ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 118 พี่น้องร่วมเป็นร่วมตายกับข้า
เสื้อผ้าผู้ชายร่ายรำฉับไว ท่าทางดุจเมฆดั่งน้ำไหล ฝ่ามือที่ข้อมือชัดเจนใช้แรงจับไว้ เพียงแค่เสี้ยววินาที หนานหว่านเยียนเสมือนรู้สึกได้ถึงกู้โม่หานตรงหน้าไม่เหมือนปกติ
มีเสน่ห์ที่แข็งแกร่งและความเป็นผู้ชายที่น่าดึงดูด?
เหี้ย!
แต่ว่าแรงของเขามากเกินไปไหม คือจะหักเอวของนางหรือ?!
คิดไปแล้ว นางก็รู้สึกว่าเสียงลมกระโชก ฝุ่นพัดผ่านใบหน้าอันเรียบเนียนของนาง
น้ำเสียงอันเคร่งขรึมของกู้โม่หานดังอยู่ข้างหูนาง “อย่าขยับ นิสัยข้าไม่ดี”
พูดไป มือนองเขาก็กอดเอวของนางไว้แน่น อีกข้างหนึ่งก็ดึงเชือก ปกป้องหนานหว่านเยียนไว้ในอ้อมกอด มองทางข้างหน้าอย่างแน่วแน่
หนานหว่านเยียนเอียงคอเห็นสายตาอันเย็นเยือกดุจน้ำแข็งอันร้อนรนของกู้โม่หาน หน้าใบนั้นที่เคล้าโครงชัดเจน แสงอาทิตย์ดุจไฟปกคลุมอยู่รอบตัวกู้โม่หาน เสมือนเคลือบทองไปหนึ่งชั้น เหมือนดั่งเทพสงครามที่ไม่เคยพ่ายแพ้
ช่างดูมีท่ามีทางเหมือนกัน หนานหว่านเยียนคิดเช่นนี้
แต่ว่าผู้ชายคนนี้ไม่จำเป็นต้องวางมือไว้ข้างบนขนาดนี้ก็ได้มั้ง?
ใกล้จะโดนหน้าอกของนางแล้ว!
หนานหว่านเยียนมองกู้โม่หานอย่างโมโห หารู้ไม่ว่าตอนนี้นางหน้าแดงจนใกล้จะหยดเลือดแล้ว
ช่างเถอะ นี่มันอยู่บนม้า หากทำให้กู้โม่หานไม่พอใจโยนนางลงจากม้า นั่นมันช่างได้ไม่คุ้มเสีย นางทน!
แต่จากนั้น นางขมวดคิ้วเปิดปาก
“ให้ข้าไปช่วยคน สถานการณ์จริงมันบาดเจ็บอะไร เจ็บหนักแค่ไหน เจ้าไม่ควรบอกข้าให้ข้าเตรียมตัวก่อน?”
กู้โม่หานเคร่งขรึม “ข้าไม่รู้สถานการณ์จริง รู้แค่มีคนเจ็บหนักสุดสามคน สองคนประมาณยี่สิบกว่า อีกคนผู้ชายสี่สิบ”
ไม่รู้ว่าบาดเจ็บยังไงยังร้อนรนขนาดนี้?
ดูแล้วกู้โม่หานใส่ใจคนพวกนี้มาก
ดังนั้นนางก็ถามอีก “ความสัมพันธ์อะไรกับเจ้า? เจ้าถึงได้เป็นห่วงขนาดนี้?”
ต้องรู้ว่า นอกจากดอกบัวขาวน้อยหยุนอี่ว์โหรวคนนั้นแล้ว กู้โม่หานไม่เห็นเป็นห่วงขนาดนี้มาก่อน
สายตาของกู้โม่หานกำเริบโหดเหี้ยม ปวดใจอย่างที่สุด
“พวกเขา ล้วนเป็นพี่น้องที่ร่วมเป็นร่วมตายกับข้า…….”
ได้ยิน หัวใจของหนานหว่านเยียนก็อดสั่นไม่ได้
ลำพังฟังน้ำเสียง นางก็สามารถรู้สึกได้ถึงความเป็นห่วงที่กู้โม่หานมีต่อเหล่าทหาร
กู้โม่หานรักทหารดั่งลูก การตอบสนองเมื่อพูดถึงค่ายทหารก็หนักแน่นอย่างมาก จัดการเรื่องได้อย่างเป็นหลักเป็นผล อย่างน้อยจุดแรกคิดได้ว่าพานางช่วยคน ก็ฉลาดมาก
ไม่เหมือนตอนอยู่ในจวนอ๋องสักนิด ตอนที่ตาบอดปกป้องหยุนอี่ว์โหรว สภาพโง่เขลาไร้สมอง
คิดไปแล้ว หนานหว่านเยียนก็ตอบรับเสียงเบา “รู้แล้ว”
นางก็เริ่มคาดการณ์สถานการณ์แย่ที่สุด ในเมื่อเป็นการบาดเจ็บในค่ายทหาร มีดกระบี่ไร้สายตา ไม่รู้ว่าพวกทหารเหล่านั้น จะเจ็บสาหัสขนาดไหน…….
ม้าวิ่งเร็วตลอดทาง
ไม่นาน พวกเขาก็มาถึงหน้าประตูค่ายทหาร
นี่เป็นครั้งแรกที่หนานหว่านเยียนเห็นค่ายทหารจริงๆ คิดไม่ถึงว่าใหญ่โตอลังการกว่าที่คิด แต่ว่าอาวุธอันเย็นเยือกและเหล่าทหารที่สีหน้าเฉียบคมที่มองเห็นทุกทิศทำให้นางอดตัวสั่นไม่ได้
นี่ก็คือทหารที่เคยเห็นสนามรบมาแล้วหรือ สิ่งที่อยู่ในสายตาเห็นได้ชัดว่าไม่เหมือนคนทั่วไป
แต่ยังไม่รอให้หนานหว่านเยียนดูต่อ กู้โม่หานก็พลิกตัวลงม้า จากนั้นก็จับเอวของนางอุ้มนางลงมา
หน้าของหนานหว่านเยียนก็แดงขึ้นอีกทันที “ขอบใจ”
กู้โม่หานไม่ได้พูด ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างเร็ว พูดสั่งต่อนายทหารอีกคน “ไปเอาหีบยา ให้นาง”
เขาหมุนตัวชี้ไปที่หนานหว่านเยียน
ทหารน้อยมองดูหนานหว่านเยียน มองจนตาค้างแล้ว
นางช่างเหมือนดั่งดอกพลับพลึงที่เบิกบานอยู่เหวแห่งความตาย งามดั่งหาที่เปรียบไม่ได้
คนนี้คือใคร? ท่านอ๋องไม่เคยพาหญิงสาวมาค่ายทหารเลย
ทหารน้องรับคำสั่ง รีบไปเอาหีบยาโดยเต็มไปด้วยความสงสัย
กู้โม่หานเดินเร็วเกินไป หนานหว่านเยียนต้องวิ่ง ถึงไล่ตามกู้โม่หานทัน
นางพบอย่างแปลกใจว่าจุดที่กู้โม่หานไปถึง ทุกคนล้วนเคร่งขรึมกลั้นหายใจ ประกายความเคารพและนับถือจากภายในสู่ภายนอก
เหล่าทหารคำนับต่อกู้โม่หานพร้อมกัน “คำนับท่านอ๋อง!”
สภาพนั้นก็เสมือนกู้โม่หานเป็นเทพในดวงใจของพวกเขา
สูงใหญ่และไม่เคยรบแพ้
หนานหว่านเยียนขมวดคิ้วสูง คิดไม่ถึงว่าบารมีของกู้โม่หานในค่ายทหารจะสูงส่งขนาดนี้
แม่แต่นางยังไม่รู้ สำหรับฐานะเทพสงครามของกู้โม่หาน นางมีความรู้สึกที่เหมือนเดิมบ้างแล้ว
กู้โม่หานพูดด้วยสีหน้าเย็นชา “อย่ามองไปเลื่อย”
เขาสง่าผ่าเผยทั้งกาย กล้ามเนื้อภายใต้เสื้อผ้ายิ่งแน่นหนามีเสน่ห์ขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด ราศีความเป็นราชาอันธรรมชาตินั้นทำให้คนไม่อาจต้านทานได้
“ออ” หนานหว่านเยียนเก็บสายตากลับมา เดินตามอย่างเชื่อฟัง
ที่นี่เป็นค่ายทหารของกู้โม่หาน นางอย่าทำอะไรบุ่มบ่ามดีกว่า ไม่งั้นเดี๋ยวเห็นดี
แต่ว่า หนานหว่านเยียนไม่รู้ อีกไม่นานนางก็จะยึดครองค่ายทหารของเขา มีแฟนคลับเป็นกอง ใครก็ไม่อาจทำร้ายนางได้
ในที่สุด ก็มาถึงสนามฝึกซ้อม ทหารมากมายต่างก็บาดเจ็บ ตอนนี้นั่งอยู่กับที่ช่วยกันทำแผลอย่างง่ายๆ
กู้โม่หานเห็นสถานการณ์แล้วก็สีหน้ามืดครึ้ม ถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาที่สุด “หลาวเสิ่นล่ะ?”
ทหารคนหนึ่งบนตัวยังเปื้อนเลือด ไม่กล้าล่าช้าแม้แต่น้อย ก้มคำนับไปทางกู้โม่หาน
“เรียนท่านอ๋อง รองแม่ทัพเสิ่นกับพี่น้องอีกสองคนล้วนอยู่ในกระโจมของหมอกองทัพ เพิ่งตื่นมาเมื่อครู่ ตอนนี้รองแม่ทัพกวนกำลังเฝ้าพวกเขาสามคนอยู่”
หนานหว่านเยียนขมวดคิ้ว นี่มันบาดเจ็บสาหัสแค่ไหน?
ทหารเหล่านี้ฝึกซ้อมขึ้นมา ไม่เอาชีวิตขนาดนี้เลยหรือ?
ทหารเงยหน้ามองเห็นหนานหว่านเยียนที่ดึงดูดหัวใจ ขมวดคิ้วแน่น ถามกู้โม่หาน “ท่านอ๋อง ท่านนี้คือ…….”
กู้โม่หานสีหน้าเย็นชา เพิ่งพบว่าวันนี้หนานหว่านเยียนแต่งกายงามหยาดเยิ้ม กระโปรงยาวลากพื้น ขมวดคิ้วแน่นอย่างไม่ค่อยพอใจ
“หนานหว่านเยียน มาช่วยคน”
“พาข้าไปที่หมอกองทัพ!” พูดไป เขาก็สะบัดแขนเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง
หนานหว่านเยียนเดินตามอยู่ข้างหลัง ข้างกายยังมีทหารที่บาดเจ็บคนนั้น
ทหารคอยสังเกตหนานหว่านเยียนไม่หยุด เขาเคยได้ยินข่าวว่าพระชายาเปลี่ยนไปสวยขึ้นแล้ว คิดไม่ถึงว่าได้เห็นวันนี้ ไม่เพียงแค่สวย มันช่างน่าตะลึง!
แต่เขาก็คิดอย่างละเอียดอีกที
สภาพหนานหว่านเยียนที่ดูอ่อนแอแบบนี้ แค่ดูก็เป็นคุณหนูลูกผู้ดีที่มือไม่เคยเตะน้ำเย็นเลย สามารถช่วยเหลือเหล่าผู้ชายทั้งกลุ่มในค่ายทหารดูอาการป่วยรักษาได้หรือ?
หนานหว่านเยียนมองความสงสัยของเขาออก เปิดปากพูดว่า “เจ้าถูกกระบี่ทำให้ซี่โครงบาดเจ็บใช่ไหม? บาดแผลไม่ลึก เดี๋ยวข้าช่วยเจ้าทายา”
ทหารดวงตาสะเทือน ทั้งๆที่เขาจัดการบาดแผลแล้ว เพียงแค่บนเสื้อยังเปื้อนเสื้อ พระชายากลับรู้เพียงเพราะจุดนี้”
แต่ว่าไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่เชื่อ ฉีดยาป้องกันให้หนานหว่านเยียนก่อน
“พระชายา ข้าน้อยต้องของเตือนท่านก่อน เดี๋ยวสิ่งที่ท่านจะได้เห็นในกระโจม ไม่ใช่อาการป่วยทั่วไป สถานการณ์เลือดสาดเนื้อฉีกขาด น่ากลัว ยังหวังว่าท่านจะเตรียมใจไว้ให้ดี”
กู้โม่หานได้ยิน มือก็กำหมัดไว้แน่นกว่าเดิม หัวใจก็บีบแน่นตามมา
หนานหว่านเยียนกลับพูดอย่างเรียบเฉย “ไม่เป็นไร”
จะมีคลื่นลมพายุอะไรที่นางไม่เคยเห็น?
ทหารเห็นหนานหว่านเยียนสีหน้าเรียบเฉย ในใจก็อดกังวลไม่ได้ พระชายายังคงอายุน้อยเกินไป เหล่าพี่น้องเหล่านี้ที่ต่อสู้นองเลือดบนสนามรบเมื่อเอาจริงขึ้นมา ไม่ใช่เล่นๆ
วินาทีที่ผ้าม่านถูกเปิดออก ร่างกายของหนานหว่านเยียนสะเทือนอย่างแรง
อะไร นางก็เก็บคำพูดเมื่อครู่คืน สถานการณ์อนาถแทบดูไม่ได้ นางไม่เคยเห็นมาก่อน…….