บทที่ 384 ซอมบี้ขั้นจักรพรรดิดารากำลังฟื้น
บทที่ 384 ซอมบี้ขั้นจักรพรรดิดารากำลังฟื้น
หลังจากนั้นฉู่เหินจึงเรียกให้ขุนนางเข้ามาใกล้เพื่อชี้แจงแผนการให้กับพวกเขา พอฟังจบพวกขุนนางก็รู้สึกแปลกใจ ทำไมฉู่เหินต้องการให้คนจำนวนมากออกนอกเมืองกันนะ? แล้วทำไมถึงให้ทิ้งไว้เพียงแค่ทหารรักษาเมืองของฉู่ฉุน นอกจากนี้ทำไมฉู่ฉุนถึงได้รับป้ายบัญชากองทัพสูงสุดอีก?
หลังจากสั่งการเสร็จสรรพ ฉู่เหินก็หันไปหาฉู่ฉุน เขาสั่งให้ผู้เป็นน้องเอาเรื่องผลกระทบด้านพลังตีกลับของตัวเองเผยแพร่ออกไป นี่เป็นแผนที่จะทำให้พวกซอมบี้พวกนั้นคิดว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในสภาพที่พร้อมนัก ดังนั้นเรื่องนี้ยิ่งพูดให้รุนแรงเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น ทางที่ดีควรพูดประมาณว่าตัวเองจะมีชีวิตได้อีกไม่นานแล้วยิ่งดี
แม้ว่าทุกคนจะไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ก็เลือกที่จะเชื่อฉู่เหิน! พวกเขาพากันนำสิ่งที่ฉู่เหินบอกไปเผยแพร่ตามหน้าที่ทันที ก่อนจะออกไปนอกเมือง ฉู่เหินก็ได้นำพลทหารในเมืองส่วนหนึ่งเก็บมาไว้ในแหวนมิติตัวเอง หลังจากมาถึงประตูหลังเมือง ชายหนุ่มก็เห็นเข้ากับพวกทหารเลวของฝั่งซอมบี้ ที่นี่ดูคล้ายจะไม่มีซอมบี้ขั้นราชันดาราเลยสักคน
หลังจากมาถึงแล้วฉู่เหินก็ใช้วิชาก้าวนภา เพียงหนึ่งก้าวก็สามารถผ่านกองทัพซอมบี้ทั้งกองมาได้ ชายหนุ่มได้มาปรากฏตัวอีกครั้งที่ด้านหลังของกองทัพ จากนั้นก็เห็นเพียงเขาค่อย ๆ เดินไปข้างหน้าทีละก้าว ก่อนที่ร่างทั้งร่างของเขาจะหายเข้าไปในหมอก
ฉู่เหินใช้ประโยชน์จากวิชาก้าวนภาเพื่อเดินไปรอบ ๆ ทุกครั้งที่เขาหลอมรวมกับฟ้าดิน เขาก็จะสามารถใช้โอกาสนี้สำรวจฟ้าดินทั้งหมดไปด้วย หลังจากนั้นชายหนุ่มก็พบว่าที่นี่ไม่มีซอมบี้ซุ่มโจมตีอยู่ ดังนั้นจึงค่อยวางใจหน่อย ว่าแล้วฉู่เหินเดินไปอีกทิศทางหนึ่งในทันที
รอบเมืองโบราณในตอนนี้ดูเหมือนว่าหมอกจะจางลงไปบ้างแล้ว แต่ถึงอย่างงั้นก็ยังคงมีบริเวณที่หมอกหนาอยู่บ้าง ไม่เพียงแต่มีหมอกหนาบริเวณดังกล่าวเท่านั้น มันยังเป็นสุสานประจำเมืองอีกด้วย ที่ภูเขาสูงทะลุเมฆแห่งนี้เป็นเพียงแค่สุสานบนภูเขา ไม่มีวิญญาณใด ๆ สิงสู่อยู่เลย มีเพียงแค่ซากศพเท่านั้น
ที่นี่ไม่ใช่ที่อื่น แต่เป็นแหล่งกบดานของพวกซอมบี้นั้นเอง มันคือรังที่พวกมันอาศัยอยู่นับพันนับหมื่นปี พอฉู่เหินมาถึงที่นี่ เขาก็อยากจะสำรวจดูสักหน่อย ดูว่ารังของพวกซอมบี้ยังมีสิ่งใดซ่อนอยู่ไหม
พอชายหนุ่มหยุดยืนอยู่ที่นี่ จู่ ๆ เขาก็สัมผัสได้ถึงอันตรายบางอย่าง นึกไว้แล้วเชียวว่าที่นี่จะต้องมีซอมบี้น่ากลัวอาศัยอยู่ เขารู้สึกได้อย่างง่ายดายว่าซอมบี้ของที่นี่คล้ายกับกำลังหลับใหลอยู่ แต่ถ้าเคลื่อนไหวผิดปกติมากเกินไป น่ากลัวว่ามันอาจทำให้พวกนั้นตื่นขึ้นมาได้
คลื่นวิญญาณของซอมบี้ที่ฉู่เหินสัมผัสได้นั้นมีพลังสูงมากทีเดียว ภายในนั้นเขาพบว่ามีสองกลิ่นอายที่แรงมาก สามารถเทียบกับกลิ่นอายของโป๋อีกู่ปีนั้นได้เลย หรือก็คือซอมบี้ที่นี่ไม่ใช่แค่ขั้นราชันดารา แต่เป็นถึงขั้นจักรพรรดิดาราระดับสูง การที่มีสิ่งที่น่าหวาดกลัวเช่นนี้อาศัยอยู่ ดูเหมือนว่าตัวเขาจะต้องระวังตัวยิ่งกว่าเดิมเสียแล้ว!
ต้องเข้าใจว่าฉู่เหินแม้แต่ทะลวงขั้นราชันดาราก็ยังไม่ได้ทะลวง นับประสาอะไรกับขั้นจักรพรรดิดาราระดับสูง ดังนั้นเขาจะต้องคิดหาวิธีทำให้พวกมันนอนหลับตลอดไป ด้วยวิธีนี้ชายหนุ่มก็จะสามารถจัดการพวกขั้นราชันดาราพวกนั้นได้อย่างง่าย ๆ แล้ว!
พูดน่ะง่ายแต่ทำน่ะยาก ต้องเข้าใจว่าขั้นจักรพรรดิดาราพวกนี้เก่งกาจขนาดไหน แม้ว่าจะหลับอยู่ แต่ถ้ามันผิดพลาดขึ้นมา เขาก็อาจจะทำให้พวกมันตกใจตื่นได้เช่นกัน และถ้าจักรพรรดิดาราพวกนี้ตกใจตื่นแล้วล่ะก็ ฉู่เหินก็คงไม่สามารถรับมือได้จริง ๆ
ฉู่เหินสร้างค่ายกลเพื่อลบกลิ่นอายของตัวเอง พอลบกลิ่นของตัวเองทั้งหมดแล้ว เขาจึงเดินเข้าไปในรังของซอมบี้ช้า ๆ
หลังจากเดินเข้ามาในภูเขา เขาก็รู้สึกได้ถึงลมเย็นที่กระทบร่าง ราวกับว่ามีสายตาเป็นพัน ๆ คู่จ้องมองตัวเองอยู่ จากนั้นเขาก็ใช้จิตวิญญาณสำรวจสอบทิศทางก็พบว่าไม่สิ่งผิดปกติอะไรจึงค่อยวางใจลงนิดหน่อย
ฉู่เหินไม่รู้เลยว่าทันทีที่เขาก้าวเข้ามาในรังซอมบี้นี้ ที่ที่ห่างไกลออกไป มันได้มีดวงตาของชายชราผู้หนึ่งลืมตาขึ้นอย่างกระทันหัน! ดวงตาที่ว่าเต็มไปด้วยความซับซ้อน ผมสีขาวของชายชราเป็นตัวบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเขาผ่านกาลเวลามายาวนานขนาดไหน
ชายชราจ้องมองไปยังทิศทางของฉู่เหินด้วยสายตาเย็นเฉียบ ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ เนิ่นนานกว่าชายชราจะถอนหายใจ และพูดออกมา “ชีวิตของคนก็เหมือนฝันหนึ่งตื่น ข้าไม่รู้ว่าตัวเองทำแบบนี้มันถูกหรือว่าผิด ท่านผู้เฒ่าขอโทษด้วย ข้าไม่อาจลืมตามองชีวิตประชาชนนับล้านล้มตายลงได้!”
หลังสิ้นเสียง น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตาของชายชรา หลังจากนั้นเขาก็มองไปอีกทิศทางหนึ่ง ที่นั่นก็คือที่ ๆ ศพของผู้หญิงคนหนึ่งนอนอยู่ เพียงแต่ร่างกายตอนนี้ได้แห้งเหี่ยวไปหมดแล้ว คงไม่อาจฟื้นคืนชีพได้อีก
“เหมิงเอ้อข้าขอโทษ ข้าไม่อาจทำเรื่องใจดำแบบนี้ได้ ข้าอยากให้เจ้าฟื้นคืนและก็ไม่อยากทำให้มีคนตายเพราะเจ้ามากกว่านี้ วางใจเถอะ ข้ากำลังลงมือฆ่าเจ้าหนุ่มนี้แล้ว หวังว่าวิญญาณของเจ้าจะไปสู่สุคติ!” หลังสิ้นประโยคนี้ นัยน์ตาของชายชราก็เต็มที่ด้วยความเยือกเย็นก็เจือจิตสังหารอย่างบ้าคลั่ง
ฉู่เหินไม่อาจรู้เลยว่าตอนนี้เขาได้ถูกชายชราที่เป็นสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดที่ไม่อาจทราบอายุอานามหมายหัวเข้าให้แล้ว ถ้าคนคนนี้เข้าต่อสู้จริงๆ ก็คงมีแต่ตายอย่างเดียว
ในเวลาเดียวกัน ท่ามกลางความว่างเปล่าที่สนามรบด้านนอก มันก็ได้มีผู้คนจำนวนมากหลบซ่อนอยู่ ในความว่างเปล่านี้ จู่ ๆ มีคนคนหนึ่งสวมชุดลายมังกรทอง นัยน์ตาของเขามีความบ้าคลั่งเจือปนอยู่สายหนึ่ง สายตาที่ร้อนแรงจ้องมองภาพตรงหน้าทั้งหมด
“จือหลินวางใจเถอะ ไม่ว่าใครฆ่านาย ถ้ามันปรากฏตัวเมื่อไรบิดาจะให้มันชดใช้ด้วยชีวิต” จากประโยคดังกล่าวก็สามารถรู้ได้ว่า คนคนนี้ไม่ใช่ใครอื่น เขาคือพ่อของหวังจือหลินแหล่งทะเลตงไห่ หวังปาเทียน!
ตอนที่หวังจือหลินเดินทาง เขาได้ทิ้งไฟวิญญาณเอาไว้ด้วย และตอนที่เขาเข้าไปในสนามรบไม่นาน ไฟวิญญาณก็ได้สลายไป นี้จึงทำให้หวังปาเทียนทราบว่าลูกชายของเขาหวังจือหลินตายไปแล้ว ตอนที่รู้ว่าลูกชายตัวเองเสียชีวิตแล้วนั้น เขาโกรธจนไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใครหรือมีความสามารถแค่ไหน เขาก็สาบานว่าจะแก้แค้นให้ลูกชายของเขาให้ได้!
ในตอนนี้เขาจัดการธุระของตัวเองเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเขาจึงจับผู้ฝึกตนที่เพิ่งออกมาถามเรื่องที่เกิดขึ้น
อีกมุมนึงไม่ไกล มันก็ได้มีชายชราที่เฝ้าอารักขาเงียบ ๆ อยู่ภายใน นับตั้งแต่แรก ใบหน้าของเขาประดับไปด้วยรอยยิ้ม วรยุทธ์ของเขาเองก็สูงจนน่ากลัว คนคนนี้ไม่ใช่ใครอื่น เขาก็คือผู้เฒ่าของตระกูลฉู่นั้นเอง เขาแอบมาที่นี่ก็เพื่อปกป้องฉู่ฉุนไม่ให้ถูกใครทำร้ายเขาได้
แน่นอนว่ายังมีอีกจุดประสงค์หนึ่ง นั่นก็คือหวังว่าฉู่ฉุนจะสามารถตามหาลูกชายกิเลนที่หายไปหลายปีก่อนได้และนั่นก็ไม่ใช่ใครอื่นอีกเช่นกัน ลูกชายกิเลนที่ว่าก็คือฉู่เหินนั่นเอง! และที่ไม่ไกลจากชายชรานักก็ได้มีชายชราอีกคนหนึ่งที่แอบซ่อนในความว่างเปล่าอย่างชะล่าใจ คนนี้แม้ว่าจะมีพลังวรยุทธ์ไม่เท่าผู้เฒ่าตระกูลฉู่ แต่เมื่อเทียบกับหวังปาเทียนแล้วก็ไม่ได้สูงหรือต่ำกว่ากัน
คนผู้นี้ได้รับหน้าที่ให้มาคอยปกป้องฉู่เหิน เขาคือผู้อาวุโสแห่งนิกายกิเลนนั้นเอง ในเวลานี้ที่ความว่างเปล่าไม่เพียงมีคนแก่อย่างพวกเขาสามคน มันยังมีผู้อาวุโสจากหลายนิกายที่มาปกป้องลูกหลานของนิกายตัวเองอีกมากมาย พวกเขาบางคนถึงกับเฝ้าอารักขาที่นี่มานานนับร้อยปีแล้ว
ถ้าไม่ใช่เพราะไฟวิญญาณยังไม่ดับ น่ากลัวว่าผู้อาวุโสเหล่านี้คงคิดว่าคนที่ตัวเองอารักขาตายไปนานหลายรอบแล้ว
ฉู่เหินไม่รู้เลยว่าการที่พวกเขารับภารกิจในเมืองโบราณ มันได้มีผลกระทบกับคนอื่นอีกเท่าไร ตอนนี้เขาเดินมาถึงจุดศูนย์กลางของรังซอมบี้แล้ว และจู่ ๆ ดวงตาของชายหนุ่มก็พลันเปล่งประกายออกมาอย่างต่อเนื่อง ราวกับว่านึกวิธีอะไรออก!
ต่อมาเขาก็เดินลึกเข้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง เขารู้สึกว่ายิ่งเดินลึกเข้าไปข้างในเท่าไรก็ยิ่งได้กลิ่นหอมกรุ่นแห่งชีวิตมาจากภายในมากเท่านั้น กลิ่นหอมที่ว่านี้ทำให้ชายหนุ่มตกใจมากตอนที่สัมผัสได้ในตอนแรก กลิ่นที่ว่าทำให้ฉู่เหินแปลกใจ ซอมบี้ไม่น่าจะมีชีวิตสิถึงจะถูก ทำไมกลิ่นอายแห่งชีวิตถึงมาอยู่ที่นี่กัน?
หลังจากนั้นเขาก็คิดถึงตอนที่เขาพบผู้หญิงคนนั้นในถ้ำ ถ้าพูดถึงความเป็นไปได้แล้วจะมีใครเทียบเท่าเธอได้กัน แต่ก่อนที่จะหาต้นตอของกลิ่นที่ว่าได้ ชายหนุ่มก็คงยังไม่คิดที่จะรีบสรุปอะไรไปก่อน
ฉู่เหินเดินลึกเข้าไป เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแห่งชีวิตทีทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ และในที่สุดชายหนุ่มก็เจอต้นตอที่ว่าแล้ว