ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 126 พิสูจน์ความเป็นพ่อ
นี่มันเป็นไปได้อย่างไร? !
“เสด็จพ่อ ลูกพูดความจริง ลูกมิกล้าโกหกหรือล้อเล่นกับเรื่องเช่นนี้” แววตาของกู้โม่หานเต็มไปด้วยความเยือกเย็น น้ำเสียงเผยให้เห็นถึงความดูถูก “และลูกยังจำได้ว่า เสด็จพี่เคยเดิมพันกับหนานหว่านเยียนไว้ หากนางสามารถช่วยพวกของเหล่าเสิ่นกลับมาได้ เสด็จพี่จะคุกเข่าและยอมรับความผิดต่อหน้าเหล่าทหาร คำพูดนี้ ทุกคนซึ่งอยู่ที่นั่นต่างได้ยิน! และบัดนี้เสด็จพี่มิควรปฏิบัติตามที่เขาตรัสไว้งั้นหรือ!”
กู้โม่เฟิงแทบจะกระอักเลือดออกมา เขาโกรธจนเจ็บปวดไปทั้งหัวใจ
กู้โม่หานเองก็ดี หนานหว่านเยียนเองก็ดี เหตุใดทุกคนในจวนอ๋องอี้ถึงได้บัดซบเช่นนี้!
ขวางทาง ขวางหูขวางตา ช่างน่ารังเกียจเสียจริง!
กู้จิ่งซานเฝ้ามองการโต้เถียงของสองพี่น้อง ใบหน้าตึงเครียดตั้งแต่เริ่มแรกจนถึงบัดนี้ หน้ามืดเหมือนน้ำนิ่ง
“เจ้าสาม เจ้าจะอธิบายออกมาเยี่ยงไร!”
กู้โม่เฟิงมิได้เผชิญหน้ากับกู้โม่หาน ก้มศีรษะพร้อมกล่าวว่า “เสด็จพ่อ ลูกยังยืนยันคำเดิมว่าลูกมิเคยก่อปัญหา ลูกเองก็มิรู้เหมือนกันว่ารองแม่ทัพอวี๋ผู้นั้นจะลงมือได้โหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ เสด็จพ่อได้โปรดตรวจสอบให้ชัดเจน!”
……
ในค่ายเสินเชื่อ หนานหว่านเยียนตื่นขึ้นมาพร้อมกับดวงตาอันมัวหมอง บัดนี้ดวงเดือนได้ลอยขึ้นมาบดบังดวงดาว ทางช้างเผือกร่องรอยบนฟ้าสูง หนานหว่านเยียนรู้สึกว่าตนเองหลับใหลมากว่าหนึ่งศตวรรษ
ร่างกายและเปลือกตาหนักอึ้ง นายทหารผู้หนึ่งเปิดม่านและเดินเข้ามากระโจม เห็นหนานหว่านเยียนกำลังลงจากเตียง เขารีบเข้าไปพร้อมกล่าวออกมาด้วยความเคารพ “พระราชา ท่านทรงฟื้นแล้ว”
หนานหว่านเยียนกล่าวออกไปด้วยความประหลาดใจ “นี่ข้า……”
บัดนี้นายทหารผู้นั้นเคารพและยำเกรงหนานหว่านเยียน
“กราบทูลพระชายา ท่านเป็นลมจากการทรงงานหนักเกินไป ท่านอ๋องพาท่านมายังจวนของแม่ทัพใหญ่ และสั่งให้เหล่าข้ารับใช้ดูแลท่านเป็นอย่างดี”
กู้โม่หานสั่งให้คนมาดูแลรับใช้นาง? !
ราวกับถูกสายฟ้าฟาด ท่าทางของหนานหว่านเยียนเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
หนานหว่านเยียนรับรู้ถึงความผิดชอบชั่วดีได้อย่างฉับพลันหรืออย่างไร ถึงได้ดีกับนางถึงขนาดนี้? !
และ ณ บัดนั้น ท้องของหนานหว่านเยียนก็มีเสียงดังขึ้นอย่างกะทันหัน “โครก คราก”
หนานหว่านเยียนรู้สึกเขินขายขึ้นมาทันที นางมิมีเรี่ยวแรงมากพอที่จะคิดถึงความผิดปกติของกู้โม่หาน
นายทหารผู้นั้นเข้าใจในทันที เขาเรียกสั่งให้คนนำอาหารร้อนมาให้
“พระชายา โปรดท่านอย่าได้รังเกียจ เหล่าพี่น้องในกองทัพทหารล้วนเป็นคนหยาบกร้าน อาหารที่ทานอยู่ทุกวันจึงเรียบง่ายเป็นอย่างมาก”
หนานหว่านเยียนลูบศีรษะของนางด้วยความเขินอาย “มิเป็นไร มิเป็นไร! มีให้ทานก็ดีมากแล้ว!”
ในเวลาเช่นนี้ อาหารเป็นสิ่งสำคัญ ใครจะไปเลือกมาก!
ขณะพูดออกมา นางก็ทานอาหารซึ่งอยู่ด้านหน้าราวกับเสือหิว หลังอิ่มแล้วก็ต้องกลับไปกล่อมเหล่าเด็ก ๆ ให้หลับนอน!
นายทหารผู้นั้นตกใจจนดวงตาแทบจะหล่นลงมาบนพื้น คิดไม่ถึงว่าพระชายาจะอยากอาหารถึงขนาดนี้……กล้าหาญเหลือเกิน!
ช่างเป็นสตรีที่ยอดเยี่ยม!
หลังจากหนานหว่านเยียนกลืนเนื้อชิ้นสุดท้าย นางลูบท้องของนางอย่างพึงพอใจ ถามนายทหารท่านนั้นออกมาว่า “ใช่แล้ว เสิ่นจวินเป็นอย่างไรบ้าง? ฟื้นแล้วหรือยัง?”
นายทหารตอบกลับด้วยความเคารพ “รองแม่ทัพเสิ่นฟื้นขึ้นมาเมื่อเช้าแล้วครั้งหนึ่ง หมอทหารต้มยาให้รองแม่ทัพเสิ่นทางตามตำรับยาของท่าน รองแม่ทัพเสิ่นทานยาและบัดนี้กำลังพักผ่อน”
“ตื่นขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่งก็เพียงพอ หมอทหารของเจ้าเองก็เก่งกาจมิเบา” หนานหว่านเยียนกล่าวออกมา พยักหน้าด้วยความสบายใจ
ทันใดนั้นมีความวุ่นวายเกิดขึ้นนอกกระโจม หนานหว่านเยียนขมวดคิ้ว “ด้านนอกมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นงั้นหรือ?”
คนป่วยต้องการพักฟื้นอย่างสงบ สภาวะแวดล้อมที่เต็มไปด้วยสิ่งรบกวนส่งผลต่อการฟื้นฟู
นายทหารรีบเอ่ยออกมาว่า “รองแม่ทัพเสิ่นมีบุตรชายอยู่คนหนึ่ง แต่พวกเขาต้องแยกจากกันในช่วงภัยพิบัติความแห้งแล้งเมื่อสามปีก่อน ความปรารถนาสูงสุดในชีวิตนี้ของเขาคือการได้พบกับลูกชาย ท่านอ๋องจึงช่วยเขาตามหา”
ขณะกล่าวออกมา นายทหารก็อดมิได้ที่จะเมินหน้าหนี “รองแม่ทัพเสิ่นเข้ามาอยู่ในค่ายเสินเชื่อตั้งแต่อายุยังน้อย เขาอุทิศตนเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม เช่นนั้นเขาถึงสามารถสร้างโอกาสในการตามหาลูกชายของเขาได้มากขึ้น”
หนานหว่านเยียนถอนหายใจด้วยความเศร้าโศก
สะอื้นออกมาเล็กน้อย
คิดไม่ถึงว่าเบื้องหลังของเสิ่นจวินจะมีเรื่องราวเช่นนี้อยู่
“งั้นหาเจอแล้วหรือยัง?”
นายทหารถอนหายใจ “ท่านอ๋องสั่งให้รองแม่ทัพกวนพากำลังออกไปตามหา แต่กลับมีเด็กหนุ่มจำนวนมากอ้างว่าตนเองเป็นลูกของรองแม่ทัพสิ่น บัดนี้เหลือเพียงสามนายที่มีลักษณะรูปร่างคล้ายกับรองแม่ทัพเสิ่น แต่นอกจากลักษณะภายนอกก็มิมีสิ่งใดสามารถพิสูจน์ได้เลยว่านั่นคือลูกชายของเขา”
“แต่ท่านอ๋องตรัสไว้ว่า รอท่านกลับมา หลังจากรองแม่ทัพเสิ่นฟื้น เขาจะเปรียบเทียบสถานการณ์ใหม่อีกครั้ง
หนานหว่านเยียนเลิกคิ้ว คิดไม่ถึงเลยว่ากู้โม่หานจะเป็นห่วงเหล่าพี่น้องทหารของเขาถึงขนาดนี้ หลังจากนั้นนางขมวดคิ้วขึ้น “กู้โม่หานมิอยู่งั้นหรือ?”
นายทหารเกาศีรษะ “อ๋องเฉิงเข้าไปในพระราชวังและพูดจาให้ท่านอ๋องเสียหาย ท่านอ๋องจึงถูกฮ่องเต้เรียกตัวเข้าไปในพระราชวัง ผ่านไปพักหนึ่งก็ยังมิกลับมา”
เจ้าสุนัขกู้โม่เฟิง!
กล้าดียังไงถึงได้มากล่าวหาผู้อื่น?
หนานหว่านเยียนรู้สึกว่าคนอย่างกู้โม่เฟิงมิสมควรกับตำแหน่งแม่ทัพ
เขามิสนใจความเป็นความตายของเหล่าทหารเลยแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม นางได้แค่คิดเท่านั้น นางกับกู้โม่เฟิงมิได้มีความแค้นอะไรต่อกัน เขามิมีทางมุ่งเป้ามาที่นาง ทั้งหมดเป็นเพียงการประณามจากศีลธรรม
“บนร่างของลูกชายรองแม่ทัพเสิ่นมีตำหนิอะไรหรือไม่? พวกเจ้ารู้หรือเปล่า?”
“ข้าจำได้ว่ารองแม่ทัพเสิ่นเคยกล่าวไว้ว่าลูกชายของเขามีปานสีแดงตรงโคนนิ้วหัวแม่มือหนึ่งเม็ด สิ่งนั้นน่าจะเป็นตำหนิมาโดยกำเนิด”
หลังจากได้ยินเช่นนั้น ความกังวลของหนานหว่านเยียนหายไป มันถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้ม “ปานหนึ่งเม็ด เช่นนั้นมิแปลว่าสามารถใช้เป็นเครื่องพิสูจน์ได้หรอกหรือ?”
“ผ่านไปหลายสิบปีแล้ว ปานอาจจะมีขนาดใหญ่ขึ้น อาจจะเปลี่ยนตำแหน่ง หรือไม่ก็หายไป บางครั้งสีของปานอาจจะเปลี่ยน แค่สิ่งนี้มิสามารถพิสูจน์ได้อย่างแน่ชัด”
แต่ในสมัยโบราณก็มีวิธีพิสูจน์อยู่มากมาย
หนานหว่านเยียนส่ายหน้า “เจ้าพาข้าไปหาเสิ่นจวิน ข้ามีวิธีอยู่”
นายทหารกล่าวออกมาด้วยความเหลือเชื่อ “พระชายา ท่านมีวิธีอย่างนั้นหรือ? หรือว่าเป็นการทำนาย?”
หนานหว่านเยียนรู้สึกเวียนศีรษะ นางคิดและตอบกลับมาทันที “มิใช่การทำนาย แต่เป็นสิ่งซึ่งเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ มิเป็นไรหรอก เจ้าพาข้าไปเถอะ”
นายทหารรีบนำทางหนานหว่านเยียนไปยังกระโจมของเสิ่นจวินทันที
เสิ่นจวินฟื้นขึ้นมาแล้ว และเขาก็ได้รับรู้ข่าวสารจากรองแม่ทัพกวนว่ากู้โม่หานกำลังช่วยเขาตามหาลูกชายซึ่งหายไปในปีนั้น น้ำตาของเขาไหลออกมาด้วยความตื้นตัน
เห็นหนานหว่านเยียนเดินเข้ามา ราวกับเสิ่นจวินได้เห็นพระโพธิสัตว์มาโปรด เขารีบลุกขึ้นมาทันใด “พระชายาเสด็จมา ข้าขอขอบพระทัยยิ่งนัก……”
“เจ้านอนพักผ่อนไปเถิด ตอนนี้เจ้ายังเจ้ายังมิควรเคลื่อนไหว” หนานหว่านเยียนพยุงเขานอนลงไป
บาดแผลของเสิ่นจวินได้รับการกระทบกระเทือน ทำให้เขากัดริมฝีปากแน่น
เขามิรู้ว่าจะอธิบายความรู้สึกนี้ออกมาอย่างไร คนหนึ่งต้องช่วยตามหาลูกชายที่หายไปของเขา อีกคนหนึ่งเป็นผู้มีพระคุณกับตนเอง ความรู้สึกนี้มันช่างเปี่ยมล้นจนมิสามารถพูดออกมาได้
หนานหว่านเยียนเห็นใบหน้าซึ่งเต็มไปด้วยความรู้สึกของเสิ่นจวิน แววตาของเขาเผยให้เห็นถึงความอ่อนโยนแล้วความรักของผู้เป็นพ่อ
เช่นเดียวกับหนานหว่านเยียนซึ่งเป็นคน มันทำให้หัวใจของนางอ่อนลง “ข้ารู้แล้วว่าเจ้ากำลังตามหาลูกชายของเจ้าอยู่ ตอนนี้มีเด็กผู้ชายสองสามคนที่ยังอยู่ในเงื่อนไข ข้าสามารถทำให้เจ้าแน่ใจได้ว่าเด็กคนไหนคือลูกชายตัวจริงของเจ้า แต่จำเป็นต้องรวบรวมบางอย่าง เจ้าอ้าปากขึ้น”
การตรวจดีเอ็นเอเป็นวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพที่สุดในการระบุความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูก แม้จะใช้เวลานาน แต่นางก็ทนมิได้ที่ต้องเห็นทั้งสองคนแยกจากกัน
หลังจากพูดจบ นางหยิบแถบทดสอบและสำลีก้านออกมาจากแขนเสื้อของนาง แสดงท่าทีแปลกประหลาดเพื่อให้เสิ่นจวินอ้าปากขึ้น
ณ เวลานี้หนานหว่านเยียนได้ลืมไปแล้ว……
เหล่าเสิ่นมีความปรารถนาที่จะพาลูกชายของเขากลับมาเป็นอย่างมาก กู้โม่หานเองก็อยากเอาลูกชายของเขากลับคืนมาเช่นกัน เส้นทางที่นางกำลังเดินอยู่มันเป็นการสร้างปัญหาให้กับตนเองอย่างแท้จริง……