ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 115 เสนอตัวเข้าหา
พ่อบ้านกาวตอบรับอย่างเคารพ จากนั้นเงยหน้าถาม “ท่านอ๋องยังมีอะไรกำชับหรือไม่?”
กู้โม่หานขณะนี้กำลังเม้มปากครุ่นคิดภายใต้แสงเทียน ใบหน้ารูปงามเป็นเหลี่ยมคมชัดสว่างสลับกับความมืด มีความเคร่งขรึมที่แปร่งประกายจากภายในสู่ภายนอก
พอเขาคิดถึงจากนี้ไปยายหนูสองคนสามารถได้รับความรู้ที่ดี มุมปากก็อดที่จากโก่งขึ้นเป็นรูปอย่างดีใจไม่ได้
พ่อบ้านกาวเห็นกู้โม่หานยิ้มแล้ว กลับรู้สึกหวาดกลัวขนลุก เขาทดสอบถามอีกครั้ง “ท่านอ๋อง?”
กู้โม่หานดึงสติกลับมา ไอแห้งไปทีหนึ่ง “ไม่เป็นไร เจ้าไปจัดการก่อนเถิด”
พ่อบ้านกาวคำนับถอนตัวออกไป กู้โม่หานก็กลับมาถึงเรือนซีเฟิง
ในเรือนเซียงหลิน หนานหว่านเยียนบิดขี้เกียจเดินออกมาจากในเรือนมาด้านนอก
เมื่อวานเซียงอวี้บอกนางว่า รู้สึกว่ากู้โม่หานปฏิเสธการเสนอตัวของหยุนอี่ว์โหรว
หนานหว่านเยียนส่ายหน้าอย่างเอือมระอา “เชอะๆ ดูแล้วฝีมือของดอกบัวขาวน้อย (*ภายนอกดูบริสุทธิ์ แต่ความจริงกร้านโลก)ก็แย่ไปหน่อยนะ”
เมื่อคืนเขาคิดหน้าทวนหลัง ก็ยังคิดไม่ออกว่าควรใช้วิธีอะไรไปนตัดการหยุนอี่ว์โหรวสักหน่อย ลูกกลอนพูดความจริงเม็ดนั้นเก็บไว้เพื่อนางโดยเฉพาะ!
เวลานี้อวี๋เฟิงมารายงาน บอกว่าพ่อบ้านกาวพาอาจารย์ที่สุภาพเรียบร้อยคนหนึ่งมาแล้ว
หนานหว่านเยียนขมวดคิ้ว “อาจารย์?”
นางมาถึงหน้าประตูเรือน ก็มองเห็นข้างกายพ่อบ้านกาว ก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งที่สุภาพเรียบร้อยในทุกท่วงท่า
คนนี้เสื้อดำทั้งตัว สีหน้าเคร่งขรึม ดูไปแล้วสง่าสูงส่งไม่รู้ทางโลก
หนานหว่านเยียนแปลกใจ คนที่ดูแล้วสี่สิบกว่า สามารถมีบุคลิกท่าทางเช่นนี้ ช่างยากที่หาเจอได้!
พ่อบ้านกาวคำนับไปทางหนานหว่านเยียน “พระชายา นี่คืออาจารย์สอนหนังสือที่มาใหม่——หลินอวี้เฟิง จากนี้ไปอาจารย์ท่านนี้ จากมาสอนหนังสือทำกลอนให้กับคุณหนูน้อยทั้งสองในเรือนเซียงหลินทุกวัน”
อาจารย์สอนหนังสือ?!
กู้โม่หานบอกว่าเชิญมาก็เชิญมาจริง?
หนานหว่านเยียนมุมปากกระตุก มองไปที่หลินอวี้เฟิง “อาจารย์หลิน สวัสดี”
หลินอวี้เฟิงคำนับต่อนางโดยสีหน้าเรียบเฉย “คำนับพระชายา ไม่ทราบว่า พระชายาให้ข้าน้อยเจอคุณหนูน้อยทั้งสองหน่อยได้หรือไม่?”
หนานหว่านเยียนขมวดคิ้ว ไม่ได้ปฏิเสธ พาเขาและพ่อบ้านกาวเข้าไปในเรือน
อย่างไรเสียกู้โม่หานส่งคนมาถึงหน้าประตูแล้ว ไม่มีเหตุผลที่นางจะไล่คน
“ซาลาเปาเกี๊ยวน้อย ออกมาพบอาจารย์!”
หนานหว่านเยียนตะโกนไปในห้อง บ่าวรับใช้ทั้งหลายที่ได้ยินความเคลื่อนไหว ต่างก็พากันมาประสมโรงกัน
“อาจารย์? พระชายาเชิญอาจารย์สอนหนังสือให้คุณหนูน้อยแล้ว?”
“ไม่ใช่กระมัง? ข้ารู้สึกว่าปกติพระชายาก็สอนได้ดีมากแล้ว”
พวกบ่าวใช้หญิงเจ้าคำหนึ่งข้าคำหนึ่ง ก็เห็นซาลาเปาและเกี๊ยวน้อยยื่นหัวตามกันมาหน้าหลัง “ท่านแม่ อาจารย์อะไร?”
หนานหว่านเยียนหัวเราะ กะพริบตาพูดกับพวกนางว่า “อาจารย์สอนหนังสือ! รีบมาทักทาย!”
พอได้ยินว่าคืออาจารย์สอนหนังสือ เกี๊ยวน้อยก็เดินช้าลงกะทันหัน หัวก็หดลงมา มุ่ยปากไม่ยอมพบหน้า
ซาลาเปากลับดูตื่นเต้นเป็นพิเศษ วิ่งมาอย่างกระโดกกระเดก
“อาจารย์หลิน นี่คือลูกคนเล็กของข้าซาลาเปา ทางโน้นที่หลบอยู่ไม่กล้าออกมา ชื่อว่าเกี๊ยวน้อย” หนานหว่านเยียนอุ้มซาลาเปาขึ้นมา พูดกับหลินอวี้เฟิงอย่างยิ้มแย้ม
ซาลาเปายื่นมือไปที่เขาอย่างยิ้มหวาน “สวัสดีอาจารย์หลิน!”
หลินอวี้เฟิงดูค่อนข้างระมัดระวังตัว เขาก้มตัวพูดกับหนานหว่านเยียน “พระชายา ข้าน้อยไม่กล้าเรียกชื่อเล่นของคุณหนูน้อยโดยตรง หวังว่าพระชายาจะบอกชื่อจริงของคุณหนูน้อย”
หนานหว่านเยียนทำเสียงลิ้นแตะเพดาน “พี่สาวหนานจือ น้องสาวหนานเสี่ยว”
หลินอวี้เฟิงยิ้มอย่างอ่อนโยน พูดกับซาลาเปาว่า “ฝนตกทั้งคืนและรุ่งสางเพิ่งตกทางทิศตะวันออก กวีออกไป และเขามองเห็นภูเขาที่ต่อเนื่องกันบนท้องฟ้าอย่างคลุมเครือ”
ซาลาเปาตาเป็นประกาย “ทันใดนั้นเขาก็พบว่ามีภูเขาลูกหนึ่งโผล่ขึ้นมา เมื่อเทียบกันแล้ว เขาจึงรู้ว่าภูเขาที่เคลื่อนไหวไม่ได้นั้นเป็นภูเขาที่แท้จริง”
หนานหว่านเยียนประหลาดใจ เจ้าตัวน้อยแอบไปเรียนกลอนใหม่ลับหลังนางตั้งแต่เมื่อไหร่?
หลินอวี้เฟิงสายตาเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ แต่รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งชัดเจน
“ดูแล้วปกติพระชายาไม่ได้ละเลยในการสั่งสอนคุณหนูหนานจือเลย ข้าน้อยนับถือ”
หนานหว่านเยียนเกาหัวหัวเราะอย่างเก้อเขิน พูดความจริง นางก็ไม่รู้ ล้วนเป็นซาลาเปาเองที่มีพรสวรรค์และรักในสิ่งเหล่านี้ เรียนรู้เอง
เกี๊ยวน้อยที่แอบยืนมองอยู่ที่ไม่ไกลนักกลับมุ่ยปากอย่างไม่ค่อยพอใจ กระทืบเท้าอยู่เงียบๆคนเดียว
“เฮ้อ ท่านแม่สอนพวกเราก็ดีออกไม่ใช่หรือ อยู่ดีๆทำไมต้องเชิญอาจารย์มา”
หนานหว่านเยียนดูออกว่าความจริงเกี๊ยวน้อยกลัวแล้ว เรียกอย่างอดหัวเราะไม่ได้ “เกี๊ยวน้อย รีบมาเร็ว ท่านแม่สอนเจ้าอย่างไร? เห็นแขกแล้วก็ทักทาย”
เกี๊ยวน้อยวิ่งมาอย่างไม่ค่อยพอใจ หลบหน้าหลบตา “สวัสดีอาจารย์หลิน”
หลินอวี้เฟิงไม่เพียงไม่โกรธ ดวงตากลับมีรอยยิ้ม ในเมื่อน้องสาวยังฉลาดขนาดนี้ พี่สาวก็คงใช่กระมัง?
คิดไป เขาก้มตัวพูดกับเกี๊ยวน้อย “ช่วงเวลาดีๆ ของดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิและพระจันทร์ในฤดูใบไม้ร่วงจะจบลงเมื่อไหร่?คุณจำเรื่องราวในอดีตได้มากแค่ไหน?”
เกี๊ยวน้อยเงยหน้าทันที สภาพเหมือนดั่งมั่นใจเต็มที่ “ข้อนี้ข้ารู้!”
แย่แล้ว!
หนานหว่านเยียนและซาลาเปาต่างก็ใจกระตุก
ได้ยินเพียง เกี๊ยวน้อยส่ายหัวไปมาอย่างมีท่าทางพูดว่า “ฤดูหนาวมีเนื้อฤดูใบไม้ผลิมีเกี๊ยว ล้วนกินอิ่มทุกมื้อ!”
คำพูดนี้ออกไป คนรอบข้างต่างก็อยู่ในสภาพ “ตะลึงแม้เจ้าไปทั้งปี” แม้กระทั่งหลินอวี้เฟิงก็สีหน้าเกร็งทื่อขึ้นมา…….
บทที่ 114 แสงเทียนห้องหอ
บทที่ 116 นางจะป้อนลูกกลอนพูดความจริงให้กับดอกบัวขาวน้อย