บทที่ 18 เธอคือใคร
ฉู่เหินมองหลิวเสี่ยวชิงที่ยืนอยู่ข้างเขา ก่อนจะหันไปมองดูเจี่ยถงถงที่อยู่ในอ้อมแขนของผู้ชายอื่น เขาอดรู้สึกไม่ได้ว่า เขาโง่นักที่ไม่เห็นค่าของดอกโบตั๋นที่อยู่ข้าง ๆ แต่กลับไปชอบดอกริมทางเข้า แต่จู่ ๆ เขายิ้มบาง ๆ ที่มุมปากออกมา ชาวจีนมีคำพูดหนึ่งสืบทอดกันมาว่า “อะไรที่เป็นของเรา มันก็คือของเรา แต่ถ้าไม่ใช่ยังไงมันก็ไม่ใช่” นอกจากนี้เจี่ยถงถงก็ไม่เหมาะกับเขาจริง ๆ เฮ้อ! ช่างเถอะ ในเมื่อไม่สามารถเป็นสามีภรรยากันได้ อย่างน้อยก็ยังเป็นเพื่อนได้ ขอให้เธอมีความสุขเขาก็พร้อมจะอวยพรให้เธอเสมอ ฉู่เหินได้แต่คิดในใจ
“ฉู่เหิน ฉันมาวันนี้เพื่อเชิญนายไปงานแต่ง โอ้! ใช่แล้ว ฉันลืมแนะนำไปเลย เขาชื่อจางฟู่ซ่วยเป็นสามีของฉัน เราจะจัดงานแต่งในอีกสองเดือนข้างหน้า วันที่หนึ่งเดือนสิบ ฉันหวังว่านายจะมาร่วมงานได้!” เจี่ยถงถงมองฉู่เหินพลางพูดอย่างภาคภูมิใจราวกับว่าตอนนี้เธอและฉู่เหินอยู่กันคนละโลก
อารมณ์ของฉู่เหินกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว เขารับการ์ดเชิญจากอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน จากนั้นก็เปิดดูข้อความที่อยู่ในบัตรเชิญ!
“โอเค ถึงเวลาฉันจะไปร่วมงานแน่” ฉู่เหินพูดเสียงเรียบราวกับว่าเขากับเจี่ยถงถงเป็นแค่เพื่อนธรรมดา การกระทำนี้ทำให้เจี่ยถงถงจ้องมองฉู่เหินอยู่ครู่หนึ่ง แต่เพียงชั่วครู่เธอก็ดึงความคิดฟุ้งซ่านของเธอกลับมา
“ที่รักให้บัตรเชิญแล้ว พวกเราก็ไปกันเถอะ!” เจี่ยถงถงหันไปพูดกับจางฟู่ซ่วยเบา ๆ จากนั้นทั้งสองก็เดินออกไปข้างนอก
อาวดี้เอหก สีดำสนิทจอดอยู่ไม่ไกลจากบ้านของฉู่เหิน ปกติถ้าเห็นรถหรูแบบนี้ ฉู่เหินมักจะมองมันนานสักหน่อย แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกว่ารถอาวดี้เอหก นั้นช่างทิ่มแทงสายตานัก! จนถึงตอนนี้เขาก็นึกถึงสิ่งที่เจี่ยถงถงเคยพูดกับเขาในปีนั้น “ใคร ๆ ก็ซื้อรถหรู ใคร ๆ ก็ซื้อบ้าน …”
คนที่มากับเจียถงถงไม่ได้พูดอะไรเลยตั้งแต่ต้นจนจบ ฉู่เหินรู้สึกว่าไม่ใช่เพราะคนคนนั้นไม่ชอบพูด แต่เป็นเพราะว่าเขาและฉู่เหินอยู่กันคนละโลก!
หลังจากผ่านช่วงเวลาแห่งความเจ็บปวด ฉู่เหินก็คิดในใจอย่างขมขื่น ตอนนี้พวกคุณดูถูกฉัน ฉันจะแสดงให้พวกคุณเห็นถึงวันที่ฉันลืมตาอ้าปากได้! นอกจากนี้เองฉู่เหินในวันนี้ไม่ได้ก็ไม่ใช่ฉู่เหินคนก่อนอีกต่อไปแล้ว ด้วยมีอยู่ของระบบเชื่อมโลกา ถึงแม้ว่าอนาคตจะไม่แน่นอน แต่เขาเชื่อเลยว่ามันจะต้องดีกว่าเดิมได้แน่!
เมื่อคิดได้แล้วฉู่เหินก็ยิ้มบาง ๆ ออกมา การที่เขาต้องมาโศกเศร้าเพราะผู้หญิงคนหนึ่งที่ไร้หัวใจแบบนี้ มันช่างเป็นการสูญเปล่าจริง ๆ เขามองรถอาวดี้เอหก ที่อยู่ไกล ๆ อีกรอบ ก่อนจะหันหลังเดินกลับเข้าบ้านไป
“พี่เหิน ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครเหรอคะ?” หลิวเสี่ยวชิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ถามฉู่เหินด้วยความระมัดระวัง
“เธอเป็นแฟนที่คบกับฉันมาสามปีนะ เมื่อสิบวันก่อนเธอยังโทรมาหาและถามฉันอยู่เลยว่า เมื่อไหร่ฉันจะซื้อรถและบ้านให้เธอ!” ฉู่เหินอดยิ้มขื่นไม่ได้เมื่อพูดถึงตอนนี้ ใครบางคนที่โทรศัพท์หาเขาเมื่อสิบวันก่อนและรบเร้าขอเงินเขาสิบวันให้หลังกลับพาสามีของเธอมาแนะนำให้รู้จัก โลกนี้จะมีอะไรที่แย่ยิ่งกว่านี้อีกไหม?
“ฉันไม่คิดเลยว่าเธอจะเป็นผู้หญิงโลเลพรรค์นั้น พี่เหินผู้หญิงอย่างนั้นไม่คู่ควรกับพี่หรอก!” หลิวเสี่ยวชิงโกรธมากหลังจากได้ยินเรื่องนี้ ถ้าเธอรู้เรื่องนี้มาก่อน เธอคงจะไล่สองคนนั้นออกจากบ้าน และก็เอาน้ำสกปรกสาดไล่พวกเขาซ้ำแน่นอน
“ผู้หญิงโลเลพรรค์นั้น คราวหน้าถ้าฉันเจออีก รับรองจะต้องได้เจอดีแน่ ๆ!” หลิวเสี่ยวชิงคิดในใจของเธออย่างลับ ๆ แต่เมื่อเธอเห็นฉู่เหินยังคงดูโศกเศร้า เธอก็อดไม่ได้ที่จะปวดใจ เธอไม่รู้ว่าทำไมเวลาเธอเห็นฉู่เหินมีความสุข เธอเองก็มีความสุข แต่เมื่อฉู่เหินเศร้า เธอเองก็ดันรู้สึกว่าหัวใจของเธอเจ็บปวดตามไปด้วยแบบนี้ แต่เมื่อได้ยินว่าผู้หญิงคนนั้นเลิกกับฉู่เหินแล้ว เธอก็ไม่รู้ว่าทำไม ลึก ๆ ข้างในจิตใจของเธอจึงรู้สึกมีความสุขแบบนี้
หลังจากเหตุการณ์นั้นผ่านไป พวกเขาทั้งสองกลับมานั่งคุยกัน บอกเล่าเกี่ยวกับเรื่องราวที่ผ่านมาของพวกเขาจนถึงเวลาเก้าโมงเช้าโดยไม่รู้ตัว หลังจากดูเวลาหลิวเสี่ยวชิงก็ลุกขึ้นยืนอย่างไม่เต็มใจ เธอรู้ว่าวันนี้ฉู่เหินยังมีเรื่องสำคัญที่ต้องไปทำ และเธอเองไม่อยากเป็นตัวถ่วงของเขา
“พี่เหินเวลาผ่านไปเร็วจริง ๆ! รถประจำทางที่จะเข้าเมืองกำลังจะมาแล้ว ถ้ายังไงให้ฉันไปส่งที่ทางเข้าหมู่บ้านไหมคะ” หญิงสาวพูดด้วยท่าทางราวกับภรรยาที่กำลังส่งสามีออกไปทำงาน ความอบอุ่นและอ่อนโยนสะท้อนออกจากท่าทางของเธอ! หลังจากได้เห็นฉากนี้หัวใจของฉู่เหินก็หวั่นไหวอีกครั้ง
เวลาเก้าโมงครึ่ง รถประจำทางก็มาถึง ก่อนที่ฉู่เหินจะขึ้นรถ เขาก็ลูบหัวของหลิวเสี่ยวชิงอย่างอ่อนโยน เขาไม่รู้ว่าทำไมในเวลานี้เขามีความลังเลที่ไม่สามารถบรรยายออกมาได้ เมื่อมองกลับไปที่หลิวเสี่ยวชิงอย่างลึกซึ้งรอยยิ้มเล็กน้อยปรากฏบนใบหน้าของเขา
“เด็กโง่รีบกลับบ้านเถอะ ซุปไก่ที่เธอทำมาให้วันนี้อร่อยมาก ขอบคุณนะ!” หลังจากพูดจบฉู่เหินก็ขึ้นรถประจำทางไปทันที หลังจากรถวิ่งออกไปไกลจนมองไม่เห็นหลังแล้ว หลิวเสี่ยวชิงที่ยืนอยู่ที่เดิมอย่างโง่งมก็ค่อยได้รู้สึกตัว ก่อนจะขับรถกลับบ้านของเธอไป
“สารภาพมาซะดี ๆ ว่าเธอทำซุปไก่ไปให้ใคร!” ทันทีที่กลับมาถึงบ้าน หลิวเสี่ยวเฟิงก็พุ่งตัวมาขวางหน้าและเริ่มสอบปากคำหลิวเสี่ยวชิงทันที ตาของเสี่ยวเฟิงจ้องไปที่หลิวเสี่ยวชิงอย่างคาดคั้น ราวกับจะบอกอีกฝ่ายว่าคุณไม่จำเป็นต้องโกหกฉันรู้ว่าคนนั้นคือใคร
“เสี่ยวชิง เธออายุไม่น้อยแล้ว มันเป็นเรื่องปกติที่จะมีแฟน แต่เธอต้องบอกเราว่าเขาคือใครกันแน่! พวกเราจะได้ช่วยกันดู ! ถ้าหากผู้ชายคนนั้นเป็นคนไม่ดี ลูกจะได้ไม่แต่งกับคนผิด ถึงแม่กับพ่อจะเรียนมาน้อยกว่าลูก แต่การมองคนของพวกเรารับรองว่าไม่พลาดแน่นอน” ขณะที่หลิวเสี่ยวเฟิงกำลังพูดแม่ของพวกเธอ ‘ต่งกุ้ยเจิน’ ก็รีบพูดแทรกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
หลิวเสี่ยวชิงเห็นตัวเองถูกสอบสวนทันทีที่กลับถึงบ้านก็ขมวดคิ้วพลางพูดว่า “แม่กับพี่พูดเรื่องอะไรกันน่ะ เมื่อเช้าหนูก็แค่อยากลองทำซุปไก่ให้ทุกคนกินแต่รสชาติมันแย่เกินไป หนูเลยเอาไปให้คนจรจัดกินแทน เรื่องมันก็แค่นี้เอง !” พูดจบหลิวเสี่ยวชิงก็ไม่สนใจปฏิกิริยาของแม่และพี่สาวอีก หมุนตัวเดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง!
หลังจากเข้าไปในห้องแล้ว เธอก็ยกมือทาบอก พลางคิดในใจว่า “อันตรายจริง ๆ”
เสี่ยวเฟิงและแม่ของเธอมองหน้ากันอยู่หน้าบ้านแล้วทั้งคู่ก็ถอนหายใจออกมา พวกเธอรู้ว่าเสี่ยวชิงเป็นคนอ่อนโยนและมีน้ำใจ แต่ลึก ๆ แล้วนั้นเธอก็เป็นคนดื้อรั้นมากด้วยเช่นกัน สิ่งใดที่ตัดสินใจไปแล้ววัวนับสิบตัวก็ไม่สามารถดึงกลับมาได้ ทั้งคู่ได้แต่หวังเพียงว่า เสี่ยวชิงจะไม่ถูกผู้ชายหลอกเท่านั้น
ไม่ต้องพูดถึงแม่และลูกสาวทั้งสองของตระกูลหลิว แม้แต่หวงเจี้ยนหมิงและภรรยาของเขาที่โรงพยาบาลเขตเอง ก็ต้องออกมาต้อนรับแขกพิเศษ ว่ากันว่าบุคคลนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมกระดูกระดับประเทศ ชื่อของเขาคือ หวงหน่าย เขาคนนี้คือผู้อำนวยการด้านศัลยกรรมกระดูกที่โรงพยาบาลขนาดใหญ่ในเมืองเยี้ยนจิง ส่วนเหตุผลที่ทำให้เขาปรากฏตัวที่นี่นั้น ก็เป็นเพราะถูกคนอื่นบังคับให้มานั่นเอง
“สวัสดีครับ ผมขอถามสักหน่อย พวกคุณสองคนคือหวงเจี้ยนหมิงและซูวี่เหมยใช่ไหม?” คนที่เข้ามาในห้องทั้งสองคน คนหนึ่งดูมีอายุ อีกคนเป็นชายหนุ่มที่ดูเหมือนว่าจะเป็นหมอ ชายสูงอายุนั้นดูอายุราวหกสิบเศษ ๆ ดูจากการแต่งกายของเขาแล้ว น่าจะเป็นคนที่ได้รับการศึกษามาดี รอยยิ้มของเขาทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนกับเป็นสายลมฤดูใบไม้ผลิ!
“สวัสดีครับ ผมคือหวงเจี้ยนหมิง และนี่คือภรรยาของผมซูวี่เหมย ไม่ทราบว่าคุณมีธุระอะไรหรือเปล่าครับ?” หวงเจี้ยนหมิงมั่นใจว่าเขาไม่รู้จักชายชราที่อยู่ตรงหน้าเขา
“คุณมีน้องชายชื่อฉู่เหินหรือเปล่า?” ชายชราถามด้วยรอยยิ้มแบบมั่นใจ
Next