บทที่ 230 เทือกเขาเทียนซาน
บทที่ 230 เทือกเขาเทียนซาน
เมื่อเห็นฉากนั้น พลังจิตสอดแนมภายในห้องก็ค่อยหายไป
ฉู่เหินถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นว่ามันถูกถอยไปแล้วจากนั้นก็หันมาใช้เท้าเขี่ยชายวัณโรคสองสามที หลังจากรอไปครู่หนึ่งถึงพบว่าไม่มีปฏิกิริยา เขานั่งสมาธิและเริ่มโคจรลมปราณ เขาโคจรลมปราณให้ไหลเวียนทั่วร่างกาย เพื่อฟื้นฟูจุดที่เสียหาย
เช้าวันต่อมาฉู่เหินทำการโคจรลมปราณจนเสร็จสิ้น จากนั้นก็เรียกฉางเย่ ออกมาจากแหวนแล้วกรีดข้อมือของเธอจนเลือดแดงฉานหยดเป็นเม็ดๆนำไปหยดบนผ้าปูที่นอน ฉางเย่มองหยดเลือดนั่นด้วยความอับอาย
ที่จริงตอนแรกฉู่เหินไม่ได้คิดมากขนาดนี้ แต่เมื่อนำฉางเย่ออกมาพูดคุยสักพัก อีกฝ่ายก็พูดเตือนเขาในเรื่องนี้ ไม่งั้นมีหรือที่คนอย่างเขาจะรู้เรื่องแบบนี้
แต่ที่ฉู่เหินไม่รู้ไม่ใช่เพราะเขาโง่ แต่ไม่มีประสบการณ์ในเรื่องนี้จริงๆ
หลังจากสูดอากาศยามเช้าแล้วเขารู้สึกว่าร่างกายเขาฟื้นตัวขึ้นมาไม่น้อย แต่เมื่อมองไปเห็นชายที่นอนอยู่บนเตียง ความขุ่นเคืองก็ปรากฏในดวงตาของเขา เขาเลือกที่จะหลีกเลี่ยงจากผู้ชายคนนี้ เขาเลยออกไปข้างนอกและทำอาหารเช้ากิน
ฉู่เหินพักอยู่ในบ้านของชายป่วยเป็นเวลาสามวัน ทุกวันผู้ชายคนนี้เมาด้วยวิธีที่ต่างกัน ทำให้ฉู่เหินเริ่มฟื้นตัวอย่างเงียบๆ
สามวันมานี้เขาหลบอยู่ในบ้านของชายวัณโรค ทุกๆวันจะใช้สารพัดวิธีมอมเหล้าจนอีกฝ่ายเมาแล้วค่อยเริ่มโคจรลมปราณ
หลังจากพักฟื้นตอนเย็นเขาก็ใช้แรงนิดหน่อยทำให้อีกฝ่ายสลบไป ผ่านไปอีก 1 สัปดาห์อาการบาดเจ็บของเขาก็ดีขึ้น 7-8 ส่วน แน่นอนเป็นความดีความชอบของยารักษาบาดแผล! ครั้งที่แล้วเขาไปที่สุสานได้วัตถุดิบมาทำยารักษามากมายเลยทีเดียว
หลังจากฉู่เหินรู้สึกว่าผู้ไล่ล่าเขาถอยกลับไปหมดแล้ว เขาไม่ได้ทำอาหารให้ชายป่วยวัณโรคคนนั้นอีก แต่ชายวัณโรคก็ไม่ได้สนใจ เขาสนใจแค่ว่าเมื่อไรฉู่เหินจะท้องสักทีเท่านั้น
ชายวัณโรคออกไปตั้งแต่เช้าตรู่ อีกหลายวันกว่าจะกลับมา เขากลับมาพร้อมแท่งพลาสติกเต็มไปหมด ฉู่เหินไม่รู้ว่าเขาเอาของพวกนี้ไปทำไม เพราะไม่ได้สนใจอยู่แล้ว
ทว่าขณะที่เขากำลังหลับตาเตรียมพร้อมโคจรลมปราณอยู่นั้น จู่ๆชายวัณโรคก็วิ่งมาหาเขาพร้อมมอบแท่งพลาสติกเล็กๆ แก่เขาหนึ่งแท่ง ฉู่เหินหยิบแท่งพลาสติกเล็กๆ ขึ้นมา ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการทำอะไร
“ภรรยาคุณไปที่ห้องนั้นแล้วตรวจดูสิ” เมื่อชายวัณโรคเห็นใบหน้าอันงุนงงของฉู่เหิน เขาก็พูดขึ้นมาอีกรอบ
“ตรวจ…ตรวจอะไร” ฉู่เหินไม่เข้าใจจริงๆ ว่าแท่งพลาสติกเล็กๆ นี้เอาไว้ใช้ทำอะไร
“ภรรยานี้เธอโง่รึเปล่าเนี่ย ก็ไปตรวจว่าเธอท้องแล้วรึยังไงเล่า!” ชายป่วยพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เขาคิดว่าที่เขาหมดสติอยู่ทุกคืน แปลว่าเขาได้หว่านเมล็ดพันธุ์ลงไปแล้วแน่ๆ
หลังจากฉู่เหินได้ยินเรื่องนี้เขาก็โกรธมาก แต่เดิมเขาวางแผนที่จะอยู่ที่นี่อีก 2 วันให้อาการบาดเจ็บหายเป็นปกติแล้วค่อยไป แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สามารถอยู่ต่อไปได้แล้วล่ะ
“ตรวจบ้าตรวจบออะไร คนป่วยวัณโรคอย่างแกวันนี้ฉันไม่ต่อยแกก็อย่ามาเรียกฉันว่าฉู่เหินเลย” เมื่อพูดจบฉู่เหินก็ต่อยหน้าอีกฝ่ายเต็มแรง
ในขณะเดียวกันเขาก็ได้ทำร้ายจิตใจตาเฒ่านั่นอย่างรุนแรง อีกฝ่ายร้องเรียกเขาว่าภรรยาด้วยเสียงอ่อนหวานหนึ่งคำ ฉู่เหินได้ยินก็อดขนลุกขนพองไม่ได้
วันดีๆ แบบนี้ กลับให้ที่ตรวจครรภ์กับฉู่เหินเขารับไม่ได้จริง ๆ ! ในขณะที่เขาต่อยอีกฝ่ายปากที่บ่นพึมพำไม่หยุดว่า “ที่ตรวจครรภ์เนี่ยนะ แกพ่นอะไรออกมา ไอ้โง่ ไหนจะไอ้ภรรยานั่นอีกน่าขนลุกชะมัด แกทำให้ฉันดูแย่”
หมัดฉู่เหินทรงพลังมาก เขายั้งไม่ใช้แรงทั้งหมดออกไปเพียงแค่ต้องการทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บเท่านั้น แต่ไม่ได้กะจะเอาให้ตาย แม้ชายคนนี้จะเป็นคนกักขฬะ แต่ฉู่เหินก็ไม่คิดจะฆ่าเขา
โดนต่อยไม่เท่าไรตาข้างหนึ่งของชายวัณโรคก็กลายเป็นตาแบบหมีแพนด้า ตอนนี้เขารู้สึกว่าตัวเองใกล้จะตายอยู่รอมร่อ เหตุใดหญิงสาวที่อ่อนหวานถึงกลายร่างเป็นสาวดุร้ายเช่นนี้ได้ เขาไม่สามารถต่อต้านได้เลย
“พอแล้วๆ ภรรยาผมขอร้องล่ะอย่าต่อยผมอีกเลย พวกเราเป็นสามีภรรยากันนะ ทำไมไม่นั่งจับเข่าคุยกันดีๆ เธอจะต่อยเอาเตะเอาแบบนี้ไม่ได้นะ”
ตอนนี้เขากลัวแล้วจริงๆ แม่เจ้า อย่าว่าแต่เธอเป็นผู้หญิงเลย แม้แต่ผู้ชายยังไม่อาจแข็งแรงได้ขนาดนี้เลย
หากเขารู้ตั้งแต่เมื่อเจ็ดแปดวันก่อน เขาจะไม่ซื้อเธอมาเด็ดขาด!
เมื่อต่อยเสร็จแล้วฉู่เหินก็ผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความโกรธ จากนั้นก็โบกมือแล้วหันร่างเดินจากไป ก่อนเดินจากไปก็ยังทิ้งวาจาเผ็ดร้อนเอาไว้อีกด้วยว่า “ตาเฒ่า ฉันไปแล้วก็ไม่ต้องตามหาฉันอีก ถ้าฉันเห็นแกอีกฉันจะต่อยแกให้ยับเลย!!”
เมื่อแผ่นหลังของฉู่เหิน น้ำตาของชายชราก็ไหลพราก พระเจ้านี้มันเรื่องอะไรกัน เขาจ่ายเงินจ่ายเงินมากกว่า 100,000 หยวนไม่ถึงแปดวันก็ไปซะแล้ว จากนั้นชายคนนี้ก็นอนร้องไห้อยู่บนพื้นพร้อมกับคิดว่าฉันถูกเอาเปรียบแถมถูกเอาเปรียบไปเยอะด้วย
ตอนที่ต่อยชายคนนั้น ฉู่เหินตั้งใจเปิดแหวนมิติเพื่อที่ฉางเย่ได้มองเห็นภาพตรงหน้าอย่างชัดเจน ในตอนแรกนอกจากความรู้สึกโกรธฉางเย่ก็ไม่ได้มีความรู้สึกอื่นอีก แต่เมื่อเธอได้ยินประโยคสุดท้ายของฉู่เหิน เธอก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
เธอรู้สึกว่าประโยคนี้ของฉู่เหินตั้งใจที่จะปกป้องเธอ หญิงสาวที่อยู่ในแหวนมิติอดไม่ได้ที่จะพูดคำว่าเยี่ยมออกมาดังๆพร้อมยกนิ้วให้ฉู่เหิน โดยเฉพาะได้ยินคำว่าตาเฒ่าสองคำนี้ มันทรงพลังมากจริงๆ
“ไปไหนดีนะ?”
ในครั้งนี้ฉู่เหินไม่ได้เดินบนภูเขาหรือบนเส้นทางหลักแต่ใช้ตัวตนของฉางเย่ เดินทางโดยรถยนต์ไปยังเทือกเขาเทียนซาน ซึ่งเป็นพื้นที่ราบสูง แม้จะมีชื่อเสียงเรื่องความสวยงามทางธรรมชาติ แต่คนที่ไปที่นั่นเป็นครั้งแรก ช่างยากเหลือเกินใครๆ ต่างก็หลงทางเมื่อไปในที่ๆ ไม่คุ้นเคย โดยเฉพาะที่ราบสูงยิ่งแล้วใหญ่!
หลังจากไปถึงเทือกเขาเทียนซานแล้ว ฉู่เหินก็กลับมาใช้หน้าเดิมของเขา จากนั้นก็เดินต่อไปอย่างระมัดระวัง ไปจนถึงส่วนลึกของเทือกเขาเทียนซาน ต้องเข้าใจด้วยว่า เทือกเขาแห่งนี้เกิดขึ้นตามธรรมชาติมาตั้งแต่สมัยโบราณ ไม่เพียงมีทิวทัศน์ที่สวยงามเท่านั้น ยังเป็นเทือกเขาที่คันกลางระหว่างประเทศ 2 ประเทศอีกด้วย
ด้วยเหตุผลหลายประการ มีสำนักหลายสำนักเลือกเทือกเขาเทียนซานเป็นที่ฝึกวรยุทธนับไม่ถ้วน ด้วยเหตุนี้ทำให้ฉู่เหินต้องระวังตัวให้มากขึ้นในขณะที่เดินทาง หากเขาเจอคนที่แข็งแกร่งจนไม่สามารถต่อกรได้ ที่นี่คงจะกลายเป็นที่ฝังศพของตัวเองแน่
ในขณะที่ฉู่เหินกำลังเดินบนเทือกเขาแห่งนี้อย่างระมัดระวัง
ในห้องโถงขนาดใหญ่ของสำนักแห่งหนึ่ง ที่อยู่ลึกลงไปในเทือกเขาเทียนซาน คนเหล่านี้แต่ละคนนั่งอยู่กับที่ราวกับรูปปั้นหินโดยไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ แม้แต่นิดเดียว
“ที่เรียกทุกคนมาในวันนี้ เพราะฉันจะมอบหมายงานให้แก่ทุกคน” ผู้พูดเป็นหญิงชราอายุราวๆ 60-70 ปี แม้ว่าอายุจะดูไม่น้อย แต่ดวงตาของเธอนั้นมีเสน่ห์เป็นอย่างมาก ดวงตาที่มีเสน่ห์เช่นนี้แม้แต่คนหนุ่มสาวก็ยากจะมีได้แบบเธอ