บทที่ 328 ต่อแถว
ที่อีกฟากของจุดรับสมัครศิษย์ของสำนักเต๋าใต้บาดาลมีผู้คนอยู่น้อยนิด
ที่ฝั่งนี้มีโต๊ะตั้งอยู่เพียงสี่ตัวเท่านั้น มีชายหนุ่มสี่คนที่มีอายุราวๆ ยี่สิบสองถึงยี่สิบสามนั่งประจำอยู่ในแต่ละโต๊ะ พร้อมกับท่าทีที่เบื่อหน่อย ทำเพียงแค่คอยตอบข้าซักถามของผู้คนที่แวะเวียนเข้ามา
แต่ถึงแม้ว่าคนประจำโต๊ะจะมีหน้าตาที่บอกบุญไม่รับ แต่ก็ยังมีคนกล้าเข้าไปถามอยู่บ้างเหมือนกัน
บนโต๊ะนี้มีป้ายเขียนเอาไว้เขียนว่า แผนกวิชายุทธ แผนกปรุงยา แผนกวัตถุวิญญาณ(ของขลัง) และแผนกหุ่นเชิดโลหิต
ถึงแม้ทางสำนักเต๋าใต้บาดาลจะมีแผนกหุ่นเชิดโลหิต แต่ที่นี่ก็ไม่มีการจัดแสดงวิชาหุ่นเชิดโลหิตแต่อย่างใด
ที่ด้านหน้าของโต๊ะเหล่านี้ ผู้คนส่วนใหญ่เข้าแถวต่อแผนกวิชายุทธมากที่สุด รองลงมาก็คือแผนกปรุงยา
และเมื่อเฉินเฉียงเดินมาถึง เขาก็ได้ยินคนที่ประจำที่รับสมัครแผนกวิชายุทธถามออกมาด้วยเสียงอันดังลั่น “ไอ้หนู คนที่อยู่ข้างหลังเจ้านั้นเป็นใคร”
“เรียนศิษย์พี่ นี่เป็นผู้ติดตามของข้า”
“อย่ามาเรียกข้าว่าศิษย์พี่ และต่อให้เจ้าได้เข้าสำนักเต๋าใต้บาดาลของเรา เจ้า ก็ยังยากที่จะมีสิทธิ์เรียกคำนี้กับข้า”
“ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าเจ้ายังไม่ได้ผ่านการสอบเลยด้วยซ้ำ เจ้าจึงไม่ใช่ศิษย์ของสำนักเต๋าใต้บาดาลแต่อย่างใด”
“ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้เจ้าเข้ามาได้จริงๆ ผู้ติดตามของเจ้าเองก็ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเท่ากับเจ้า และต่อให้เจ้าไม่ผ่านการทดสอบ ค่าธรรมเนียมเหล่านั้นจะไม่ได้รับคืนแต่อย่างใด”
“ห้ะ แม้แต่ผู้ติดตามก็ยังคิดเงินรึ”
ชายหนุ่มเหลียวหลังไปมองผู้ติดตามของตนในทันที “ฝู๋น้อย เจ้ากลับไปก่อนแล้วกัน ตระกูลของเราไม่ได้มีฐานะการเงินดีนัก มันเพียงแค่พอใช้จ่ายกับข้าคนเดียวเท่านั้นหากข้าได้เข้าไปเป็นศิษย์ของที่นี่ หากว่าต้องจ่ายส่วนของเจ้าด้วย ข้าเกรงว่าตระกูลของเราคงไม่อาจรับไหว”
“นายน้อยโปรดระวังตัวด้วย อย่าให้ใครรังแกท่านได้นะ”
และนี่ทำให้นายบ่าวทั้งสองคนต้องแยกจากกันทั้งน้ำตา นี่ทำให้ผู้รับสมัครนั้นยิ้มเยาะในทันที “ไอ้เด็กนี่ นี่มันคิดว่าสำนักเต๋าใต้บาดาลของเรานั้นเป็นบ้านตัวเองรึไง คิดจะมีผู้ติดตามรึ หึ ช่างน่าขันนัก”
และฉากนี้เองก็ทำให้บรรดาชายหนุ่มและหญิงสาวหลายๆคนอดที่จะหัวเราะเยาะเย้ยพลางกระซิบกระซาบกันไม่ได้ และไม่นาน คนอีกกลุ่มหนึ่งก็เดินออกไป
หยานเสวี่ยได้มองไปรอบๆแล้วถามออกมา “พวกเราจะเข้าแผนกใดกัน”
เฉินเฉียงได้เลิกคิ้วขึ้นมาก่อนที่จะยิ้มและส่งเสียงผ่านจิตวิญญาณของตนไปหาหยางเสวี่ย –เท่าที่ดูนั้น คนของสำนักเต๋าเองก็เป็นเพียงแค่เทียบเท่ากับนายพลวิญญาณเพียงเท่านั้น ดังนั้นแผนกวิชายุทธย่อมไร้ค่า-
-ส่วนแผนกวัตถุวิญญาณ ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเพียงการหลอมสร้างวัตถุเพียงเท่านั้น นี่ไม่ได้น่าสนใจแต่อย่างใด ข้าคิดว่าพวกเราคงจะต้องเข้าแผนกปรุงยาแล้วล่ะนะ-
ถึงแม้ว่าหยานเสวี่ยจะไม่ได้สนใจเรื่องการปรุงยาของสำนักเต๋า แต่เธอนั้นไม่อาจแยกจากเฉินเฉียงไปได้ เธอจึงได้ตามใจเขาในเรื่องนี้
หลังจากพยักหน้ารับแล้ว หยานเสวี่ยก็ได้ไปต่อท้ายแถวของแผนกปรุงยา โดยมีเฉินเฉียงเดินตามหลังไปอย่างไม่ห่าง
ที่ด้านหน้าของหยานเสวี่ยนั้นเป็นหญิงสาวคนหนึ่ง
หญิงสาวคนนี้หากเปรียบเทียบกับหยานเสวี่ยแล้วนั้น หยานเสวี่ยที่ไม่ได้แต่งแต้มสีสันบนใบหน้า แต่ชุดของเธอที่เหลืองอร่ามประกายทางนี้ กลับยกให้เธอดูงามสง่าสูงศักดิ์และดูบริสุทธิ์ จนพูดได้ว่าดึงดูดสายตาได้ไม่ด้อยไปกว่าคนที่อยู่หน้าเธอเลยสักนิด
ถึงแม้ว่าเฉินเฉียงจะไม่ได้เห็นใบหน้าหญิงสาวคนนี้ก็ตาม แต่ด้วยท่าทางของผู้ชายโดยรอบที่กลืนน้ำลายกันจนดังยามเดินผ่าน เขาก็บอกได้ว่าคงจะงามงดไม่น้อย
ในขณะเดียวกันนี้ หยานเสวี่ยที่อยู่ตรงหน้าของเฉินเฉียงเองก็ตกเป็นเป้าสายตาด้วยเช่นเดียวกัน
“หวา…. วันนี้วันอะไรกันเนี่ย ทำไมถึงได้มีสาวงามสองคนมาปรากฏตัวอยู่พร้อมกัน แถมยังคิดจะเข้าทดสอบกับแผนกปรุงยาพร้อมกันเสียอีก หากพวกเขารับทั้งสองคนเข้าร่วมล่ะก็ ไอ้พวกศิษย์ผู้ชายของแผนกนี่ช่างน่าอิจฉานัก”
“นั่นสิ น่าเสียดายจริงๆที่พ่อของข้าสั่งให้ข้าเข้าแผนกวิชายุทธไป ไม่อย่างนั้นข้าเองก็คงไปเข้าแผนกปรุงยาเพื่อได้เรียนร่วมกับสาวงามสองนางนี่ไปแล้ว”
“เฮ้ พี่ชาย ท่านว่าใครงามงดกว่ากันล่ะ”
“ก็ต้องแม่นางชุดแดงสิ หน้าอกของนางเพียงพอจะวางแก้วไวน์ได้สองแก้วสบายๆเลยนะ ทรวดทรงองเอวขนาดนั้นนี่ช่างน่าเย้ายวนนัก”
“ดูเจ้าทำหน้าหื่นเข้าสินั่น สำหรับข้าว่าผู้หญิงคนนั้นเมื่อนำไปเทียบกันแล้ว ดูราวกับผู้หญิงหากินยังไงก็ไม่รู้”
“แม่นางคนข้างหลังนั่น เธอดูสูงสง่าและบริสุทธิ์ผุดผ่องราวกับนางฟ้านางสวรรค์ในดินแดนเทพเซียน แต่หากจะถามว่าใครงามกว่ากันนั้นก็ต้องถามกันก่อนล่ะนะว่าความงามคือสิ่งใด”
“ใครจะงามกว่าข้าไม่สน ตราบใดที่นางทั้งสองคนงามงดขนาดนี้ ข้าว่าข้าไม่เข้าร่วมกับแผนกวิชายุทธแล้ว ข้าจะเข้าสมัครแผนกปรุงยาแล้วกัน”
“ฮู่น้อย เจ้านั้นโดดเด่นด้านวิชายุทธไม่ใช่รึไงกัน”
“แล้วเจ้าจะเข้าไปแผนกปรุงยาทำซากอะไร”
“เจ้าไม่ใช่ว่ามีความฝันที่จะพิชิตใต้หล้าอยู่ไม่ใช่รึ”
“นั่นมันก็แค่เรื่องเก่าก่อนเท่านั้นล่ะเว้ย ตราบใดที่ไม่มีสองสาวงามนี้อยู่ปลายทาง แล้วข้าจะเรียนวิชายุทธไปทำบ้าอะไร”
“ฝันยังไงก็เป็นเพียงแค่ความฝัน แต่สาวงามสองนางนี้คือความจริงเฟ้ย”
เพียงชั่วเวลาสั้นๆ ในตอนนี้แผนกปรุงยานั้นได้รับความสนใจจากชายหนุ่มที่เข้าสมัครในแผนกวิชายุทธในทันที และเมื่อความสนใจนี้มีเพิ่มสูงมากขึ้นเรื่อยๆ จนส่งผลให้คนที่คิดจะสมัครแผนกวิชายุทธย้ายแถวของตนในทันที
“ไอ้ฉิบหาย หลิวเซียง ไอ้เด็กนรก นี่เจ้าเพียงเพื่อที่จะให้ได้รับศิษย์เข้าร่วมแผนกถึงกับต้องใช้วิธีการเช่นนี้รึ”
“นี่เจ้าไปหาสาวงามล่มเมืองเช่นนี้มายังไงตั้งสองคนน่ะ ห้ะ”
“แต่ก็อีกล่ะนะ เชิญเจ้าทำตามใจชอบได้เลย ยังไงซะในตอนนี้ผู้ที่เขามาสมัครเป็นศิษย์แผนกวิชายุทธก็ยังมากกว่าล่ะเว้ย”
“คอยดูเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ข้าจะหาสาวที่งามหยดย้อยยิ่งกว่ามาเข้าร่วมกับข้าให้ได้เลย คอยดู”
หลิวเซียงที่กำลังก้มหน้าก้มตารับสมัครศิษย์ในแผนกปรุงยาอยู่นั้น เมื่อได้ยินแบบนี้แล้วก็อยากจะพูดสวนกลับไป แต่เมื่อได้เห็นสาวงามที่ตกเป็นประเด็น เขาเองก็มีสายตาที่ลุกวาวในทันใด
จากคนที่มีท่าทางเบื่อหนาวหาวนอนก็เปลี่ยนเป็นคนที่มีท่าทางองอาจในทันที
ท่ามกลางเสียงพูดคุยนี้ สาวงามที่อยู่ตรงหน้าหยานเสวี่ยก็อดไม่ได้ที่จะสนใจเช่นเดียวกัน
และเมื่อเธอหันมามองก็ได้ประจักษ์กับสายตาตนเองว่าหญิงสาวที่ต่อแถวตามหลังเธอนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าเธอเลยแม้แต่น้อย
และนี่ก็ทำให้เธออดที่จะเขม่นหยางเสวี่ยเสียไม่ได้ แต่เป็นตอนนี้ที่เธอต้องตากับเมิ่งน้อยที่อยู่ในอ้อมกอดของหยานเสวี่ย
“อ้า…. สัตว์วิญญาณตัวน้อยน่ารักจัง พี่ใหญ่หลี่กวง ดูนี่สิ สัตว์วิญญาณตัวนี้ช่างน่ารักและงดงามนัก”
สาวชุดแดงสดได้กระตุกชายเสื้อผ้าไหมของชายหนุ่มตรงหน้าอย่างเรียกร้องความสนใจ โดยไม่ละสายตาจากเมิ่งน้อย แต่เธอก็ไม่ได้รับการตอบสนองแต่อย่างใด
และเมื่อเธอหันไปดูก็พบว่าชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าหลี่กวงผู้นี้ก็พบว่าเขามองหยานเสวี่ยจนตะลึงนิ่งอึ้งไป
“ฮึ่ม พี่ใหญ่หลี่กวง นี่ท่านสนใจใครกันแน่เนี่ย”
หลี่กวงนั้นเมื่อได้สติก็อดที่จะยิ้มออกมาอย่างเขินอายไม่ได้แล้วพูดออกมา “โอ๋ๆ น้องเม่ยซิน พี่ก็ต้องมองเจ้าอยู่แล้วล่ะน้า”
เมื่อเห็นแบบนี้ เม่ยซินได้ดึงหลี่กวงให้เข้ามาหาจนแทบจะเสียหลัก “พี่ใหญ่หลี่กวง ดูเจ้าสัตว์วิญญาณตัวนี้สิ มันช่างน่ารักนัก”
“จ้าๆ น่ารักจ้า ถ้าน้องเม่ยซินอยากได้ล่ะก็ เดี๋ยวพี่ใหญ่จะไปหาซื้อมาให้นะ”
“จริงเหรอ” เมื่อเม่ยซินได้ยินดังนั้น ดวงตาของเธอก็สุกสกาวราวกับสายน้ำ ก่อนจะรีบดึงแขนของหลี่กวงมากอดรัดไว้นั่น ราวกับเป็นการตอบแทนด้วยความเย้ายวนของตน “พี่ใหญ่หลี่กวงดีที่สุดเลย”
และนี่จึงทำให้หลี่กวงเดินตรงไปหาหยานเสวี่ยแล้วพูดขึ้นมา “คุณหนู สัตว์วิญญาณตัวนี้มีราคาเท่าไหร่กัน ข้าขอซื้อต่อ”
หยานเสวี่ยที่ในตอนแรกได้ยินคำพูดของคนทั้งสองตรงหน้าก็ไม่ได้ใส่ใจหรือแยแสแม้แต่น้อย แต่ในทันทีที่หลี่กวงเดินตรงมาหาเธอ เธอรีบไปหลบซ่อนหลังเฉินเฉียงพร้อมท่าทางหวาดกลัว
เฉินเฉียงถึงกับพูดไม่ออก
กับอีกแค่ผู้บ่มเพาะระดับนักรบสายเลือดคนหนึ่ง ไม่สิ ต่อให้เหมารวมทุกคนที่นี่ เขาว่ายังไม่พอมือให้เธอฆ่าทิ้งด้วยซ้ำ
แต่ในตอนนี้ที่กลับมีท่าทีหวาดกลัวราวกับกระต่ายน้อยเสียอย่างนั้น
ผู้หญิง…..สิ่งมีชีวิตที่เขาเองก็ไม่อาจจะอ่านออกได้เลยจริงๆ