ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 18 ท่านอ๋องหึงแล้ว
เหล่าคนรับใช้ครุ่นคิดกันไปต่างๆนานา ไม่มีใครพูดอะไร หนานหว่านเยียนมองพวกเขา บอกว่า “กินข้าวแล้ว ทุกคนมัวอึ้งอะไรกันอยู่?”
ทุกคนมองหน้ากันไปมา ไม่รู้ว่าหนานหว่านเยียนกำลังพูดกับใคร
หนานหว่านเยียนไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี “อย่าดูเลย ข้าพูดกับพวกเจ้าน่ะแหละ ทำงานมาทั้งวันแล้ว ไม่หิวรึ? รีบมานั่งลงกินข้าวด้วยกันเถอะ”
เซียงอี่ว์เซียงเหลียนตกใจมาก เซียงอี่ว์รีบบอก “พระชายาและนายน้อยทั้งสองฐานะสูงส่ง พวกข้าน้อยเป็นเพียงคนรับใช้ ไม่อาจร่วมโต๊ะอาหารกับท่านได้ดอก”
หนานหว่านเยียนปวดหัวกับกฎระเบียบมารยาทพวกนี้ แกล้งทำเป็นโกรธว่า “ข้าทำอาหารมากมายขนาดนี้ แค่พวกเราแม่ลูกจะกินหมดได้อย่างไรกัน? รีบนั่งลง ทำไม พวกเจ้าไม่ฟังคำสั่งของข้างั้นรึ?”
เซียงอี่ว์เซียงเหลียนมองหน้ากันไปมา ถึงได้นั่งลงข้างเด็กน้อยทั้สองอย่างหวั่นเกรง
“ถูกแล้ว ในเรือนเซียงหลินนี้ พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องถือสาเรื่องพวกนี้” หนานหว่านเยียนหัวเราะบอก หันมองคนรับใช้คนอื่น “พวกเจ้าก็นั่งลงเถิด”
เหล่าคนรับใช้ต่างกันโค้งขอบคุณ และนั่งลง
ทุกคนล้อมวงกันกินข้าว แต่กลับไม่มีเสียงเลยแม้แต่น้อย
หนานหว่านเยียนก็ไม่ถือสา คอยดูแลสองสาวพี่น้องกินข้าว
พอกินข้าวเสร็จ หนานหว่านเยียนจูงมือสองสาวพี่น้องเข้าห้อง และอบรมการเรียนพวกนางต่อไป และยกเรือนให้คนรับใช้ทำความสะอาด
แต่ในเวลานี้เอง กลับมีร่างหนึ่งค่อยๆย่องลอบออกจากเรือนเซียงหลิน รีบมุ่งไปทางที่กู้โม่หานอยู่
ไม่นานก็มีเสียงกู้โม่หานอุทานอย่างไม่เชื่อหูตัวเองออกมาจากเรือนซีเฟิง
“เจ้าว่ากระไรนะ? หนานหว่านเยียนสอนเด็กหญิงสองคนนั่นท่องกลอนกวี? และยังให้พวกเจ้ากินข้าวร่วมโต๊ะเดียวกันกับนางอีก?”
บนพื้นมีเด็กสาวในชุดสาวใช้คนหนึ่งคุกเข่าอยู่ เวลานี้นางตอบอย่างนบนอบว่า “กราบทูลท่านอ๋อง ข้าน้อยพูดความจริงทั้งนั้น”
เขาขมวดคิ้วมุ่น “เจ้ากลับไปก่อนเถอะ จับตาดูเรือนเซียงหลินให้ดี มีอะไรค่อยมารายงานข้าใหม่”
“เจ้าค่ะ” สาวใช้รับคำสั่งพลางถอนออกไป
หนานหว่านเยียนเป็นวิชาแพทย์ก็ว่าแปลกแล้ว นี่ยังท่องกลอนกวีได้อีก?
สิ่งน่าเบื่ออย่างนั้นอย่างกลอนกวี นางยังเป็นคนความรู้น้อยอีก ถ้าไม่มีอาจารย์คอยสั่งสอน จะร่ำเรียนด้วยตนเองได้เช่นนี้ได้อย่างไร?
เวลาห้าปีทำให้ขยะคนหนึ่งเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ จนแตกต่างอย่างสิ้นเชิงเช่นนี้ได้จริงรึ?
ระหว่างคิด ดวงตาดำขลับของกู้โม่หานพลันหรี่ลง
คืนนี้หนานหว่านเยียนจะมารักษาเสิ่นอี่ว์
เขาจะลองสืบดูสิว่า นางคือหนานหว่านเยียนจริงหรือไม่!
……
เรือนเซียงหลิน
หนานหว่านเยียนนั่งอยู่บนตั่ง เหน็บมุมผ้าห่มให้สองสาวน้อย
เด็กสองคนนี้เมื่อครู่ยังท่องหนังสืออยู่เลย ใครจะรู้ว่าท่องไปท่องไป สองสาวพี่น้องก็หลับปุ๋ยไปดื้อๆ
หนานหว่านเยียนมองดูลูกสาวที่หลับปุ๋ย ใจอ่อนยวบละลายไปเลย
วันนี้เด็กสองคนนี้ล้างแค้นให้เธอ เรียกได้ว่าทำให้กู้โม่หานไม่พอใจ
ถึงผู้ชายที่ใช้ความรุนแรงกับครอบครัวคนนั้นจะเหมือนไม่มีความคิดทำอะไรเด็กสองคน แต่ใครก็ไม่รู้หรอกว่า ตอนกู้โม่หานเดือดจัด จะลงมือกับเด็กสองคนหรือไม่
ยิ่งไปกว่านั้นในสายตาเขา เด็กๆคงเป็น “ลูกชู้”กระมัง
หนานหว่านเยียนคิ้วขมวดมุ่น
เธอคิดไปถึงงานเลี้ยงที่กู้โม่หานพูดถึง พรุ่งนี้จะมีพระญาติเชื้อพระวงศ์มากมายมาร่วมงาน รวมถึงนางในฝันของกู้โม่หาน—หยุนอี่ว์โหรวก็จะมาด้วย
อาศัยความทรงจำของร่างเดิม หนานหว่านเยียนเลยจำหยุนอี่ว์โหรวคนนี้ได้แม่นมาก
ถึงร่างเดิมจะไม่มีความสามารถอะไร หน้าตาก็อัปลักษณ์ แต่ไม่ได้เป็นคนเลวร้ายอะไร
หยุนอี่ว์โหรวต่างหากที่เป็นผู้หญิงเสแสร้งตัวดีคนหนึ่งเลย ในตัวมีแต่ความคิดร้ายๆ ชื่อเสียงเสียหายบนตัวร่างเดิม เกินครึ่งเป็นผลมาจากการให้ร้ายป้ายสีของหยุนอี่ว์โหรว
ร่างเดิมยังโดนกู้โม่หานทรมานเกือบตายเพราะหยุนอี่ว์โหรว….
ดังนั้นงานเลี้ยงพรุ่งนี้น่าจะมีศึกหนักต้องสู้
แต่ในเมื่อเป็นงานเลี้ยงที่มีเป้าหมายไม่ดี หนานหว่านเยียนก็ต้องไปอยู่ดี
เธอต้องจับกองหนุนอย่างไทเฮาให้มั่น ต่อให้ไม่สามารถหย่าร้างกับกู้โม่หาน เธอก็ต้องพยายามเพื่อชีวิตที่ดียิ่งกว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าไทเฮา!
พอคิดได้แบบนี้ หนานหว่านเยียนก้มหัวมองไปที่สองสาวพี่น้องที่หลับสนิท และลุกขึ้นเข้าไปในห้วงเวลา
พอจัดการปรุงตัวยาที่จะใช้ได้ ก็ออกจากห้วงเวลา
หนานหว่านเยียนหยิบกระเป๋ายา ตอนออกจากเรือนเห็นอวี๋เฟิงยังเฝ้าอยู่ พูดใส่ด้วยสีหน้าอ่อนโยนว่า “ลำบากแล้วนะ”
พอเห็นนางสะพายกระเป๋ายา อวี๋เฟิงรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย “พระชายาจะไปดูอาการองครักษ์เสิ่นงั้นรึ?”
เมื่อวานตอนเขาโดนปล่อยตัวออกจากคุกก็ได้ยินมาบ้าง ทั่วทั้งจวนอ๋องต่างรู้กันหมดว่าพระชายาช่วยองครักษ์เสิ่นไว้ ท่านอ๋องก็ออกคำสั่งให้พระชายารักษาให้องครักษ์เสิ่นต่อไป จนกระทั่งองครักษ์เสิ่นหายดีในที่สุด
หนานหว่านเยียนพยักหน้า และยิ้มบอกอีกว่า “อวี๋เฟิง เด็กสองคนนั่นของข้าฝากเจ้าด้วยนะ ช่วยข้าคุ้มครองปกป้องพวกนาง หากมีนักฆ่ามา ต้องหาคนช่วยนะ”
ตอนนี้เรือนเซียงหลินมีองครักษ์มาเฝ้า และยังมีอวี๋เฟิงเฝ้าดูอยู่ เธอวางใจขึ้นมาก
แต่ยังไงก็ต้องระมัดระวังป้องกันไว้ก่อน
อวี๋เฟิงรับปาก แต่ยังไม่วายถามอีกว่า
“พระชายาไปทำให้ใครมิพอใจหรือไม่?”
และนักฆ่าเหล่านั้นยังทำร้ายจน องครักษ์เสิ่นจนได้รับบาดเจ็บ! เห็นได้ชัดเลยว่า เก่งกาจเพียงไร
ยิ่งได้เห็นได้อีกว่า พวกเขาอยากจะทำพระชายาที่มิมีเรี่ยวแรงต่อสู้ใดๆให้ถึงตาย!
พอได้ยินอย่างนั้น ดวงตาหนานหว่านเยียนฉายแววเย็นเยียบเล็กน้อย “คนที่อยู่ในเรือนเย็นมาห้าปีอย่างข้า ปกติแม้แต่นกยังไม่ได้เห็นเลย เจ้าคิดว่าข้าไปทำให้ใครไม่พอใจกันล่ะ?”
ห้าปีมานี้เธออยู่มาอย่างสุขสงบ ในเรือนเย็นก็ไม่มีคนมารบกวนเลย ชีวิตทั้งสงบราบเรียบทั้งมีความสุข เลี้ยงหมาเลี้ยงเด็กปลูกผัก ใช้ชีวิตอย่างมีรสมีชาติ
หลังจากเจอกู้โม่หาน ก็มีนักฆ่ามาลอบฆ่าเธอ…
เหอะ ใช้นิ้วเท้าคิดยังรู้เลยว่าใครเป็นตัวการอยู่เบื้องหลัง แต่เธอไม่มีหลักฐาน
เธอโบกมือใส่อวี๋เฟิง จากนั้นก็หมุนตัวจากไป
มองตามแผ่นหลังหนานหว่านเยียน อวี๋เฟิงตกตะลึง
ที่พระชายาพูดเป็นเรื่องจริง นางที่เป็นชายาไร้อำนาจคนหนึ่ง ไม่เคยได้ออกนอกประตูเรือนหลายปี จะไปทำให้ใครไม่พอใจได้?
นอกเสียจากว่า บนตัวพระชายาจะมีความลับอะไรที่ทำให้คนหวั่นเกรง คนผู้นั้นเลยพยายามทุกวิถีทางเพื่อฆ่านางปิดปาก…
อีกด้านหนึ่ง เนื่องจากว่าหนานหว่านเยียนได้ถูกยกเลิกการกักบริเวณ ดังนั้นเลยเดินมาถึงห้องเสิ่นอี่ว์ได้อย่างราบรื่น
วินาทีนี้เสิ่นอี่ว์กำลังนั่งเหม่ออยู่บนเตียง เขาเหลือบตาขึ้นก็เห็นชุดสีอ่อนของหนานหว่านเยียน ในมือถือกระเป๋ายาเดินเข้ามาหาเขาด้วยสีหน้าปกติ
เสิ่นอี่ว์เปลี่ยนความคิดที่มีต่อหนานว่านเยียนไปแล้ว เพราะหนานหว่านเยียนช่วยชีวิตเขาไว้ แต่นางเป็นศัตรูของท่านอ๋อง เขาก็ไม่กล้าจะแสดงออกให้มันออกนอกหน้านัก
หนานหว่านเยียนเห็นสีหน้าอมชมพูของเสิ่นอี่ว์ ก็เลิกคิ้วถาม “ดีขึ้นหน่อยแล้วหรือไม่?”
เสิ่นอี่ว์เม้มปาก “ดีขึ้นมากแล้ว ขอบพระคุณพระชายาที่เป็นห่วง”
หนานหว่านเยียนพลันหัวเราะออกมา “เจ้าคงไม่คิดหรือกลัวว่าข้าจะเอาชีวิตเจ้าอีกกระมัง?”
เสิ่นอี่ว์เบนหน้าหนีอย่างขัดเขิน
“ก่อนหน้านี้เสิ่นอี่ว์เข้าใจพระชายาผิดไป ทำเรื่องที่เสียมารยาทต่อพระชายามากมาย หากพระชายามิชอบใจและไม่รักษาข้าอีก เสิ่นอี่ว์ก็พร้อมยอมรับมัน”
หนานหว่านเยียนเห็นท่าทีกระมิดกระเมี้ยนของเขาแล้ว อดยิ้มขันออกมาไม่ได้
“ถ้าข้าไม่รักษาเจ้า ท่านอ๋องของเจ้าไม่รู้จะระเบิดกัมปนาทอย่างไรสิ อีกอย่าง การช่วยคนเป็นหน้าที่ของหมออยู่แล้ว ในเมื่อข้าจะช่วย ก็ต้องช่วยจนถึงที่สุด เรื่องล้มเลิกกลางคันมิใช่นิสัยของข้า”
คนสองคนในห้องไม่ได้สังเกตเลยว่า กู้โม่หานแอบเก็บตัวยืนอยู่นอกประตู
กู้โม่หานยืนรอนานแล้ว ก็เพื่อจะดูให้เห็นกับตาถึงวิธีการรักษาของหนานหว่านเยียน
เขาจะดูว่านางใส่กู่กับเสิ่นอี่ว์หรือไม่ ไม่อย่างนั้นมีหรือเสิ่นอี่ว์จะพูดถึงความดีของนางต่อหน้าเขาหลายต่อหลายครั้ง
แต่ตอนนี้เขาไม่เห็นอะไรทั้งนั้น เห็นแค่ทั้งคู่พูดคุยยิ้มแย้มกัน ใบหน้าหล่อเหลาขรึมลงทันที รู้สึกไม่สบอารมณ์เลย….