ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 67 ข้าชื่นชอบนัก
กู้โม่หานรู้สึกปวดใจแต่เขาก็มิอยากจะโมโหเด็กๆ ดังนั้นจึงคิดบัญชีทั้งหมดไปที่หนานหว่านเยียน
ดวงตาของผู้ชายราวกับใบมีดคมกริบ หากมันสามารถฆ่าคนได้ บัดนี้หนานหว่านเยียนคงจะถูกกู้โม่หานหั่นเป็นชิ้นๆ ไปแล้ว
หนานหว่านเยียนถูกเขาจ้องมองเสียจนขนลุกขนชัน นางทำท่าทีเหมือนกำลังเอ่ยถามว่า‘เจ้ามองอะไรนักหนา’ “ทำไมหรือ ท่านอ๋องรู้สึกมิถูกปากหรือ จึงได้ขอความช่วยเหลือจากข้า?”
เมื่อประโยคนี้ถูกกล่าวออกมา ใบหน้าของเจ้าหนูน้อยทั้งสองคนก็ดูห่อเหี่ยวทันที
กู้โม่หานยิ้มขึ้นอย่างทำตัวมิถูก เขากัดฟันพูดกับหนานหว่านเยียนว่า “เจ้ากล่าวไร้สาระอะไรกัน ข้าบอกแล้วนี่ว่าพวกนางทำอาหารได้อร่อย และข้าก็ชื่นชอบนัก”
“เพียงแต่สิ่งที่ข้าคิดมิถึงก็คือ พระชายาช่างมีความสามารถ‘ในการอบรมสั่งสอนเลี้ยงดูลูกๆ’ เหลือเกิน ทำให้ข้าเปิดหูเปิดตายิ่งนัก”
ตอนที่ผู้ชายกล่าวคำว่า “อบรมสั่งสอน” ออกมา เขากัดฟันพูดด้วยใบหน้าซีดเผือด
หนานหว่านเยียนเลิกคิ้วขึ้น เจ้าอ๋องบ้านี่กำลังด่านางทางอ้อมหรือ?
นางยิ้มขึ้นเบาๆ ทำท่าที่โบกมือปฏิเสธอย่างสุภาพว่า “ท่านอ๋องกล่าวเกินไปแล้วเพคะ ลูกทั้งสองมีความสามารถและเฉลียวฉลาดเหมือนข้าก็เท่านั้น”
กู้โม่หานกัดฟันกรอด “พระชายามิจำเป็นต้องถ่อมตนหรอก เจ้าหนูน้อยทั้งสองได้รับการอบรมสั่งสอนอย่าง‘มีเหตุมีผล’จากเจ้า อ่านออกเขียนได้และทำอาหารเป็น ข้ามิเคยรู้มาก่อนว่าพระชายามีความสามารถมิเบา”
หนานหว่านเยียนตอกกลับว่า “ท่านอ๋องกล่าวได้ถูกต้องแล้ว เด็กๆ เหล่านี้เสียพ่อไปตั้งแต่ยังเล็ก ในฐานะแม่ ข้าควรจะปกป้องและอบรมสั่งสอนพวกเขาให้ดี ข้าก็มิรู้ว่าพวกนางต้องลำบากเพียงไร เฮ้อ……”
“นี่เจ้า……!” กู้โม่หานรู้สึกโมโหขึ้นเล็กน้อย เสียพ่อไปตั้งแต่เด็กงั้นหรือ หากว่าเขาเป็นพ่อของเด็กๆ เล่า แม้ว่าจะมีคำมากมายอยากกล่าวออกมา ท้ายที่สุดแล้วเขาก็กล่าวเพียงคำว่า “เจ้า” และมิได้เอ่ยสิ่งใดอีก
สองพี่น้องมองดูผู้ใหญ่ทั้งสองคนสนทนากันไปมา ราวกับบทสนทนาของสามีภรรยาในชีวิตประจำวัน แต่แท้จริงเป็นเพียงความสัมพันธ์จอมปลอมที่ไร้ค่า
ซาลาเปาย่องเข้าไปใกล้หูของเกี๊ยวน้อย กระซิบถามด้วยความสงสัยว่า “ท่านพี่ ท่านแม่มิได้เกลียดคนเลวคนนี้หรือ?”
เกี๊ยวน้อยเอ่ยด้วยท่าทางลึกลับว่า “เจ้าจะไปรู้อะไรเล่า นี่เรียกว่าพิลึกกึกกือ”
“อ๋อ……” ซาลาเปาที่มีความรู้เพียงเล็กน้อยทำท่าทางเสแสร้งว่า‘ที่แท้เป็นอย่างนี้’นี่เองออกมา แล้วมองไปยังทั้งสองคนที่กำลังแสดงละครกันอย่างเงียบๆ
ในที่สุดกู้โม่หานก็มิอาจทนได้อีกต่อไป สีหน้าของเขาดูย่ำแย่
มิได้การละ เขามิสนใจว่าเขาจะเป็นพ่อของพวกนางหรือไม่ แต่เขามิอาจปล่อยให้หนานหว่านเยียนอบรมสั่งสอนเด็กๆ แบบนี้ได้อีกต่อไป มิเช่นนั้นเด็กๆ ทั้งสองคงจะถูกทำลายด้วยมือของหนานหว่านเยียนแน่
แต่ตอนนี้สถานการณ์คับขัน เขาจะต้องหามุมดีๆ เพื่ออาเจียนออกมาก่อน
ดวงตากลมโตอันไร้เดียงสาและน่ารักของสองพี่น้องกลอกไปมา ผู้ชายพยายามอดกลั้นต่ออาการคลื่นไส้ในกระเพาะอาหารแล้วเอ่ยขึ้นว่า “บัดนี้ข้ารับประทานอาหารเรียบร้อยแล้ว แต่ยังมีธุระต้องจัดการ ขอตัวก่อน”
เมื่อกล่าวจบเขาก็เดินออกไปโดยมิหันหลังกลับมามองอีก
หนานหว่านเยียนมองตามร่างของกู้โม่หานที่หนีไปอย่างเร่งรีบ แล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะออกมา
กู้โม่หานมักจะสงสัยติดใจเรื่องของบุตรสาวเสมอมา บัดนี้นางอยากจะให้เขารู้สักทีว่าพวกเด็กๆ มิอยากต้อนรับเขามากเพียงไร ในอนาคตควรจะอยู่ให้ไกลจากลูกสาว อย่าได้มาคิดเล็กคิดน้อยอะไรอีก
กู้โม่หานรีบพุ่งตรงออกมาจากเรือนเซียงหลิน ทันทีที่มาถึงบริเวณกำแพงก็ได้อาเจียนออกมายกใหญ่
เขาอาเจียนเสียจนมีอาการมืดฟ้ามัวดิน
ในฐานะเทพเจ้าแห่งสงคราม กู้โม่หานมิเคยรู้สึกลำบากและขมขื่นเช่นนี้มาก่อน เขาอาเจียนเสียจนริมฝีปากซีดเผือด จากนั้นค่อยๆ ประคองหินที่อยู่ด้านข้างแล้วลุกขึ้นยืน แววตาเหม่อลอย
เขากระแทกกำปั้นเข้าไปที่หินจำลอง แล้วคำรามด้วยน้ำเสียงอันดุดัน “หนาน หว่าน เยียน!”
“ฮัดชิ้ว!” ภายในเรือนหนานหว่านเยียนจามออกมา
หญิงสาวสูดจมูกฟุดฟิดด้วยความหงุดหงิดใจ กู้โม่หานจะต้องแอบด่านางลับหลังแน่
จากนั้นนางก็หันหลังกลับไปมองเด็กน้อยทั้งสอง รอยยิ้มนั้นงดงามสดใส ใบหน้าของนางดูซับซ้อน
เกี๊ยวน้อยสังเกตเห็นแววตาที่มองมาของหนานหว่านเยียน นางจึงรีบลุกขึ้นยืนแล้วสารภาพความผิดออกมาเป็นคนแรกว่า “ท่านแม่ เป็นฝีมือของข้าเอง”
หนานหว่านเยียนรู้แต่แรกแล้ว แต่การที่นางมิได้เอ่ยออกมานั้นก็เพื่อรอให้บุตรสาวพูดต่อ
ซาลาเปาก้มหน้าลง น้ำตาของนางเกาะอยู่ที่บริเวณขนตา นางเอื้อมมือไปจับเกี๊ยวน้อยเอาไว้ “ท่านแม่ ข้าด้วย ท่านพี่บอกกับข้าว่าจะจัดการคนร้ายคนนี้”
ท่าทีของหนานหว่านเยียนดูจริงจัง นางมิได้โทษหรือตำหนิที่เด็กๆ ทำมิดี เมื่อครู่นางเองก็รู้สึกสนุกสนาน แต่เมื่อพิจารณาดูอีกทีแล้วก็รู้สึกว่ามิถูกต้อง มิใช่ว่านางเป็นคนดีมีศีลธรรมอะไรเหล่านั้นหรอก นางคิดเสมอว่าความดีมีน้ำใจและเมตตานั้น มีแต่จะทำให้คนร้ายได้ใจและหยิ่งผยองขึ้น
แต่นางรู้สึกว่าหากปล่อยให้พวกนางจัดการกับกู้โม่หานเช่นนี้ต่อไปคาดว่าจะเป็นอันตราย
เกี๊ยวน้อยเห็นว่านางมิเอ่ยสิ่งใดออกมาเป็นเวลาเนิ่นนาน ก็รู้สึกกระวนกระวายใจแล้วรีบเข้าไปคว้าชายเสื้อของหนานหว่านเยียนเอาไว้กล่าวว่า “ท่านแม่อย่าได้โกรธไปเลย ข้ากับซาลาเปาเพียงแค่ใส่โต้วปาบดแล้วก็เครื่องปรุงที่ท่านเอาใส่ไว้ในกระปุกเหล่านั้น……”
เมื่อกล่าวจบนางก็รีบหลบตา น้ำเสียงเผยถึงความผิด
มองดูแล้วพวกนางเพิ่มเครื่องปรุงลงไปในนั้นมากพอควร แต่เจ้าคนเลวนั่นมาทำร้ายท่านแม่ก่อน สมควรแล้วที่จะได้รับ
บัดนี้ท่านแม่สงสารผู้ชายเลวๆ คนนั้นหรือ?
มิได้การล่ะ นางจะต้องทำให้ท่านแม่ตาสว่างให้ได้
เกี๊ยวน้อยโมโหเสียจนเงยหน้าขึ้น น้ำเสียงเปลี่ยนไปดูมีเหตุมีผลขึ้นทันที “ท่านแม่ เจ้าคนเลวนั้นมิสมควรที่จะได้รับความเห็นใจ พวกเรามองจากด้านข้างสับสนดี ส่วนท่านอาจจะชัดเจน……”
ซาลาเปารีบเอ่ยเตือนว่า “ท่านพี่ พูดผิดสลับกัน”
เกี๊ยวน้อยกำหมัดแน่น “เอาเป็นว่าหากท่านแม่รู้สึก เสียใจเพราะคนเลวคนนั้นแต่งงานกับคนอื่น และรู้สึกปวดใจแทนเขาที่เห็นข้ากับซาลาเปาแก้แค้นเขา เช่นนั้นท่านแม่ก็คงโง่เง่า”
หนานหว่านเยียนชะงักลงทันใด ในใจของแม่หนูน้อยคนนี้ นางกลายไปเป็นผู้ที่คลั่งรักจนโงหัวมิขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่?
เกี๊ยวน้อยยังคงมิหยุด ใบหน้าแดงเรื่อกล่าวขึ้นด้วยความตื่นเต้นว่า “ผู้ชายคนนั้นมิเหมาะสมกับท่านแม่เลยสักนิด ท่านแม่ดีกับเขาแต่เขายังมีคนอื่น วันๆ คิดหาแต่วิธีมารังแกท่านแม่ ทำให้ท่านแม่ต้องเจ็บตัวครั้งแล้วครั้งเล่า”
“ซาลาเปา เจ้ากล่าวได้ถูกแล้ว คนเลวนั่นมิคู่ควรสักหน่อย”
เมื่อได้ยินดังนั้นซาลาเปาก็พยักหน้า “ท่านแม่ ข้าและท่านพี่มิอยากให้ท่านแม่ถูกรังแก แต่หากท่านแม่มิอาจลงมือเองได้ ข้าและท่านพี่จะช่วยล้างแค้นให้เอง คนเลวๆ เช่นนั้นมิคู่ควรที่จะให้ท่านแม่เสียใจแบบนี้”
หัวใจของหนานหว่านเยียนรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา สีหน้าของนางเมื่อครู่อ่อนลงทันที
ต่อให้เด็กๆ เข้าใจนางผิดไป แต่ความรู้สึกนี้หนานหว่านเยียนช่างประทับใจยิ่งนัก
นางถอนหายใจออกมาและแสดงความเป็นห่วงกังวล
“แม่มิได้โทษพวกเจ้า เพียงแต่พวกเจ้าต้องรู้เอาไว้ว่าบัดนี้พวกเจ้ายังเด็ก มิอาจปกป้องตนเองได้ หากพวกเจ้าต้องการจะแก้แค้นกู้โม่หาน ก็ควรแน่ใจว่าพวกเจ้าจะมิได้รับบาดเจ็บเดือดร้อน”
“อย่างเช่นเรื่องในวันนี้ แม้จะมิรู้ว่าเหตุใดเขาจึงโมโห แต่อย่างไรก็ตามอย่าได้ทำในสิ่งที่ตนเองมิแน่ใจว่าจะคุ้มกันตนเองได้ปลอดภัยหรือไม่ เข้าใจไหม?”
เมื่อได้ยินดังนั้นสองพี่น้องก็หันมาสบตากันแววตาเป็นประกาย ทั้งสองเข้าใจความหมายของหนานหว่านเยียนในทันที
เจ้าหนูน้อยทั้งสองเอ่ยขึ้นพร้อมกันว่า “ท่านแม่ พวกข้าเข้าใจแล้ว”
“ต่อจากนี้อย่าให้แม่ต้องเป็นกังวลอีก”
หนานหว่านเยียนรู้สึกโล่งใจ นางยกมือขึ้นลูบศีรษะของทั้งสองพี่น้อง ภายในห้องเต็มไปด้วยความอบอุ่นกลมเกลียวกันระหว่างสามคนแม่ลูก
จู่ๆ เซียงอวี้ก็วิ่งเข้ามาด้วยความกระตือรือร้นว่า “พระชายาเพคะ พระชายารองหยุน นาง……”