บทที่ 318 บ่มเพาะอย่างเงียบงัน
เมื่อเฉินเฉียงได้เห็นท่าทางค้านหัวชนฝาของฮูเตี๋ยนแล้ว เขาก็รู้ได้ทันทีว่าฮูเตี๋ยนห่วงความปลอดภัยของเขาอย่างที่สุด นี่ทำให้แม้แต่เขาไม่อยากก็ไม่อาจจะเมินเฉยได้
“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นข้าจะปล่อยให้ท่านเป็นผู้จัดการเรื่องนี้แล้วกัน”
เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงก็ได้นั่งขัดสมาธิกับพื้น ก่อนที่จะปล่อยหยานเสวี่ย จางหยวนและคนอื่นๆออกมาจากโลกใบเล็ก
“กัปตัน”
หลังจากทุกคนได้ออกมาแล้ว เมื่อพบว่าตนเองอยู่ที่ใดต่างก็พากันมองเฉินเฉียงอย่างสับสน
“จางหยวน หยานเสวี่ย ข้าได้ให้ฮุยตู๋และอีกสามเผ่าพันธุ์ไปหาร่องรอยของฮั่นจุยในตอนนี้”
“พวกเราจะรออยู่ที่นี่เป็นเวลาครึ่งปี”
“ในระหว่างนี้ข้าขอให้พวกเจ้าเร่งการบ่มเพาะของตน พยายามยกระดับการบ่มเพาะให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วไปได้”
“หลังจากครึ่งปี พวกเจ้าต้องตามข้าไปที่ต่างเขตแดน”
เมื่อจางหยวนและพวกได้ยินก็รีบพยักหน้ารับแล้วนั่งลงบ่มเพาะในทันที
สำหรับจางหยวนและคนอื่นๆนั้น แม้จะยังสงสัยอยู่บ้างว่าต่างเขตแดนที่ว่าจะอันตรายสักเท่าใด แต่พวกเขาก็มั่นใจว่าเกินกว่าจะจินตนาการได้เป็นแน่
สำหรับพวกเขาแล้ว แม้เฉินเฉียงจะมีระดับการบ่มเพาะไม่สูง แต่ยังไงซะ เขาก็เก่งกาจพอที่จะเป็นเสาหลักของพวกเขาได้
ส่วนหยานเสวี่ยนั้นแทบจะไม่ต้องพูดถึงแต่อย่างใด
ต่อให้เฉินเทียนเว่ยไม่สั่งเสียเธอไว้ เธอเองก็ไม่มีทางอยู่ห่างกายเฉินเฉียงอย่างแน่นอน
เมื่อฮูเตี๋ยนเองเห็นศักยภาพในช่วงสิบปีของเฉินเฉียงนี้เอง ฮูเตี๋ยนจึงได้รอบส่งแหวนเก็บของวงหนึ่งให้เฉินเฉียงก่อนจะส่งเสียงผ่านจิตวิญญาณแก่เขา -นายเหนือหัว ในเมื่อในภายภาคหน้า ท่านต้องเข้าไปยังเขตแดนจักรพรรดิแล้ว ในอนาคต ท่านเองก็ต้องการแก่นวิญญาณจำนวนมากในการบ่มเพาะ-
-แหวนวงนี้มีแก่นวิญญาณอยู่ประมาณยี่สิบล้านก้อน ข้าเชื่อว่ามันจะมากพอที่ท่านจะใช้มันในตอนนี้-
ยี่สิบล้านก้อน
เฉินเฉียงมองไปที่ฮูเตี๋ยนอย่างตกตะลึง
ไม่ใช่ว่าเขานำแก่นวิญญาณทั้งหมดของฮุยตู๋ให้เขาหรอกนะ
เมื่อเห็นท่าทางของเฉินเฉียงแล้ว ฮูเตี๋ยนก็ได้ยิ้มออกมาเล็กน้อยและอธิบาย –นายเหนือหัว สิ่งนี้เกิดจากโลกใบเล็กของข้า มันไม่ได้มากมายแต่อย่างใด-
-ใครก็ตามที่เข้าสู่ระดับราชาจอมพลขั้นปลาย โลกใบเล็กของคนคนนั้นจะผลิตแก่นวิญญาณพวกนี้ได้ด้วยตัวเอง-
เฉินเฉียงพยักหน้ารับอย่างเข้าใจและเก็บแหวนไว้ในแหวนเก็บของของเขา
ถึงแม้กองกำลังเทียนเว่ยจะได้รับแก่นวิญญาณมาอย่างมากมายในเขตแดนจักรพรรดิ แต่เมื่อใดก็ตามที่ทั้งกองกำลังเข้าสู่ระดับราชา แก่นวิญญาณที่ได้รับมาย่อมไม่เพียงพอ และพวกเขาจะต้องการแก่นวิญญาณอีกมากมายเหนือการคาดคำนวณ
ต่อให้นับรวมแก่นวิญญาณที่เฉินเทียนเว่ยเหลือไว้ให้เขาไปด้วย พวกมันก็ยังไม่เพียงพอแต่อย่างใด
และเมื่อในตอนนี้ ฮูเตี๋ยนได้มอบสิ่งนี้ให้เขา เรียกได้ว่าเป็นการมอบในสิ่งที่เขากำลังต้องการพอดี
หลังจากจางหยวนและพวกเข้าสู่สภาวะบ่มเพาะจนหมดแล้ว เฉินเฉียงก็ได้นำแก่นวิญญาณออกมาสิบกว่าก้อนแล้วใช้มือขวาของเขาดูดซับพวกมันไป ก่อนที่จะเปิดหน้าจอค่าสถานะของตนมาดู
นับจากที่เขาดูดซับค่าพลังงานมาจากเฉินเทียนเว่ยแล้ว เฉินเฉียงยังไม่มีเวลามาดูค่าสถานะของเขาอย่างจริงจังเลยสักนิด
และนี่คือเวลาอันดี
ยังไงซะเขาเองก็ต้องเขาไปในเขตแดนจักรพรรดิอยู่แล้วเพื่อที่จะไปต่างเขตแดนในอีกครึ่งปี อีกอย่าง เขาต้องจัดการเรื่องราวการรุกรานของสิ่งมีชีวิตต่างเขตแดน ไหนจะยังเรื่องการนำร่างของราชาจักรพรรดิทั้งสามกลับมาอีก
ถ้าจะให้พูดกันตรงๆแล้วเพียงแค่การนำร่างของราชาจักรพรรดิทั้งสามมานั้นก็เพียงพอที่จะทำให้เขายอมเสี่ยงแล้ว
และหากเรื่องราวเป็นไปอย่างที่เขาคิด หลังจากจบเรื่องแล้ว เขาเองสมควรจะมีระดับการบ่มเพาะอยู่ที่ระดับราชาจักรพรรดิ
ราชาจักรพรรดิที่อยู่เหนือผู้คนในโลกหล้า
และด้วยระบบของเขา มีหรือที่เขาจะไม่ได้รับมันมา
เจ้าของระบบ: เฉินเฉียง
ระดับ: นักรบสายเลือดระดับกึ่งราชา
การหลอมรวมทักษะ: 1
การคัดเลือกทักษะ : 12
ค่าพลังงาน: 94,816,160
ค่าการใช้ประโยชน์:1
ค่าความอดทน:670
ค่าความแข็งแกร่ง:628
ค่าความเร็ว:475
ค่าพลังจิต:1246
เคล็ดวิชาการบ่มเพาะ: หลอมเลือดทำลายล้างระดับสูง
เคล็ดวิชาการบ่มเพาะ: ภาพวาดแห่งห้วงมหาสมุทร ระดับสูง
เคล็ดวิชาการบ่มเพาะ: เทคนิคฝึกฝนร่างกายพื้นฐาน ระดับสูงสุด
เคล็ดวิชาการบ่มเพาะ: เทคนิคการเล่นแร่แปรธาตุแบบดั้งเดิม ระดับต้น
เคล็ดวิชาการบ่มเพาะ: เทคนิคการยิงธนูของโฮ่วอี้(ผู้ดับตะวัน) ระดับสูงสุด
ทักษะ: ไร้ตัวตน
ทักษะ: การตรวจสอบด้วยเสียง
ทักษะ: เพลิงดาบสายฟ้าทำลายวิญญาณระดับสูงสุด
ทักษะ: ก้าวย่างสวรรค์ระดับสูง
ทักษะ: ภาษาสัตว์
ทักษะ: แกะรอยด้วยกลิ่น
ทักษะ: เคลื่อนย้ายพริบตาระดับสูงสุด
ทักษะ: สื่อสารไร้สาย
ทักษะ: สะกดจิต ระดับสูงสุด
ทักษะ: สะกดข่มวิญญาณมารสวรรค์ ระดับสูง
ทักษะ: แก่นแท้แห่งการเล่นแร่แปรธาตุ ระดับต้น
ทักษะ: รอบรู้สมุนไพร
ทักษะ: เพลงดาบลมเฉือน ระดับสูง
ทักษะ: อินทรีย์สยายปีก ระดับสูง
ทักษะ: ควบคุมสายน้ำ ระดับ 8 (ทักษะที่ 1)
ทักษะ: เปลี่ยนรูปลักษณ์ (ทักษะที่ 2)
ทักษะ: ปีกสีเงิน ระดับ 9 (ทักษะที่ 3)
ทักษะ: ซ่อนตัวจากแสง ระดับ 9 (ทักษะที่ 4)
ทักษะ: เกราะเหล็กไหล (ทักษะที่ 5)
ทักษะ: คลื่นเสียงทำลายวิญญาณ (ทักษะที่ 6)
ทักษะ: ขอบเขตจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ ขั้นสูง (ทักษะที่ 7)
ทักษะ: คลื่นอัดกระแทก ระดับ 8 (ทักษะที่ 8)
ทักษะ: หมอกคลอบคลุม ระดับ 8 (ทักษะที่ 9)
ทักษะ: ผ่ามิติระดับ 9 (ทักษะที่ 10)
ทักษะ: ห้านิ้วพิศวง(ห้านิ้วสะเทือนสวรรค์) ระดับ 9 (ทักษะที่ 11)
ทักษะ: ขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ ระดับเรียนรู้ (ทักษะที่ 12)
ทักษะ: กลืนกินเลือดปีศาจ
ทักษะ: โลกใบเล็ก ระดับ 3
……
สายเลือด: โกลาหลมัชฌิมา(โกลาหลขั้นกลาง)
หลังจากได้รับค่าพลังงานจากการดูดซับแก่นวิญญาณสิบกว่าก้อนแล้ว เฉินเฉียงก็พอจะรับรู้ได้ว่าในส่วนขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้นั้น เขาไม่สามารถยกระดับมันได้จากการใช้ค่าพลังงาน
ดูเหมือนว่าเขาจะยกระดับมันได้จากการบ่มเพาะเพียงเท่านั้น
เมื่อเจอแบบนี้เฉินเฉียงได้แต่ส่ายหัวไปมาอย่างเสียดาย ทำให้เขาไม่มีทางเลือกที่จะเลิกหวังกับสุดยอดระบบของเขาในเรื่องนี้ไป แล้วนำแก่นวิญญาณออกมาก้อนสองก้อน ก่อนจะเข้าสู่ภวังค์แห่งการบ่มเพาะ
หลังจากดูดซับพลังของเฉินเทียนเว่ยมา ระดับการบ่มเพาะของเขาก็เข้าสู่ระดับกึ่งราชา อีกเพียงก้าวเดียวก็กลายเป็นราชาขุนพลแล้ว
หลังจากจัดการค่าต่างๆในระบบแล้ว เขาก็ได้เลือกเข้าสู่ภวังค์การบ่มเพาะไป
อย่างที่เขาคิดไว้ หลังจากดูดซับแก่นวิญญาณด้วยมือซ้ายไปสิบกว่าก้อน เฉินเฉียงก็รับรู้ได้ถึงพลังฟ้าดินในอกของตน หลังจากนั้นเมล็ดพันธุ์แห่งโลกของเขาก็ได้แตกออก เผยให้เห็นโลกใบหนึ่งที่ดูทรงพลัง
โลกใบเล็กของเขาที่พึ่งจะก่อรูปนี้มีขนาดห้าสิบตารางเมตรเพียงเท่านั้น แต่ถึงแม้มันจะดูเล็ก แต่มันก็ยังเต็มไปด้วยพลังชีวิต ราวกับเป็นลูกน้อยของเฉินเฉียงก็ไม่ปานที่รอคอยให้เขาจัดการและยกระดับมันไปพร้อมกับการคงอยู่ของเฉินเฉียง
ในที่สุดแล้ว เฉินเฉียงก็เข้าสู่ระดับราชาขุนพล
ในขณะที่เฉินเฉียงกำลังมีความสุขอยู่นี่เอง โลกใบเล็กที่พึ่งจะก่อตัวของเขาก็ได้ค่อยๆหลอมรวมกับโลกใบเล็กของเฉินเทียนเว่ยอย่างช้าๆ
เฉกเช่นเดียวกับบอลเลือดปีศาจที่ได้รุกรานไปภายในร่างของมนุษย์ และกลืนกินเลือดและสายเลือดของมนุษย์
แต่ที่แตกต่างกันก็คือ เป็นโลกใบเล็กของเขาที่กำลังกลืนกินโลกใบเล็กของเฉินเทียนเว่ย
เฉินเฉียงที่พึ่งจะหลับตาลง เมื่อได้พบสิ่งนี้ก็ตกตะลึงและคิดจะพยายามหยุดยั้งโลกใบเล็กของตน
นั่นก็เพราะด้วยการที่เขามีระบบอยู่ วิถีการบ่มเพาะของเขาจึงได้ผิดแผกจากทุกคน
อย่างไรก็ตาม ด้วยความผิดแผกนี้เองก็ทำให้เขานั้นมักจะพบเจออะไรหลายอย่างที่แตกต่างจากคนอื่น
เฉกเช่นเดียวกับการหลอมรวมโลกใบเล็กตรงหน้าเขาที่ไม่มีใครคิดว่าจะได้พบเจอ
อย่างไรก็ตาม เฉินเฉียงเองก็ยังถือว่าสวรรค์โปรดปรานเขาถึงได้ส่งระบบนี้มาให้แก่เขาโดยเฉพาะ
แต่เดิม ด้วยวิถีการบ่มเพาะของผู้ที่อยู่ในระดับราชาขึ้นไปนั้น จะทำให้บังเกิดโลกใบเล็กในร่างเพียงแค่คนละหนึ่งเท่านั้น
แต่ด้วยการที่โลกใบเล็กของเฉินเฉียงนั้นก่อรูปขึ้นมาแล้ว มันจึงได้ทำการดูดซับโลกใบเล็กของคนอื่นที่มี แม้จะอยู่ในระดับที่เหนือกว่าก็ตาม
นั่นหมายความว่าเพียงแค่เขาดูดซับโลกใบเล็กของคนอื่น ต่อให้เขาไม่ได้ดูดซับแก่นวิญญาณก็ยังกลายเป็นราชาจักรพรรดิได้
เฉินเฉียงอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวไปมาเมื่อคิดถึงเรื่องนี้
ยังไงซะมันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดแน่นอน
เพราะไม่อย่างนั้นแล้ว ราชาที่อยู่เทียบเท่ากับรับราชาจอมพลช่วงปลายทั้งหลายอย่างฮูเตี๋ยน หลินจิ้น หลิวฉิง และหลูเป็งคงไม่ติดแหงกอยู่ที่ระดับเทียบเท่าราชาจอมพลช่วงปลายเช่นนี้อยู่ช้านาน
นอกจากต้องการโลกใบเล็กที่กว้างใหญ่แล้ว ดูเหมือนว่าจำเป็นต้องมีความสามารถในการควบคุมโลกใบเล็กเหล่านั้นด้วยกระมัง
เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ เฉินเฉียงก็ได้หวนนึกถึงราชาจักรพรรดิทั้งสามเมื่อห้าร้อยปีก่อน เขานั้นจดจำได้ว่า ราชาจักรพรรดิทั้งสามเองก็ยังไม่อาจควบคุมโลกใบเล็กของตนได้อย่างเต็มที่เช่นเดียวกัน
แม้แต่ในตอนที่เฉินเฉียงเข้าไปในเขตแดนจักรพรรดิและอยู่ในนั้นเป็นเวลากว่าสามปี สิ่งเดียวที่ทำให้เขาสะพรึงในโลกใบเล็กของสามจักรพรรดิก็คือขนาดของมันเพียงเท่านั้น
หากเปรียบเขตแดนจักรพรรดิเป็นแจกันที่ขึ้นรูปแล้ว ที่ขนาดมันใหญ่ขนาดนั้นได้ก็เป็นเพียงเพราะการรวมตัวโลกใบเล็กของจักรพรรดิทั้งสามเพียงเท่านั้น
หากเทียบกับเขตแดนลับที่อยู่ปลายบันไดสู่สรวงสวรรค์แล้ว เขตแดนลับนั้นช่างเล็กว่ามากมายนัก
แต่เขาก็เข้าใจได้ว่า เขตแดนลับนั่น เป็นเขตแดนที่ทั้งสามจักรพรรดิสามารถควบคุมได้
หรือจะให้พูดอีกอย่างก็คือ ราชาจักรพรรดิทั้งสาม ยังไม่สามารถเข้าถึงการควบคุมโลกใบเล็กได้อย่างถ่องแท้หรือสมบูรณ์แต่อย่างใด แต่อย่างน้อยต่อให้ตกตายไปพวกเขาก็ยังควบคุมมันได้
หากจะให้พูดตามความเข้าใจของเขาล่ะก็ ราชาจักรพรรดิทั้งสามนั้นยังไม่ได้เข้าสู่ระดับราชาจักรพรรดิแต่อย่างใด
พวกเขาควรจะอยู่ในระดับกึ่งจักรพรรดิเพียงเท่านั้น
เรื่องราวสมควรจะเป็นเช่นนั้น
และเมื่อคิดได้แบบนี้ เฉินเฉียงกลับตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิม
เหตุผลที่ราชาจักรพรรดิทั้งสามนั้นออกจากโลกนี้และก้าวเขาไปยังเขตแดนอื่นนั้นเป็นเพราะพวกเขาพยายามที่จะเข้าถึงระดับจักรพรรดิที่แท้จริงผ่านการบ่มเพาะของผู้คนเขตแดนอื่น
แต่น่าเสียดายที่ทั้งสามต้องตกตายก่อนที่จะได้ฝากตนเป็นศิษย์ แถมยังต้องตกตายทิ้งร่างเอาไว้ยังเขตแดนอื่นอีก
เมื่อคิดได้แบบนี้ เฉินเฉียงก็ได้ความคิดหนึ่งขึ้นมาในทันใด
ถึงแม้ว่าการบ่มเพาะในระดับราชานั้น ขนาดของโลกใบเล็กจะสำคัญก็จริง แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือการควบคุมพลังของโลกใบเล็กเอาไว้ให้ได้
และเพื่อควบคุมพลังของโลกใบเล็กให้ได้นั้น วิธีการที่ดีที่สุดคือการเพิ่มพลังจิตของตน
หากมองจากจุดนี้ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเข้าถึงได้
นั่นก็เพราะคนอย่างเช่นจางหยวนและเจิ้งยี่ที่มุ่งเน้นความทรงพลังแล้ว พวกเขามีค่าพลังจิตอ่อนด้อยกว่าเฉินเฉียงมากนัก
อย่างไรก็ตาม เขาเชื่อว่าด้วยเส้นทางการบ่มเพาะที่มีนับหมื่นนับพัน แต่ละเส้นทางย่อมมีวิธีการควบคุมโลกใบเล็กของตนอยู่เป็นแน่
อย่างเช่นจางหยวนที่มีเส้นทางบ่มเพาะบนสายเลือดแห่งลม สิ่งที่เขาต้องการก็คือการใช้ธาตุลมในการควบคุมโลกใบเล็กของตน
หรือแม้แต่เมิ่งน้อยเอง ก็ยังสามารถควบคุมโลกใบเล็กได้ด้วยธาตุไฟเฉกเช่นเดียวกัน
สำหรับเฉินเฉียงแล้วนั้น ด้วยการที่เขาแปลกแยกจากคนอื่น เขาจึงเข้าใจได้ในทันทีว่าวิธีการสำหรับเขาในการควบคุมโลกใบเล็กนั้นก็คือพลังจิตของเขา
ยกตัวอย่างเช่นการสะกดจิต คลื่นเสียงทำลายวิญญาณ เทคนิคการยิงธนูของโฮวอี้ และคลื่นเสียงอัดกระแทก ทักษะของเขาเหล่านี้ล้วนแล้วแต่อยู่ในระดับสูงเป็นอย่างน้อย
และด้วยการโจมตีทางจิตวิญญาณที่ทรงพลังเหล่านี้ ไม่เพียงจะทำให้เฉินเฉียงมีรูปแบบการโจมตีที่หลากหลายแล้ว เขานั้นยังรู้สึกว่ายิ่งเขาทำให้ตัวเองมีความแข็งแกร่งทางพลังจิตมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งเพิ่มพลังควบคุมให้กับเขามากขึ้นเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้นก็คือเขายังมีขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ที่ดูดซับมาจากเฉินเทียนเว่ยอยู่อีก ถึงแม้ในตอนนี้มันจะมีระดับเพียงหนึ่งเมตรเท่านั้น แต่เขาก็เชื่อว่าในระยะหนึ่งเมตรนี้ เขานั้นไร้ผู้ต้านทานแต่อย่างใด
นี่ถือได้ว่าเป็นทักษะที่ทำให้เขามีพลังควบคุมได้อย่างที่สุด
เมื่อคิดได้แบบนี้ เฉินเฉียงจึงได้ลองปลดปล่อยขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ออกมา และนี่ทำให้เขานั้นสามารถควบคุมโลกใบเล็กของเขาไว้ได้ทั่วทั้งโลก ราวกับว่ามันเองเป็นหนึ่งเดียวกับจังหวะลมหายใจของเขาไปเลย
เมื่อมาถึงตอนนี้ เฉินเฉียงจึงได้สงบจิตใจ ก่อนที่จะใช้เคล็ดวิชาภาพวาดแห่งห้วงมหาสมุทร แล้วเขาสู่ภวังค์แห่งการบ่มเพาะ
ภาพวาดห้วงมหาสมุทรเป็นเคล็ดวิชาที่เฉินเฉียงได้รับมาเมื่อตอนยังอยู่ที่สำนักเต่าดำ มันคือเคล็ดวิชาการบ่มเพาะเส้นทางพลังจิตที่ทรงพลัง และในตอนนี้มันมีระดับอยู่ที่ระดับสูง
ในตอนที่เขาได้รับเคล็ดวิชานี้มา ในทุกครั้งที่เขาได้ฝึกฝน ค่าพลังจิตของเขาก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้น
แต่ในตอนนี้ หลังจากเขาได้ลองฝึกฝนมันดู มันทำให้เขารู้สึกต่างออกไปจากเดิม
ก่อนหน้านี้ ยามใดที่เขาเข้าสู่ห้วงแห่งการบ่มเพาะ สิ่งเดียวที่สัมผัสได้ก็คือภาพของห้วงมหาสมุทร ที่ถาโถมเข้าสู่จิตใต้สำนึกของเขา
แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม
นอกจากห้วงมหาสมุทรที่ปรากฏอยู่ในห้องจิตสำนึกแล้ว เฉินเฉียงยังรู้สึกได้ถึงระลอกคลื่นที่ซัดสาดในระยะยี่สิบไมล์
แถมเขายังรับรู้ได้ถึงโลกภายนอกอีกด้วย
และเมื่อยิ่งเขาเพ่งจิตมากยิ่งขึ้น เขาก็พบว่าเขาสามารถปรับเปลี่ยนรายละเอียดของมหาสมุทรในระยะหนึ่งเมตรได้ตามใจนึก
ในระยะหนึ่งเมตรนี้ เขาสามารถเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน แม้กระทั่งลักษณะของฟองที่เกิดขึ้นหลังจากน้ำทะเลโถมทับกัน
เป็นเช่นนี้นี่เอง
เมื่อเฉินเฉียงจับจุดได้ พลังจิตของเขาก็ยกระดับสูงขึ้นไปอีก
สิ่งที่เรียกว่าการควบคุมนี้มีระยะของมันอยู่ แต่การควบคุมนี้ก็สามารถทำได้ทั้งควบคุม เปลี่ยนแปลง สร้างสรรค์ โยกย้าย และทำลายตามใจนึก
ในระยะหนึ่งเมตรนี้ เฉินเฉียงสามารถรับรู้ได้ถึงทุกสิ่งได้อย่างกระจ่างชัด แต่กระนั้น เขาก็ยังไม่อาจควบคุมหรือเปลี่ยนแปลงได้อย่างใจปรารถนาแต่อย่างใด
และหลังจากทำความเข้าใจแล้ว เฉินเฉียงก็ไม่ได้ใส่ใจเกี่ยวกับระยะการรับรู้ด้วยพลังจิตของเขาอีกต่อไป เขามุ่งเน้นไปที่การควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างในระยะรอบตัวหนึ่งเมตรนี้แทน
และในเขตแดนที่เขาสร้างขึ้นมาในจิตใต้สำนึกของเขานี้เอง เฉินเฉียงได้เปลี่ยนแปลงสภาพของน้ำทะเลได้อย่างที่ใจของเขานึกได้ เปลี่ยนได้แม้แต่กระแสน้ำหรือแม้แต่สภาพของมันให้เยือกแข็งได้
มีอยู่ช่วงหนึ่ง เขาได้ลองเปลี่ยนรูปของมันให้เป็นหอกเหล็กและลองหยิบมันออกไปดู ตามด้วยการเปลี่ยนมันให้เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตเล็กๆมากมายอย่างเพลิดเพลิน
เวลาล่วงเลยเท่าไหร่เขาก็ไม่ได้รับรู้
เมื่อเฉินเฉียงลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็พบจางหยวน หยานเสวี่ย และฮูเตี๋ยนนั่งรายรอบเขาพลางถลึงตามองที่เขาอย่างตกใจ
“เฉินเฉียง เป็นอะไรรึเปล่า”
หยานเสวี่ยได้ถามออกมาพร้อมดวงตากลมโตที่ส่องประกายอย่างห่วงใย(มองตาแป๋ว)
“ไม่เป็นไรไม่เป็นไร” เฉินเฉียงพูดออกมาอย่างผ่อนคลายพร้อมรอยยิ้ม “ดูเหมือนว่าครั้งนี้ข้าจะใช้เวลาไปนานพอดูนะ นี่ข้าเข้าสู่ภวังค์ไปนานเท่าไหร่กัน”
“เท่าไหร่…เหรอ” ฮูเตี๋ยนเมื่อได้ยินก็รีบป้องมือแล้วพูดออกมา “นายเหนือหัว คำถามนี้ช่างง่ายดายนัก”
ท่านนั้นไม่ได้ลืมตาขึ้นมากว่าห้าเดือนแล้ว
“แต่ดูเหมือนว่านายเหนือหัวจะก้าวเข้าสู่ระดับราชาขุนพลแล้วกระมัง”
เฉินเฉียงพยักหน้ารับอย่างประหลาดใจเหมือนกัน
เพียงเวลาห้าเดือน เขาก็ได้กลายเป็นราชาขุนพลอย่างสมบูรณ์
และหากดูจากขนาดของโลกใบเล็กของเขาแล้ว เขาเองก็ควรจะอยู่ในระดับราชาขุนพลขั้นสูงแล้ว
อย่างไรก็ตาม เฉินเฉียงนั้นเข้าใจได้เป็นอย่างดีว่าตัวเขาในตอนนี้ยังเป็นเพียงราชาขุนพลขั้นต้นเพียงเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากบ่มเพาะเคล็ดวิชาภาพวาดห้วงมหาสมุทรไปแล้วนั้น เขาสามารถควบคุมโลกใบเล็กของในพื้นที่สองถึงสามเมตรเพียงเท่านั้น
นี่ทำให้เขาถึงกับส่ายหัวในทันที
เขารู้สึกว่าระดับการบ่มเพาะของเขานั้นช้าเกินไป
เมื่อเทียบกับขนาดของโลกใบเล็กของเขาที่ในตอนนี้มีพื้นที่ประมาณสามสิบตารางกิโลเมตรมันยังช่างห่างไกลนัก
หากเป็นอย่างนี้ต่อไป กว่าเขาจะควบคุมโลกใบเล็กของเขาได้อย่างสมบูรณ์ก็คงจะใช้เวลาอย่างน้อยสองร้อยปีเห็นจะได้
แต่ว่าเขาจะอยู่ถึงตอนนั้นรึเปล่าก็ไม่รู้
เวลาสองร้อยปีนี่มันเทียบเท่ากับชีวิตการบ่มเพาะของฮูเตี๋ยนเลยทีเดียว
หรือว่าสิ่งที่เขาคิดไว้ก่อนหน้านี้มันผิดกัน