เห็นสืออีเหนียงรีบเดินเข้ามา สวีซื่อจิ่นรีบผลักฝูงชนที่อยู่รอบตัวออก
“ท่านแม่ขอรับ!” เขากางแขนกว้างเตรียมจะกอดมารดา แต่กลับตระหนักขึ้นได้ว่าบิดาเตือนเขาซ้ำๆ ว่าอย่าออดอ้อนนาง ทำตัวเหมือนเด็กที่ยังไม่หย่านม เขาจึงรีบทำเป็นจับชุดคลุมเผาจื่อของตัวเอง “ข้ากลับมาแล้วขอรับ!”
คุกเข่าลงตรงหน้าสืออีเหนียง
ผู้คนทั้งห้องต่างพากันย่อเข่าคำนับ โค้งเข่าคำนับ บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงคำนับ
เพราะนางเจอบุตรชายตัวเองมาก่อนหน้านี้แล้ว สืออีเหนียงจึงไม่ค่อยตื่นเต้น แต่กลับดีใจมากกว่า
นางเดินเข้าไปจับบุตรชาย จากนั้นก็ยิ้มแล้วถามว่า “หลังจากพิธีมอบเชลย ใต้เท้ากงก็ส่งมอบตราแม่ทัพทันที แต่เหตุใดเจ้าถึงกลับมายามนี้ ท่านย่าถามหาเจ้าตั้งหลายครั้ง!”
สวีซื่อจิ่นยืนขึ้นมาประคองตัวมารดาแล้วอธิบายว่า “ใต้เท้ากงออกไปจากเมืองหลวงเมื่อวาน เดิมทีเขาเป็นผู้บัญชาการทหารกุ้ยโจวเลยมีเรื่องต้องพูดกับข้า ซ้ำเขายังมีพระคุณต่อข้า ข้าจึงไปส่งใต้เท้ากงแล้วถึงกลับมาขอรับ!”
สืออีเหนียงพยักหน้า “เราไปหาท่านย่ากันเถิด”
นางปล่อยให้บุตรชายประคองตัวเองเดินไปที่เรือนของไท่ฮูหยินพร้อมพูดคุยกับเขา “จะรับตำแหน่งเมื่อไร ได้อยู่ที่จวนกี่วัน”
เมื่อกระทรวงขุนนางออกหนังสือทางการ จะระบุเวลาเข้ารับตำแหน่ง หากยังมาไม่ถึง อาจสูญเสียตำแหน่ง หรือไม่ก็ต้องไปทนทุกข์ในคุก
“ฝ่าบาทอนุญาตให้ข้าอยู่ที่จวนสองวัน” สวีซื่อจิ่นพูดต่ออีกว่า “ไปรับตำแหน่งก่อนวันที่ยี่สิบสองเดือนเจ็ดขอรับ”
ราชสำนักมีกฎเกณฑ์ ผู้ที่อยู่ห่างจากเมืองหลวงสองพันลี้ ต้องเข้ามารับตำแหน่งภายในสิบห้าวัน กระทรวงขุนนางให้สวีซื่อจิ่นมารับตำแหน่งก่อนวันที่ยี่สิบสองเดือนเจ็ด ถือว่าพวกเขาให้เกียรติเขามากแล้ว
การเป็นขุนนาง บรรดาที่ปรึกษา องครักษ์ บ่าวรับใช้ สาวใช้ แม่ครัวและยามเฝ้าประตู…ล้วนแต่ต้องเตรียมการด้วยตัวเอง แล้วยังต้องเป็นคนที่จงรักภักดี มีความสามารถ ไม่เช่นนั้น พวกเขาตามสวีซื่อจิ่นไปรับตำแหน่ง อ้างชื่อเจ้านายทำเรื่องที่ไม่ดี รังแกราษฎร ทำให้เจ้านายชื่อเสียงด่างพร้อย ถูกฝ่ายตุลาการกล่าวโทษ หากไม่ระวัง ทำให้คนที่ไม่ควรไปยุ่งไม่พอใจ อาจทำลายอนาคตหรือถึงขั้นสูญเสียชีวิตเลยก็ได้
ตอนที่สวีซื่ออวี้อยู่ที่จวนเขาก็ระมัดระวังมาโดยตลอด แล้วยังมีใต้เท้าเซี่ยงคอยช่วยเหลือ ทันทีที่หนังสือทางการมาถึง ก็ต้องกำหนดผู้ติดตามเขาทันที ข่าวเรื่องสวีซื่ออวี้ถูกแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการทหารกุ้ยโจวมาอย่างกะทันหัน คนในจวนยังไม่ทันตั้งตัว ถึงแม้จิ่นเกอไม่กลัวว่าจะทำให้ใครไม่พอใจ แต่หากทำร้ายราษฎรหรือเกิดความแค้นกับใครเพราะเรื่องนี้ เช่นนั้นมันคงได้ไม่คุ้มเสีย… สืออีเหนียงให้สวีลิ่งอี๋ช่วยจิ่นเกอคิดไตร่ตรอง แต่สวีลิ่งอี๋กลับบอกว่าต้องถามความคิดของจิ่นเกอก่อน แล้วยังบอกว่า จิ่นเกออยู่ข้างนอก หากเขาไม่มีใครที่สามารถพึ่งพาได้ ไปถึงกุ้ยโจวก็ต้องกลับมาเหมือนเดิม ไม่สู้ไปถึงแล้วกลับมาเลยยังจะดีเสียกว่า
นางกังวลแทนจิ่นเกอ กำลังจะถามเขา จู่ๆ เซินเกอที่เดินตามมาข้างหลังก็กระโดดออกมา
“พี่หก ข้าอยากไปกุ้ยโจวกับท่าน” สวีซื่อจุนและคนอื่นๆ นั้นไม่กล้าพูดอะไรกับสืออีเหนียง แต่เซินเกอสนิทสนมกับสืออีเหนียงและคุ้นเคยกับนาง อีกทั้งยังกำลังร้อนใจจึงไม่สนใจอะไร “ข้าอยากไปค่ายทหารเหมือนพี่หกบ้าง สร้างความดีความชอบด้วยความสามารถที่แท้จริงของตัวเอง สร้างชื่อเสียงแก่วงศ์ตระกูลขอรับ!” พูดจบเขาก็ทำสีหน้าอิจฉา
เฉิงเกออยากจะพูดอะไรตั้งนานแล้วแต่กลับไม่กล้าพูด พอได้ยินพี่ชายตัวเองพูดเช่นนี้ เขาจึงกล้าพูดขึ้นมา “พี่หก ท่านพาข้าไปด้วยเถิด ข้าเองก็อยากไปกุ้ยโจวขอรับ”
สวีซื่อจิ่นอึ้งตะลึงแต่ก็กลับมายิ้มแย้มอย่างรวดเร็ว “สู้รบต้องสามัคคีกันเหมือนพ่อลูก สู้กับเสือต้องรักกันเหมือนพี่น้อง แน่นอนว่าข้าอยากพาพวกเจ้าไปด้วย แต่กลัวว่าท่านอาห้ากับท่านอาสะใภ้ห้าจะไม่เห็นด้วย หากท่านอาห้ากับท่านอาสะใภ้ห้าเห็นด้วย ข้าจะพาพวกเจ้าไปกุ้ยโจว”
สองพี่น้องตะโกนเสียงดังด้วยความดีใจ
“โตขนาดนี้แล้ว เหตุใดถึงยังตะโกนเหมือนเด็กเช่นนี้อีก” จู่ๆ ฮูหยินห้าก็เดินออกมาจากลานของไท่ฮูหยิน ตำหนิบุตรชายสองคน “ดูจิ่นเกอสิ โตกว่าพวกเจ้าแค่ไม่เท่าไร แต่กลับสุขุมกว่าพวกเจ้าตั้งเยอะ…”
เซินเกอและเฉิงเกอพลันทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
สืออีเหนียงรีบแก้ไขสกานการณ์ให้พวกเขา “จิ่นเกอกลับมาแล้ว พวกเขาสองคนจึงดีใจ!”
สวีซื่อจิ่นเดินเข้าไปคำนับฮูหยินห้าอย่างชาญฉลาด “ท่านอาสะใภ้ห้า ท่านสบายดีหรือไม่ ครั้งก่อนน้องเจ็ดเขียนจดหมายให้ข้า บอกว่าพอถึงฤดูร้อนท่านมักจะนอนไม่หลับ ตอนนี้เป็นฤดูร้อน ท่านดีขึ้นแล้วหรือยังขอรับ ข้ามีสหายคนหนึ่ง เป็นคนหูหนาน บอกว่าเสื่อไม้ไผ่จุนซานนั้นเย็นสบายเป็นอย่างมาก ครั้งหน้าข้าบอกให้เขานำมาให้ท่าน ท่านลองดูนะขอรับ ลองดูว่าเย็นสบายหรือไม่ จะได้นอนหลับสบาย!”
ฮูหยินห้าเห็นว่าสวีซื่อจิ่นได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารตั้งแต่อายุยังน้อย แต่เซินเกอกับเฉิงเกอยังราวกับเด็กน้อยอย่างไรอย่างนั้น กลัวว่าเขาจะดูถูกบุตรชายตัวเอง ไม่ได้อยากตำหนิพวกเขาสองคนจริงๆ ได้ยินสวีซื่อจิ่นพูดเช่นนี้ นางรู้สึกว่าตัวเองมีหน้ามีตาเป็นอย่างมาก ความคิดนั้นพลันมลายหายไป
นางยิ้มแล้วพูดว่า “ทำให้เจ้าเป็นห่วงแล้ว” จากนั้นก็พูดกับสวีซื่อจิ่นและสืออีเหนียง “พอท่านแม่ได้ยินว่าจิ่นเกอกลับมาแล้วก็นั่งไม่ติดสักนิดเดียว จะออกมาต้อนรับเขาให้ได้ แต่ว่าอากาศร้อนอบอ้าวจนเกินไป ทุกคนไม่กล้าให้ไท่ฮูหยินออกมา ข้ากำลังจะไปดูว่าจิ่นเกอกลับมาแล้วหรือยัง…” ในขณะที่นางกำลังพูด ก็มีเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นมาในลาน
“ไอ๊หยา!” สีหน้าของฮูหยินห้าเปลี่ยนไป “พี่สะใภ้สองห้ามท่านแม่ไม่ได้แน่เลย…”
นางยังพูดไม่จบ สวีซื่อจิ่นก็รีบเดินเข้าไปในลาน
ทุกคนรีบเดินตามไป
ฮูหยินสองและสาวใช้ของไท่ฮูหยินกำลังยืนเกลี้ยกล่อมไท่ฮูหยินที่ยืนถือไม้เท้าอยู่บนขั้นบันได
“ท่านย่า!” สวีซื่อจิ่นรีบวิ่งเข้าไป “ข้ากลับมาแล้วขอรับ!”
“ไอ๊หยา” ไท่ฮูหยินกอดสวีซื่อจิ่นที่กำลังจะก้มหัวให้นาง “จิ่นเกอของเรากลับมาแล้ว!” พูดจบก็ราวกับตระหนักอะไรขึ้นมาได้ นางถอยหลังออกไปสองก้าว มองสวีซื่อจิ่นตั้งแต่หัวจรดเท้า “ได้ยินมาว่าเจ้าจับตัวตั่วเหยียน ได้รับบาดเจ็บหรือไม่ อยู่ในค่ายทหารทานอิ่มหรือไม่ ฉังอานดูแลเจ้าดีหรือไม่ กงตงหนิงดีกับเจ้าหรือไม่ เจ้าสร้างความดีความชอบที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ฝ่าบาทพบเจ้าแล้วพูดอะไรกับเจ้าบ้าง” นางถามอย่างใจร้อน
“ท่านย่า ข้าสบายดี ท่านไม่ต้องห่วงขอรับ” สวีซื่อจิ่นพูดพลางกางแขนออก เผยให้เห็นแขนที่แข็งแรงของเขา “ท่านดูสิขอรับ ข้าดูเหมือนคนที่ทานไม่อิ่มหรือ” จากนั้นก็ประคองไท่ฮูหยินเข้าไปข้างใน “กระทรวงขุนนางและกรมกลาโหมออกหนังสือทางการมาแล้ว ข้าจะต้องไปรับตำแหน่งวันที่ยี่สิบสองเดือนนี้ คงได้อยู่ที่จวนสองวัน สองสามปีที่ข้าอยู่ข้างนอก ฝันเห็นหมูสับทอดตุ๋นผักกาดขาวของจวนตลอด ท่านให้โรงครัวทำหมูสับทอดตุ๋นผักกาดขาวให้ข้าทานก่อนแล้วค่อยถามได้หรือไม่”
ไท่ฮูหยินได้ยินว่าเขาได้อยู่ที่จวนแค่สองวัน แล้วยังอยากทานหมูสับทอดตุ๋นผักกาดขาว นางก็รู้สึกสงสารเขาเป็นอย่างมาก ไม่สนใจว่าเขาตอบคำถามของตัวเองแล้วหรือยัง จับมือสวีซื่อจิ่นแล้วตะโกนบอกลู่จู “รีบไปบอกว่าคุณชายน้อยหกจะทานหมูสับทอดตุ๋นผักกาดขาว!”
ลู่จูขานรับแล้วเดินออกไป
ไท่ฮูหยินยิ้มอย่างพึงพอใจ สวีซื่อจิ่นพานางไปนั่งบนเตียงเตาข้างหน้าต่างในห้อง
สวีซื่อจิ่นไปยกเก้าอี้มานั่งตรงข้ามไท่ฮูหยิน “ท่านย่าขอรับ ข้าเห็นว่าท่านมีผมขาวขึ้นเยอะ นี่เป็นเพราะท่านไม่ดื่มน้ำแกงถั่วเหอเถาใช่หรือไม่ขอรับ”
“พูดจาเหลวไหล ข้าจะไม่ดื่มซุปถั่วเหอเถาได้เช่นไร” ไท่ฮูหยินบ่น นางขมวดคิ้วด้วยท่าทีเป็นกังวล “ข้าก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ผมขาวของข้าเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ท่านป้าสองของเจ้าบอกว่าจะช่วยข้าย้อมผม แต่เมื่อย้อมแล้ว ผมที่ออกมาใหม่ก็เป็นสีขาวอยู่ดี สีขาวตัดกับสีดำ ราวกับสัตว์ประหลาดก็ไม่ปาน ข้าจึงปล่อยมันไป” พูดจบ นางก็เป็นกังวล “รูปร่างหน้าตาของข้า น่ากลัวมากเช่นนั้นหรือ”
“ไม่น่ากลัวขอรับ” สวีซื่อจิ่นพูดอย่างจริงจัง “ข้าคิดว่ามันสวยมาก เป็นประกายสีเงิน แค่ดูก็รู้ว่าท่านเป็นคนสูงส่ง”
ไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้ม นางพูด “ข้าก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน แต่ทุกคนอยากให้ข้าย้อมผม ข้าจึงต้องทำตามนั้น โชคดีที่เจ้ากลับมา ไม่อย่างนั้นคงไม่มีใครช่วยข้าพูด!”
คุยเรื่องอะไรกัน
ทุกคนมองหน้ากันแล้วยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน
สวีซื่อจิ่นเล่าเรื่องน่าสนใจในค่ายทหารให้ไท่ฮูหยินฟัง ไท่ฮูหยินได้ยินก็ยิ้มไม่หุบ เมื่อสวีลิ่งอี๋พาสวีซื่อจิ่นไปคำนับศาลบรรพชน คุณชายสามและฮูหยินสามได้ยินข่าวก็พาบุตรชาย ลูกสะใภ้และหลานๆ มาร่วมด้วย ครอบครัวคุณชายสามอยู่ที่เรือนของไท่ฮูหยิน จัดโต๊ะเลี้ยงแยกชายหญิงทั้งหมดหกโต๊ะ จากนั้นหู่พัวก็เปิดโต๊ะมอบรางวัลในลานของไท่ฮูหยิน มอบรางวัลให้บรรดาป้ารับใช้ผู้ดูแลและสาวใช้ใหญ่ที่มีหน้ามีตาในลานในกว่ายี่สิบโต๊ะ พ่อบ้านไป๋ยังเปิดโต๊ะมอบรางวัลให้บรรดาผู้ดูแลที่โถงบุปผาลานนอก ผ่านไปพักใหญ่ พ่อบ้านไป๋และผู้ดูแลที่มีอายุก็เข้ามาดื่มสุราคารวะสวีซื่อจิ่น ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วตำหนิพ่อบ้านไป๋ว่าไม่รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่นผ่านผ้าม่าน พ่อบ้านไป๋หยอกล้อไท่ฮูหยิน ทำเอาทุกคนพากันหัวเราะ ทำให้บรรยากาศในคืนฤดูร้อนอบอุ่นขึ้นไม่น้อย
หลังจากงานเลี้ยงสิ้นสุดลง ไท่ฮูหยินจะให้สวีซื่อจิ่นนอนที่เรือนของนางให้ได้ สวีลิ่งอี๋ก็ไม่กล้าขัด เขาพูดคุยกับสวีซื่อจิ่นสองสามประโยค จากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันไป
สืออีเหนียงและสวีลิ่งอี๋พูดถึงเรื่องที่สวีซื่อจิ่นรับปากว่าจะพาเซินเกอและเฉิงเกอไปกุ้ยโจว “…ไม่รู้ว่าน้องสะใภ้ห้าจะยอมหรือไม่ แต่ว่าตอนนั้นข้าไม่ยอมเจ้าค่ะ!”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “คนเป็นแม่ ไม่มีใครอยากให้ลูกออกไปจากตัวเอง แน่นอนว่าตานหยางย่อมไม่ยอม แต่ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอนาคตของลูกๆ ไม่ใช่เรื่องที่นางจะยอมหรือไม่ยอม แล้วยังมีท่านซุนโหวผู้เฒ่า ซื่อจื่อติ้งหนานโหวไม่ใช่คนไม่รู้ความ ไม่มีทางปล่อยให้ตานหยางทำอะไรเหลวไหลแน่นอน!”
“เช่นนั้นท่านจะเชิญท่านซุนโหวผู้เฒ่ามาออกหน้าให้หรือ”
“ดูสถานการณ์พรุ่งนี้ก่อนแล้วค่อยว่ากันเถิด!” สวีลิ่งอี๋พูดต่ออีก “ตานหยางอาจจะคิดได้ก็ได้!”
พวกเขาพูดคุยกัน
เช้าวันต่อมา หู่พั่วแอบกระซิบกระซาบกับสืออีเหนียง “เรือนของฮูหยินห้า เอะอะโวยวายทั้งคืนเจ้าค่ะ บอกว่าคุณชายน้อยเจ็ดกับคุณชายน้อยแปดจะไปกุ้ยโจว ฮูหยินห้าบอกว่าคุณชายน้อยเจ็ดเป็นพี่ชาย ต้องอยู่ที่เรือน ยอมให้คุณชายน้อยแปดไปคนเดียว คุณชายน้อยเจ็ดไม่ยอม บอกว่าจะไปฟ้องท่านซุนโหวผู้เฒ่า ทำเอาฮูหยินห้าโมโหเป็นอย่างมาก!”
นี่นับเป็นเรื่องปกติ
บุตรชายคนโตสามารถสืบทอดตำแหน่งต่อจากบิดา แน่นอนว่าต้องหาหนทางให้บุตรชายคนที่สอง
ในขณะที่นางกำลังครุ่นคิด สวีซื่อจิ่นก็มาคารวะพวกเขา
“ท่านพ่อ ท่านหาที่ปรึกษาให้ข้าสักคนเถิด” เขาขอให้สวีลิ่งอี๋ช่วยอย่างตรงไปตรงมา “ข้ามีแล้วสองสามคน ไม่ว่าจะเป็นองครักษ์ บ่าวรับใช้ ยามเฝ้าประตูหรือพ่อครัวล้วนไม่เป็นปัญหาขอรับ แต่ว่าที่ปรึกษาค่อนข้างหายาก!” เขาพูดต่ออีกว่า “ตอนที่ใต้เท้ากงออกไปเขาก็ถามข้าเรื่องนี้ ข้าคิดว่าเขามีคนแนะนำข้า แต่ใครจะรู้ว่าเขาก็แค่ถาม ดูท่าทีของเขาแล้ว ใช่ว่าไม่มีตัวเลือก เกรงว่าคงกลัวว่าข้าจะคิดมากจึงหลีกเลี่ยงขอรับ!”
“เช่นนั้นเจ้าคิดว่าอย่างไร” สวีลิ่งอี๋ถามเขาด้วยท่าทีนิ่งสงบ