หนีหู่รู้สึกแปลกๆ เมื่อเห็นภาพนั้น เขารู้สึกว่าพี่สาวของเขาเปลี่ยนไปตั้งแต่ป่วยหนักเมื่อคราวก่อน แต่เขาก็บอกไม่ได้อย่างชัดเจนนักว่านางเปลี่ยนไปตรงไหน
ทุกครั้งที่ท่านพ่อถามอะไรกับนาง นางมักจะมีอาการเหม่อลอยอยู่เสมอ แม้กระทั่งตอนนี้หนีหู่ก็ไม่เข้าใจว่าจริงๆ แล้วนางกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ แต่เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมผู้เป็นบิดาถึงดูเหมือนจะมองข้ามความผิดปกตินั้นไปในทุกครั้งหลังจากพูดคุยกับพี่สาวของเขา
ทุกคนยังคงตกอยู่ในความเงียบ หนีหู่ขยับเข้าไปหาผู้เป็นพี่ แล้วพาดแขนลงบนไหล่ของนางพร้อมกับถามว่า “พี่หญิงใหญ่ ท่านดูอาการไม่ค่อยดี อยากกลับออกไปก่อนหรือไม่ขอรับ”
หนีเฟิ่งชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยตอบทั้งที่ยังไออยู่ “งาน… งานเลี้ยงเพิ่งเริ่ม จะเหมาะสมหรือหากข้าจะออกไปตอนนี้”
นายท่านหนีดูเหมือนเพิ่งตั้งสติกลับมาได้ ไม่รู้ว่าเมื่อครู่นี้เขาเป็นอะไรไป เดิมทีนั้นเขาเป็นคนที่มีประสาทสัมผัสค่อนข้างเฉียบคม แต่เมื่อครู่นี้เขากลับรู้สึกง่วงขึ้นมาอย่างกะทันหัน แต่ตอนนี้เขารู้สึกดีขึ้นมากหลังจากตื่นขึ้นเพราะสายลมที่พัดเข้ามา เขายิ้มให้หนีเฟิ่ง แล้วบอกว่า “เรื่องนี้หาได้ไม่เหมาะสมแต่อย่างใด แขกทุกคนในงานเลี้ยงล้วนเป็นสหายของข้า ยิ่งกว่านั้น เวลานี้พวกเขาก็ควรจะรู้ว่าตอนนี้เมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายอยู่ในมือของใคร หากเจ้ารู้สึกไม่ค่อยสบาย เช่นนั้นก็กลับไปพร้อมกับน้องก่อนเถิด หู่จื่อ พาพี่สาวของเจ้าไปส่งได้แล้ว ระวังอย่าให้ใครรบกวนนางได้ล่ะ”
“ขอรับท่านพ่อ” แม้หนีหู่จะทำตัวกร่างเวลาอยู่ข้างนอก แต่เขาก็ค่อนข้างเชื่อฟังมากทีเดียวเวลาอยู่ที่จวน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่อยู่ต่อหน้าพี่สาว เขาไม่รู้ว่าทำไม แต่เขามักจะรู้สึกกลัวนางอยู่เสมอ
“พี่หญิงใหญ่ กลับกันเถิดขอรับ” หนีหู่เดินนำหน้าเพื่อเปิดทางให้กับนาง
หนีเฟิ่งพยักหน้าแล้วเดินตามหลังเขาไป นางยังคงมีอาการไออยู่ระหว่างที่เดิน แต่พลังวิญญาณของนางกลับดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก
หนีหู่คิดว่าเขาต้องตาบอดไปแล้วแน่ๆ ถึงได้คิดว่าเมื่อครู่นี้มีปราณหยินแผ่ออกมาจากร่างของผู้เป็นพี่สาว เห็นได้ชัดว่านั่นคือพลังวิญญาณของนางต่างหาก มันจะเป็นปราณหยินไปได้อย่างไร…
“หู่จื่อ เจ้าส่งข้าแค่ตรงนี้ก็ได้ ข้าอยากเดินเล่นข้างนอกเสียหน่อย ถ้าหลังจากนี้เจ้าไม่มีสิ่งใดต้องทำอีก เช่นนั้นเจ้าก็กลับไปที่งานเลี้ยงได้แล้ว ในงานนี้มีแขกเหรื่อและคนสำคัญของเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายมาร่วมกันมากมาย เจ้าควรช่วยท่านพ่อรับรองพวกเขา” คำพูดของหนีเฟิ่งนั้นอ่อนโยนเหมือนกับนิสัยของนาง
หนีหู่เองก็ไม่ได้อยากมาอยู่ที่สวนหลังจวนเช่นนี้เหมือนกัน ทุกคนอยู่กันที่หน้าจวน และราตรีก็เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น เขากำลังตั้งหน้าตั้งตารอชมการรำหลังจากนี้อยู่ แต่เขาก็เป็นห่วงอาการของพี่สาว ดังนั้นเขาจึงเตือนนางว่า “พี่หญิงใหญ่ ท่านเดินระวังทางด้วยขอรับ ข้างนอกอากาศหนาว ท่านควรเอาเตาพกไปอีกสักอัน”
“ได้” หนีเฟิ่งพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม นางไอออกมาเล็กน้อยพร้อมกับก้มหน้าลง
“เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนนะขอรับ” หนีหู่รีบร้อนกลับไปที่งานเลี้ยง แต่หลังจากเดินไปได้สองสามก้าว เขาก็หันหลังกลับไปเพราะเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้ แต่เขาก็ยังเห็นหนีเฟิ่งยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ความรู้สึกแปลกๆ ที่เคยมีปะทุกลับขึ้นมาอีกครั้ง แต่เขากลับทำเพียงส่ายศีรษะแล้วเดินกลับไปที่หน้าจวน…
ท้องฟ้ายามค่ำคืนเริ่มมืดลง ลมหนาวที่พัดโชยมาทำให้ต้นไม้ไร้ใบในฤดูหนาวโยกโอนเอน พวกมันดูเหมือนกับเงาอันน่าขนลุกที่กำลังแยกเขี้ยวและกวัดแกว่งกรงเล็บไปมา
เมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายควรเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในโลก ใครจะรู้ว่าวันนี้จะมาถึง
หนึ่งในทารกที่อยู่ในท้องของเฮ่อเหลียนเวยเวยราวกับจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่างได้ ทันใดนั้นดวงตาสีแดงชั่วร้ายของเขาก็เบิกกว้าง และเรืองแสงจางออกมา
“ท่านพี่ เกิดอะไรขึ้นหรือ” ทารกที่ตัวเล็กกว่าตื่นขึ้นหลังจากรับรู้ได้ถึงอาการของพี่ชาย
ทารกที่ตัวโตกว่าส่งเสียงตอบในลำคอ เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแต่ชั่วร้ายว่า “เมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายแห่งนี้มีตัวอะไรแปลกๆ อยู่”
คำตอบของเขาทำให้ดวงตาของทารกที่ตัวเล็กกว่าสว่างวาบขึ้นราวกับเลือดสีแดงสด เขาตอบว่า “พวกมันต้องมาที่นี่เพราะพระสรีระแน่ ท่านคิดว่าพวกมันจะทำอันตรายท่านแม่หรือเปล่า”
“ถ้าพวกเขากล้าแตะต้องท่านแม่ของพวกเราแม้แต่ปลายนิ้ว ท่านพ่อจะต้องทุบพวกมันจนสมองไหลแน่” ทารกที่ตัวโตกว่าแค่นเสียงอย่างเย็นชา “เขายังมีประโยชน์อยู่ในเวลาสำคัญเช่นนี้ เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกน้องข้า มีพี่อยู่ ต่อให้ท่านพ่อพลาดท่า ข้าก็จะปกป้องเจ้ากับท่านแม่เอง นางจะได้รับอันตรายไม่ได้เด็ดขาด ส่วนเจ้าเองก็ยังอ่อนแอนัก ถ้าเจ้าไม่สามารถควบคุมพลังวิญญาณได้ เจ้าเองก็อาจจะตกอยู่ในอันตรายเหมือนกัน และพี่ย่อมไม่มีวันยอมให้เป็นเช่นนั้นเด็ดขาด”
ทารกที่ตัวเล็กกว่าอ่อนแอจริงดังว่า หลังจากส่งเสียงตอบเขา ทารกที่ตัวเล็กกว่าก็กอดพี่ชายของตัวเองแล้วหลับไป
ทารกที่ตัวโตกว่าไม่ได้กลับไปนอน แต่เขากลับดูดซับเอาพลังวิญญาณที่อยู่รอบตัวให้กับทารกที่ตัวเล็กกว่า…
พวกเขาไม่รู้ว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ตื่นอยู่เหมือนกัน
เขาเหลือบมองไปทางเฮ่อเหลียนเวยเวยที่นอนอยู่ในอ้อมแขนเล็กน้อย ก่อนผละมือออกอย่างเงียบๆ หยิบเสื้อคลุมขนสัตว์ขึ้นมาสวม แล้วเดินออกจากห้องไป
ใบหน้าด้านข้างอันหล่อเหลาและสมบูรณ์แบบเผยความกดดันและเสน่ห์เย้ายวนออกมาอย่างรุนแรง ขนนกสีดำร่วงลงมาในขณะที่เขาก้าวเดิน
กิเลนอัคคีกับชิงหลงถูกอัญเชิญออกมา พวกมันปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเขาอย่างพร้อมเพรียง ขณะเอ่ยว่า “นายท่าน”
“ไปตรวจสอบปราณหยินที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อครู่นี้มาให้ข้า” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูดอย่างไม่แยแส
สัตว์ศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลอย่างกิเลนอัคคีและชิงหลงไม่ใช่มือหนึ่งในการแกะรอยปราณหยิน แต่พวกเขาก็ยังมีประโยชน์มากกว่าองครักษ์เงา อย่างน้อยพวกเขาก็สามารถขู่สัตว์อสูรแถวนี้เพื่อรีดข้อมูลจากพวกมันได้
แต่สิ่งที่น่าสงสัยก็คือการที่เมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายนั้นสงบสุขอย่างมาก
ราวกับปราณหยินที่ปรากฏขึ้นกลางดึกเป็นเพียงภาพลวงตา
วันถัดมา ท้องฟ้าของเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายยังคงปลอดโปร่งและกว้างใหญ่ แม้กระทั่งอากาศก็ยังสดชื่นกว่าในเมืองหลวง อีกทั้งยังอุดมไปด้วยพลังวิญญาณ
นอกจากเฮ่อเหลียนเวยเวยแล้ว ทุกคนต่างก็ดูสดชื่นกระปรี้กระเปร่าอย่างยิ่ง
เฮ่อเหลียนเวยเวยง่วงนอนอย่างมาก นางเพียงแค่อยากจะนอน แต่นางก็นอนไม่ค่อยหลับ นางมักจะรู้สึกเหมือนมีบางอย่างกดทับหน้าอกของนางอยู่ และทำให้นางยิ่งรู้สึกหิวมากขึ้นไปอีก
หากว่ากันตามหลักการแล้ว นางไม่ควรเหนื่อยถึงเพียงนี้หลังจากหลับไปนานถึงเพียงนั้น แต่ปฏิกิริยาทางร่างกายของนางกลับตรงกันข้ามอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น นางจึงจำเป็นต้องเก็บสตรอว์เบอร์รีมากินเพิ่ม
แต่นางก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าทุ่งสตรอว์เบอร์รีขนาดใหญ่ในมิติสวรรค์กลับเหี่ยวเฉาไปเสียแล้ว
“เกิดอะไรขึ้น” เฮ่อเหลียนเวยเวยลืมตาตื่นขึ้นทันที นางไม่เคยพบเจอสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน สำหรับนางแล้วมิติสวรรค์เปรียบเสมือนแหล่งขุมทรัพย์ที่นางสามารถใช้ได้อย่างไร้กังวล ไม่ว่านางจะต้องการอะไร และไม่ว่าจะในเวลาไหน มันก็สามารถให้ทุกอย่างกับนางได้
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ใช่คนโลภ ตอนที่นางได้รับมิติสวรรค์แห่งนี้มา นางก็รู้อยู่แล้วว่าทุกอย่างย่อมมีขีดจำกัดในตัวของมัน ดังนั้นการบำเพ็ญเพียรและดูดซับพลังจึงเป็นสิ่งจำเป็น
ก่อนที่นางจะตั้งครรภ์ นางเคยสั่งสมพลังวิญญาณแล้วถ่ายพวกมันลงไปในมิติสวรรค์เพื่อคงสภาพของมันไว้
ว่ากันตามเหตุผล มันไม่ควรมีปัญหาใดเกิดขึ้นในมิติสวรรค์!
แต่ทำไมตอนนี้ถึงมีสัญญาณความแห้งแล้งเกิดขึ้นในมิติสวรรค์ได้ล่ะ!
เรื่องนี้ทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้วอย่างหนัก ก่อนหน้านี้นางอาจยังสุขสบายดีแม้จะไม่มีมิติสวรรค์ แต่ตอนนี้ร่างกายของนางจำเป็นต้องใช้พลังวิญญาณในการบำรุง
แม้ว่านางจะยังไม่ได้คุยกับลูก แต่นางก็รู้ว่าพลังวิญญาณจำเป็นสำหรับลูกๆ ของนางเช่นกัน
มันเป็นไปได้อย่างไร
ก่อนหน้านี้ทุกอย่างยังปกติดีอยู่เลย มิติสวรรค์เริ่มแห้งแล้งได้อย่างไรภายในเวลาเพียงแค่คืนเดียว
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่