าพูด”
เฉินเฉียงยืนขึ้นแล้วพูดต่อ “อย่างที่ข้าพูดออกไปก่อนหน้านี้ ราชาจักรพรรดิทั้งสามนั้นต่างก็เป็นเพื่อนอันดีต่อกัน เรื่องนี้ข้าพูดด้วยความจริงอย่างที่สุด”
“และข้าบอกได้อีกว่าร่างของทั้งสามนั้นยังคงอยู่ในต่างมิตินั่น เพราะว่าร่างวิญญาณของทั้งสามท่านนั้นยังไม่ได้หายไป”
“เมื่อรับทราบข้อมูลทั้งหมดแล้วและนายเหนือหัวคนนี้เองก็ได้เห็นร่างวิญญาณของทั้งสามท่านมาแล้ว ข้าจึงคิดว่า ทั้งสามท่านนั้นยังคงมีชีวิตอยู่”
“แล้วพวกท่านรู้อะไรรึเปล่า”
“ยามที่นายเหนือหัวผู้นี้ได้พบเจอร่างวิญญาณของทั้งสามท่าน ทั้งสามต่างก็ร่วมมือปลดปล่อยพลังฟ้าดินเพื่อสะกดข่มทางเข้าต่างมิตินั่นเอาไว้”
“แล้วพวกท่านยังมีหน้ามาคิดว่าทั้งสามท่านเป็นอริศัตรูอย่างแค้นฝังลึกกันเนี่ยนะ”
“ไอ้ความคิดแบ่งแยกของพวกท่านโดยเฉพาะกับเผ่าพันธุ์มนุษย์เนี่ย ข้าบอกได้เลยว่าเป็นเพียงการแบ่งแยกเพราะแนวทางการบ่มเพาะที่แตกต่างกันเพียงเท่านั้น”
“ส่วนไอ้ความขัดแย้งระหว่างสัตว์ประหลาดกับมนุษย์มันก็เป็นเพียงเพราะความน้อยใจที่มีต่อสวรรค์ชั้นฟ้าที่รักพวกเราไม่เท่ากันเพียงเท่านั้น ที่เหลือแล้วก็ไม่ได้มีห่าเหวอะไรอีก”
“เพียงแค่เหล่าสัตว์ประหลาดมีอัจฉริยภาพที่เหนือล้ำสามารถดูดซับพลังฟ้าดินได้แต่กำเนิดเหนือกว่ามนุษย์ จะว่าไปมันก็เป็นเพียงแค่การอิจฉาล้วนๆเท่านั้น”
“แต่ทำไมพวกท่านไม่คิดว่าด้วยโอกาสที่สัตว์ประหลาดทั้งหลายได้รับมาแต่กำเนิดนี้ กลับต้องถูกเล็งเป็นเป้าในการเข่นฆ่า พวกเขาจึงทำได้เพียงขวนขวายตัวเองแห่งแข็งแกร่งขึ้นเพื่อที่จะไม่ต้องตกตายก็เพียงเท่านั้น”
“นี่จึงเป็นเหตุผลที่ฮุยตู๋ของเรานั้นไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับการต่อสู้ระหว่างสามเผ่าพันธุ์มาโดยตลอด”
“แต่ในตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว”
“เป็นเพราะไอ้เวรตะไลฮั่นจุยนั้นเล็งหัวทั้งสามเผ่าพันธุ์เอาไว้ หากเรื่องนี้ไม่รีบจัดการ ทั้งสามเผ่าพันธุ์ย่อมต้องสาบสูญไปอย่างแน่นอน”
“เมื่อถึงเวลานั้น ต่อให้ไอ้พวกต่างเขตแดนจะมาโจมตี โลกนี้ก็ไม่เหลือห่าเหวอะไรอีกต่อไป”
เมื่อเฉินเฉียงได้พูดจบ ผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสามต่างก็เงียบงั้น
เมื่อฮูเตี๋ยนได้เห็นก็รู้สึกโกรธเกรี้ยวขึ้นมา
คำพูดของเฉินเฉียงก็เข้าใจได้อย่างชัดแจ้ง เขาไม่รู้จริงๆว่าไอ้พวกเต่าแก่โง่งมพวกนี้คิดอะไรกันอยู่
เมื่อเห็นฮูเตี๋ยนเตรียมที่จะด่ากราด เฉินเฉียงรีบยกมือขึ้นเพื่อห้ามปราม
เพราะเขาคิดว่ากับเรื่องนี้ เขาเองก็ได้พูดไปหมดแล้ว
ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับทั้งสามต้องเป็นฝ่ายคิดตัดสินใจ
หากว่าทั้งสามยังคิดที่จะฆ่าให้ตกตายไปข้าง เขาเองก็ไม่คิดจะแยแสอีก
ความจริงเขาก็ไม่ได้สนใจแต่แรกด้วยซ้ำ
กับเรื่องนี้ เอาจริงๆแล้ว เขาเชื่อว่าต่อให้สิ่งมีชีวิตต่างมิติรุกรานจริง เขาก็เพียงพาคนที่เขาห่วงใยเข้าไปในโลกใบเล็กของเขาก็เพียงพอ
หลังจากนิ่งคิดไปนาน หลิวฉิง หลินจิ้น และหลูเป็งนั้นต่างมองหน้ากันก่อนจะพยักหน้าออกมา ก่อนที่จะพูดออกมาพร้อมกัน “นายเหนือหัวเฉินเฉียง พวกเราเข้าใจในความหมายที่ท่านจะสื่อ แต่พวกเราไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรก่อนเท่านั้น”
เมื่อเห็นฉากนี้ เฉินเฉียงก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงความร่วมมือชั่วคราวที่ดูลักลั่นแบบสุดๆ แต่อย่างน้อยๆก่อนที่ที่เรื่องราวจะถูกแก้ไขก็คงจะไม่มีปัญหาใหญ่กระมัง
“ผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสาม ในตอนที่นายเหนือหัวผู้นี้ได้พบเจอร่างวิญญาณของราชาจักรพรรดิทั้งสามนั้น ทั้งสามได้พูดออกมาว่าพวกเรายังเหลือเวลาอีกประมาณยี่สิบปี”
“ในช่วงยี่สิบปีนี้ หากไม่มีสิ่งใดเหนือความคาดหมาย สิ่งมีชีวิตต่างมิตินั่นน่าจะไม่สามารถรุกรานได้อย่างน้อยๆก็ในรูปแบบทัพใหญ่”
“ยิ่งไปกว่านั้นคือ นายเหนือหัวผู้นี้ได้ให้สัญญากับผู้อาวุโสสูงสุดฮูเตี๋ยนเอาไว้ว่าหลังจากจัดการเรื่องของฮั่นจุยแล้ว ข้าผู้นี้จะเข้าไปยังเขตแดนจักรพรรดิอีกครั้งเพื่อหาทางจัดการเรื่องราวกับสิ่งมีชีวิตต่างเขตแดนพวกนี้”
“ดังนั้นในช่วงเวลานี้คงไม่ต้องกังวลเรื่องสิ่งมีชีวิตต่างมิติแต่อย่างใด”
“แต่ในตอนนี้ สิ่งที่นายเหนือหัวผู้นี้ห่วงที่สุดก็คงเป็นการลงมือของฮั่นจุยและสัตว์หายนะของมันที่ก่อการบนโลกนี้”
“หากว่าพวกเราไม่อาจจะจัดการมันได้ สิ่งที่พวกเราทำกันก็เปล่าประโยชน์อยู่ดี”
“ผู้อาวุโสสูงสุดหลิวฉิง ผู้อาวุโสสูงสุดหลินจิ้น และผู้อาวุโสสูงสุดหลูเป็ง ผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสาม ข้าหวังว่าพวกท่านจะทัดทานคนของตนเองไม่ได้ให้เกิดความขัดแย้งภายในได้อีก”
“อ้อ ในเมื่อพูดไปแล้ว ผู้อาวุโสสูงสุดหลิวฉิง ข้าต้องการตัวหลินเฟิง ผู้การแห่งตึกจอมพลเหมันต์จันทรา และหลี่เชินแห่งตึกหยงซิ่งที่อยู่ในสังกัดของตึกจอมพลภาคกลางมาเข้าร่วมกับฮุยตู๋ คงต้องรบกวนท่านแจ้งให้ทั้งสองทราบแล้วให้ติดต่อกับผู้อาวุโสสูงสุดฮูเตี๋ยนในภายภาคหน้า”
เมื่อหลิวฉิงได้ยินก็อดที่จะปลื้มปริ่มไม่ได้ เขาได้โค้งให้เล็กน้อยราวกับต้องการขอบคุณแล้วพูดออกมา “ชายชราผู้นี้ขอขอบคุณนายเหนือหัวแทนทั้งสองคนนั้นที่ให้ความเมตตานี้”
การที่มีคนของเผ่าพันธุ์ของตนสองคนได้เข้าร่วมกับฮุยตู๋นั้น นี่เป็นข่าวดีกับผู้อาวุโสสูงสุดเช่นเขาอย่างที่สุด
เพราะนี่จะทำให้ในฮุยตู่นั้นจะมีตัวแทนแห่งเผ่าพันธุ์เป็นปากเป็นเสียงให้เขา
และด้วยนิสัยของเขาแล้วนั้น ทั้งฮู่ต้าไฮ่ หลูฟาง และเว่ยฉิงเชิน เขานั้นต้องการให้คนเหล่านี้เข้าร่วมกับฮุยตู๋ หรืออย่างน้อยก็ต้องได้รับความคุ้มครองจากฮุยตู๋
อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่ฮูเตี๋ยนนั้นน่าจะรู้จักนิสัยของเขาดี เขาเชื่อว่าในอนาคต ฮูเตี๋ยนนั้นจะต้องจัดการเรื่องนี้ให้เขาโดยไม่แม้แต่ต้องเอ่ยปาก
“แล้วก็” เฉินเฉียงได้หันไปมองหลินจิ้น “ผู้อาวุโสสูงสุดหลินจิ้น ช่วยเป็นธุระให้ข้าในการจัดการให้เจิ้งเชิงที่อยู่ใต้อาณัติของราชาฉินฉวงทีว่าให้เขานั้นติดต่อหาผู้อาวุโสสูงสุดฮูเตี๋ยนเพื่อมาเข้าร่วมกับฮุยตู๋”
หลินจิ้นนั้นรู้ดีว่าเฉินเฉียงนั้นเป็นมนุษย์ ย่อมเป็นธรรมดาที่เขาจะนำคนในเผ่าพันธุ์เข้าร่วมกับฮุยตู๋ แต่เขาก็ไม่คิดว่าเฉินเฉียงนั้นจะมีความคิดที่จะดึงคนจากเผ่าพันธุ์มนุษย์กลายพันธุ์เข้าร่วมด้วยแบบนี้ นี่ทำให้หลังจากที่เขาหายตกตะลึง เขารีบโค้งคำนับก่อนจะพูดออกมา “ขอขอบคุณท่านนายเหนือหัวอย่างที่สุด ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นี้จะจัดการเรื่องนี้อย่างแน่นอน และขอขอบคุณแทนเจิ้งเชิงด้วยที่เห็นค่าในตัวเขา”
ท่ามกลางเผ่าพันธุ์ทั้งสามนี้ มีเพียงเผ่าพันธุ์สัตว์ประหลาดเท่านั้นที่เขานั้นไม่ได้รู้ตื้นลึกหนาบางแต่อย่างใด ถึงแม้หลูเป็งจะรอคอยอยู่นาน แต่เฉินเฉียงก็ยังไม่ได้มีการเรียกขานร้องขอคนของเขาสักทีจนเริ่มมีสีหน้าอึมครึม
ฮูเตี๋ยนที่เข้าใจเรื่องนี้ดีก็ได้พูดออกมาเพื่อสลายความหมองใจนี้ “เฒ่าหลู อย่าได้กังวลไป ยังไงซะฮุยตู๋ของเรานั้นในทุกปีก็เลือกเฟ้นคนจากสามเผ่าพันธุ์ให้เข้าร่วมกับฮุยตู๋อยู่แล้ว แน่นอนว่าคนของเจ้าย่อมไม่น้อยกว่าคนอื่น”
“ที่นายเหนือหัวไม่อาจตัดสินใจเลือกคนของเจ้าได้นั้นเป็นเพราะท่านไม่รู้เรื่องราวจากฝั่งของเจ้ามากมายนัก”
“เอาน่า อย่างน้อยๆเจ้าก็ควรจะเห็นเจ้าลิงน้อยก่อนหน้านา เขาดูแลมันอย่างดีแม้แต่เจ้าก็น่าจะยังอิจฉาด้วยซ้ำ”
หลูเป็งเมื่อได้ยินก็เข้าใจในทันทีจึงรีบก้มหัวแล้วพูดออกมา “ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นี้เข้าใจแล้ว ผู้นำเช่นนายเหนือหัวนั้นย่อมมองคนอย่างเที่ยงธรรม”
“อย่างไรก็ตาม ท่านนายเหนือหัว ฮั่นจุยนั้นยังไงซะก็เป็นถึงราชาจอมพลขั้นกลาง หากไม่ใช่ผู้ที่อยู่ในระดับเทียบเท่าราชาจอมพลขั้นสูง ข้าเกรงว่าคงยากจะติดตามได้”
“ข้าขอบังอาจถามว่าหากพวกเราไม่พบเจอมันผู้นั้นในเวลาอันสั้น แล้วท่านนายเหนือหัวจะรอคอยได้ถึงเมื่อใด”
เมื่อได้ยินคำถามนี้แล้ว เฉินเฉียงได้จ้องมองไปยังหลูเป็งด้วยสายตาที่นิ่งลึก
ถึงแม้หลูเป็งจะเป็นสัตว์ประหลาด ต่อห้วงความคิดของเขาไม่ได้เล็กน้อยอย่างที่ใครๆคิด
แม้แต่หลูเป็งและหลินจิ้นก็ยังไม่คิดมาก่อนว่าหลูเป็งจะเป็นคนพูดถึงเรื่องนี้ นี่แสดงให้เห็นว่าหลูเป็งนั้นเป็นผู้ที่มีความคิดรอบคอบและถี่ถ้วนอย่างมาก
และนี่ทำให้แม้แต่หลิวฉิงและหลินจิ้นก็ยังต้องจ้องมองไปยังเฉินเฉียง
ฮูเตี๋ยนเองก็อยากจะถามคำถามเดียวกันอยู่แล้ว เขาจึงได้ส่งเสียงผ่านจิตวิญญาณไปหาเฉินเฉียง “นายเหนือหัว จะดีกว่าหากปล่อยให้ฮั่นจุยเป็นเรื่องของไอ้แก่คนนี้จัดการ ส่วนท่านนั้นไปจัดการเรื่องสิ่งมีชีวิตต่างมิตินั่นจะดีกว่า หรือไม่ก็คิดหาวิธีนำร่างของจักรพรรดิทั้งสามกลับมาก่อนได้จะดีที่สุด”
เฉินเฉียงเองก็นิ่งคิดไปเล็กน้อย ก่อนที่จะพูดออกมา “เอาอย่างนี้ ข้าจะรอท่านทั้งสามอยู่ที่เอเวอเรสต์ต์ทางทิศใต้เป็นเวลาครึ่งปี”
“หากในระหว่างนี้พวกท่านยังไม่ได้ข่าวคราวของฮั่นจุย นายเหนือหัวผู้นี้จะเข้าไปต่างเขตแดนเพื่อจัดการเรื่องราว”
ทุกคนเมื่อได้ยินต่างก็พยักหน้ารับ
สำหรับพวกเขาแล้ว ทั้งสองเรื่องต่างก็มีเวลาในการจัดการที่จำกัด
ต่อให้เขาไม่คิดที่จะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวของทั้งสามเผ่าพันธุ์อีก เพราะคิดยังมีเรื่องอื่นที่ต้องทำ แต่ดูๆไปแล้ว ทั้งสามเผ่าพันธุ์ก็คงไม่ก่อเรื่องราวเพราะยังต้องให้เขาช่วยเหลืออยู่ คิดว่านะ
เมื่อเห็นฉากนี้เอง ฮูเตี๋ยนก็ยังทำได้เพียงทอดถอนลมหายใจ
สำหรับเขาแล้ว ขอเพียงเฉินเฉียงนำร่างของราชาจักรพรรดิทั้งสามกลับมาได้ เพียงเท่านั้นเขาก็พอใจแล้ว
ถึงแม้จะเป็นครึ่งปี แต่เขาสามารถรอได้
หลังจากพูดคุยกันหมดสิ้น หลินจิ้นและหลูเป็งก็จากไป
เฉินเฉียง ฮูเตี๋ยน และหยางตู๋ ได้กล่าวอำลาหลิวฉิงเตรียมที่จะจากไป
หลังจากเดินออกมาจากประตูหอประชุม ตอนที่เฉินเฉียงเตรียมที่จะจากไป เขาก็ได้ยินเสียงฉิงเชินเอ่ยถามขึ้นมาในทันที “เรื่องที่ว่ามาเป็นความจริงเหรอ”
ถึงแม้ว่าหน้าตาของเว่ยฉิงเชินจะยังคงเรียบเฉย แต่มือน้อยๆของเธอที่ใช้ประคองเว่ยหยวนตี้อยู่นั้นกลับทรยศความต้องการของเธออย่างที่สุด
เมื่อเห็นมือที่สั่นเทานี้ เฉินเฉียงก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นมาก่อนจะพยักหน้าออกไป “สิ่งที่ข้าพูดล้วนเป็นความจริง ทั้งเรื่องสิ่งมีชีวิตต่างเขตแดนและเรื่องที่โลกของเรากำลังถูกรุกราน”
“ข้าไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น” เฉินเฉียงส่ายหัวไปมาและพูดต่อ “ข้าหมายถึงเรื่องที่ลุงเว่ยตกตายเพราะฮั่นจุยต่างหาก”
เฉินเฉียงพยักหน้ารับและพูดออกมาอย่างจริงจัง “ถูกต้อง มันเป็นความจริงอย่างที่สุด”
เฉินเฉียงได้ขบริมฝีปากก่อนที่จะพูดออกมาเบาๆ “ข้าเข้าใจแล้ว โปรดวางใจ เพื่อที่จะให้พ่อของเจ้ายกโทษให้ในสิ่งที่เขาได้รับ ข้าจะไปจับตัวฮั่นจุยมาให้เจ้าให้ได้”
เมื่อเฉินเฉียงได้ยินก็ตกตะลึงและรีบทัดทานในทันที “ฉิงเชิน เจ้าอย่าได้ทำเช่นนั้น”
“ฮั่นจุยเป็นถึงราชาจอมพลขั้นกลาง มันไม่ใช่คนที่เจ้าจะทำอะไรได้”
“ยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นความแค้นของข้า ข้าไม่ต้องการความช่วยเหลือจากคนอื่นในการจัดการมัน”
“ข้าต้องเป็นคนสะสางความแค้นนี้ด้วยตัวเอง”
“ส่วนเรื่องพ่อของเจ้า….”
เฉินเฉียงได้มองไปที่เว่ยหยวนตี้อย่างไม่รู้สึกรู้สาแล้วส่ายหัวในทันที “เรื่องมันจบไปแล้ว ข้าไม่ต้องการพูดถึงอีกต่อไป”
เมื่อเฉินเฉียงพูดจบก็ได้จากไป
เมื่อเห็นเฉินเฉียงจากไป เว่ยหยวนตี้ได้เบือนหน้าหนีจากลูกสาวของตนก่อนที่จะพูดออกมา “ฉิงเชิน ลูกพ่อ เป็นพ่อที่ทำร้ายเจ้าแท้ๆ”
“ไม่อย่างนั้นเจ้าทั้งสองคงได้ครองคู่กันไปแล้ว”
“ท่านพ่อ อย่าพูดอีกเลย”
เป็นตอนนี้ที่ท่าทางของเว่ยฉิงเชินเย็นชาขึ้นมาแล้วประคองเว่ยหยวนตี้ให้เดินออกไป “ลูกสาวของท่านจะดูแลท่านจนแก่เฒ่า ข้าไม่สนใจความรักเพ้อเจ้อนั่นแล้วล่ะ ท่านลืมมันไปซะดีกว่า”
หลังจากออกจากเขาโชวหยางแล้ว หยางตู้ได้กลับไปที่ฐานบัญชาการของฮุยตู๋ ส่วนเฉินเฉียงเองก็ได้ตรงไปยังทิศใต้ของเขาเอเวอเรสต์
ห้าปีก่อน ตอนที่เฉินเฉียงมาที่นี่ เขาได้มาโดยเรือมังกรบินที่เป็นเทคโนโลยีที่ล้ำที่สุดของเผ่าพันธุ์ เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบเจอฮั่นจุยที่นี่
ในตอนนี้ ห้าปีผ่านไป ทุกอย่างล้วนเปลี่ยนแปลง
ฮั่นจุยกลายเป็นศัตรูของสามเผ่าพันธุ์ ส่วนเฉินเฉียงนั้นคือนายเหนือหัวของเผ่าพันธุ์(ฮุยตู๋)
ต่อหน้าทางเข้าเขตแดนนี้ ฮูเตี๋ยนได้ถามออกมาอย่างติดตลก “นายเหนือหัว ข้าได้ยินมาจากเจ้าสองว่าท่านนั้นสามารถออกจากเขตแดนจักรพรรดิได้ด้วยตัวคนเดียว ท่านทำได้ยังไงกัน”
เฉินเฉียงเชิดหน้าเหลือบมองฮูเตี๋ยนในทันที แล้วพูดออกมาประหนึ่งดังเล่นด้วยในทันใด “ดูเหมือนว่าท่านผู้อาวุโสสูงสุดผู้นี้ต้องการจะทดสอบความสามารถของข้าสิน้า…”
“มิกล้า ข้ามิกล้าทำเยี่ยงนั้น ข้าก็เพียงแค่สงสัย….นิดนึง” ฮูเตี๋ยนรีบตอบออกมาอย่างแบ่งรับแบ่งสู้
“มันก็ไม่ได้ยากอะไรนะ ท่านดูเอาเองแล้วกัน”
เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงใช้ทักษะหลบหนีแสงระดับแปด ทักษะเคลื่อนย้ายพริบตาที่อยู่ในระดับสูงสุด และทักษะไร้ตัวตน ทะยานเข้าไปในเขตแดนจักรพรรดิ
“ห้ะ…”
หลังจากตกใจและรีบห้าตัวเฉินเฉียงในพื้นที่โดยรอบอยู่พักหนึ่ง เขาก็ไม่อาจจะหาร่องรอยของเฉินเฉียงได้เจอ
และนี่ทำให้เขาต้องตัดใจเชื่อว่าเฉินเฉียงสามารถเข้าไปในเขตแดนจักรพรรดิได้ด้วยตนเองจริงๆ
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเขาจะครุ่นคิดและลองทำตามยังไงก็ตาม เขาก็ยังนึกไม่ออกว่าเฉินเฉียงเข้าไปได้ยังไง
หลังจากผ่านไปสองนาที เฉินเฉียงก็ได้ปรากฏตัวอีกครั้งต่อหน้าฮูเตี๋ยนพร้อมยิ้มกว้างออกมา
ถึงแม้ว่าฮูเตี๋ยนอยากจะเข้าใจถึงวิธีที่เฉินเฉียงใช้เข้าไปในเขตแดนจักรพรรดิขนาดไหนก็ตาม แต่เขาก็รู้ดีว่าเฉินเฉียงคงไม่บอกเขาโดยง่ายเป็นแน่
ถึงแม้ว่าในฐานะนายเหนือหัวของฮุยตู๋แล้ว เฉินเฉียงจะมีระดับการบ่มเพาะที่แย่กว่าผู้ติดตาม แต่ความสามารถของเขากลับสูงล้ำจนไม่อาจจะคาดคำนวณได้
“สมแล้วที่ท่านเป็นนายเหนือหัวของฮุยตู๋ ความสามารถของท่านนี่แม้แต่พระเจ้าเองก็ยังคาดไม่ถึงเสียด้วยกระมัง”
ฮูเตี๋ยนเองเข้าใจเป็นอย่างดีว่าเฉินเฉียงนั้นย่อมไม่บอกเรื่องวิธีการเข้ากับเขา เขาจึงไม่ได้สนใจแต่อย่างใด
“นายเหนือหัว อีกครึ่งปีให้หลัง ยามที่ท่านเข้าไปในเขตแดนจักรพรรดินั้นท่านจะพาคนเข้าไปเท่าใด”
“พาคนไปเท่าไหร่เหรอ” เฉินเฉียงหันไปมองฮูเตี๋ยนในทันที “ทำไมข้าต้องพาคนไปกับข้าด้วยล่ะ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ฮูเตี๋ยนก็อดที่จะร้อนรนไม่ได้ “นายเหนือหัว ท่านคงไม่วางแผนที่จะไปเผชิญหน้ากับไอ้พวกต่างเขตแดนนั่นคนเดียวหรอกนะ…ไม่ใช่ ใช่รึเปล่า”
“ข้าไม่ยอม”
“ย้อนกลับไป ขนาดท่านราชาจักรพรรดิทั้งสามยังต้องพ่ายแพ้จนทิ้งร่างไว้ต่างมิติเลยนะ แล้วท่านไปคนเดียวจะไม่ยิ่งอันตรายไปอีกรึ”
“ไม่มีทาง ข้าไม่ยอมให้ท่านไปคนเดียวเป็นแน่”