ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 190 ยอมรับบรรพบุรุษ หวนกลับคืนสู่ต้นตระกูล
เกือบจะในเวลาเดียวกันกับที่กู้โม่หานมาถึงเรือนหลัง ที่เรือนหน้า เซียงอวี้ก็ตัดสินใจเปิดประตูภายใต้แรงกดดันอันมหาศาลที่กดทับในใจแล้ว
“พระชายา..……”
ไม่รอให้นางพูดจบ หนานหว่านเยียนก็พุ่งทะยานออกมาดั่งลูกธนูที่หลุดจากแล่ง วิ่งตรงดิ่งไปที่เรือนหลังด้วยสีหน้าซีดเผือด “กู้โม่หาน—เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
พวกลูกสาวของนาง จะต้องไม่เกิดเรื่องร้ายใด ๆ ทั้งนั้น!
เซี่ยงอวี้ก็รีบวิ่งตามหลังไปด้วยความร้อนรุ่มใจไม่ต่างกัน นางรู้ดีว่าหนานหว่านเยียนมองว่าคุณหนูทั้งสองสำคัญดั่งชีวิต หากว่าครั้งนี้ท่านอ๋องสร้างเรื่องเดือดร้อนอะไรให้กับพวกนางจริง ๆ น่ากลัวว่าเรือนเซียงหลินวันนี้ คงได้เกิดความโกลาหลดุจดั่งมรสุมลูกใหญ่พัดกระหน่ำขึ้นมาแน่ ๆ!
รอจนหนานหว่านเยียนวิ่งมาถึงเรือนหลัง บังเอิญเห็นว่ากู้โม่หานกำลังอุ้มสองหนูน้อยอยู่ ส่วนปากก็พึมพำเหมือนกำลังพูดอะไรบางอย่าง
“กู้โม่หาน เจ้าปล่อยพวกนางเดี๋ยวนี้นะ!” หนานหว่านเยียนตะโกนด้วยความโกรธเกรี้ยว
นางไม่พูดพร่ำทำเพลงก็พุ่งไปข้างหน้า แย่งตัวหนูน้อยทั้งสองที่ยังมึนงงไม่หายออกจากอ้อมแขนของกู้โม่หาน ก่อนจะถามไถ่พวกนางด้วยความกังวล
“ได้รับบาดเจ็บหรือไม่? นี่เขารังแกพวกเจ้าใช่หรือไม่?”
เมื่อเห็นว่าริมฝีปากของซาลาเปาน้อยมีรอยปริแตก นางก็โกรธจนโทสะพวยพุ่ง หากดวงตาสามารถฆ่าคนได้ หนานหว่านเยียนคงใช้มันสับกู้โม่หานจนเละเป็นพัน ๆ เป็นหมื่น ๆ ชิ้นไปแล้ว
“กู้ โม่ หาน! นี่เจ้าถึงกับทำร้ายลูกสาวของข้าอย่างนั้นรึ! ไอ้ผู้ชายสารเลว!”
ตอนนี้เองที่เกี๊ยวน้อยกับซาลาเปาน้อยค่อยกลับมารู้สึกตัวในที่สุด อ้อมกอดของกู้โม่หานเมื่อครู่ทำให้พวกนางมึนงงไปเล็กน้อย แต่แล้วแค่นั้นจะนับเป็นอะไรได้ล่ะ?
เรื่องที่เขารังแกท่านแม่เป็นความจริงที่เถียงยังไงก็ไม่ขึ้น ไม่ว่าเขาจะพยายามเอาใจพวกนางมากแค่ไหน ก็ไม่ควรให้อภัยง่าย ๆ!
เมื่อสองพี่น้องกลับมารู้สึกตัว เห็นว่าหนานหว่านเยียนคว้าหม้อขึ้นมาหมายจะตีคน จึงรีบหยุดนางไว้ “ท่านแม่ เขาไม่ได้รังแกพวกเราเจ้าค่ะ!”
ซาลาเปาน้อยพยักหน้า ก่อนจะชี้ไปที่ริมฝีปากของตัวเอง
“แผลนี้เป็นเพราะเมื่อครู่ข้าล้มปากไปโขกโดนเอง ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาเจ้าค่ะ”
พวกนางแบ่งแยกดีชั่วชัดเจนเสมอ ไม่มีทางที่จะพูดโกหก
โทสะของหนานหว่านเยียนค่อยลดลงมาบ้าง แต่หว่างคิ้วกับดวงตายังดูอึมครึมไม่หาย
นางมองไปที่กู้โม่หาน เขาดูเหมือนยังมึนงงอยู่เล็กน้อย เอาแต่จ้องมองไปที่ฝ่ามือของตัวเอง ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังมองอะไรอยู่
แต่ในเมื่อตอนนี้ลูก ๆ ของนางล้วนไม่ได้เป็นอะไร นางจึงจะพาแม่หนูน้อยทั้งสองกลับเรือน
แต่นางเพิ่งจะหันหลังไป จู่ ๆ กู้โม่หานก็คว้ามือของนางไว้ทันที ออกแรงรั้งตัวของนางไว้อย่างแรง “หนานหว่านเยียน!”
ลมปราณเย็นเยียบและมืดมนไหลเวียนไปทั่วร่างของเขาอย่างบ้าคลั่ง สองตาเป็นสีแดงก่ำ “หนานหว่านเยียน บอกข้ามาเดี๋ยวนี้ ว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
ทำไมกระดาษทดสอบจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนสี? กระดาษใกล้จะอ่อนยุ่ยไปหมดแล้วนะ!
หนานหว่านเยียนไม่รู้ว่าเขากำลังถามถึงอะไร ยังคิดไปว่าเขาอยากจะล้างแค้นให้หยุนอี่ว์โหรว จึงเลิกคิ้วใส่อย่างเย็นชา
“ปล่อยมือข้าเดี๋ยวนี้นะ! กู้โม่หาน อยู่ต่อหน้าเด็ก ๆ หัดทำตัวให้สมกับเป็นคนหน่อยได้ไหม? ผู้หญิงจอมมารยาสาไถยอย่างหยุนอี่ว์โหรวนั่น ข้าเห็นท่าทางสำออยถนิมสร้อยของนางแล้วมันขัดนัยน์ตา เจ้ามีปัญหาอะไรก็มาลงกับข้านี่!”
จิตใจของกู้โม่หานจมดิ่ง ประกายเย็นเยียบผุดวาบผ่านดวงตาอึมครึมของเขา
“ข้าไม่เคยคิดเล็กคิดน้อยอะไรกับพวกนาง แต่ข้ากำลังถามเจ้าว่า ทำไมกระดาษแผ่นนี้ถึงไม่เปลี่ยนเป็นสีเขียว ?!”
เห็นได้ชัดว่าความจริงอยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว แต่เจ้าสิ่งนี้กลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไรเลย กู้โม่หานรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาแบบไม่มีเหตุผล จิตใจที่สงบเยือกเย็นอยู่เสมอคล้ายจะเกิดความร้อนรนขึ้นมาบ้างแล้ว
เปลี่ยนเป็นสีเขียว?
หนานหว่านเยียนขมวดคิ้วมุ่น ตอนนี้เองที่นางมองเห็นชัดแล้วว่ากระดาษตรวจ DNA ที่ตัวเองวางไว้ในห้องถูกกางแผ่อยู่บนฝ่ามือของเขา ซึ่งก็ไม่รู้ว่าไปโดนของเหลวอะไรจนเปียกชุ่มไปกว่าครึ่ง
ที่กู้โม่หานมาที่นี่ หรืออาจมีเป้าหมายที่จะมาเก็บตัวอย่าง DNA ของสองพี่น้อง แต่ไม่ได้มาเพื่อจะทำร้ายเด็ก ๆ สินะ?
หนานหว่านเยียนถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่ก็ถูกการกระทำนี้ของกู้โม่หานทำให้โกรธจนถึงกับหัวเราะเย้ยหยันออกมาเลยทีเดียว
“กู้โม่หาน นี่เจ้าถึงกับขโมยของของข้าเลยรึ?”
อวี๋เฟิงกับเซียงอวี้แทบไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง ต่างคนต่างก็ปิดหูของแม่หนูน้อย ก่อนจะดันพวกนางออกไปอีกด้าน
เด็กน้อยทั้งสองหันมามองหน้าประสานสายตากัน ไม่ได้มีการเคลื่อนไหวอะไรมากมาย แค่เฝ้าดูอยู่เงียบ ๆ
กู้โม่หานรู้ว่าหนานหว่านเยียนต้องพูดจาถากถางเขาแน่ ต่อให้เขาต้องมีชื่อเสียงฉาวโฉ่โดนด่าลับหลัง เขาก็พร้อมจะยอมรับ ขอแค่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสองหนูน้อย จะให้เขาไปบุกน้ำลุยไฟที่ไหนเขาก็ยินดี
“ข้าก็แค่อยากรู้ภูมิหลังชาติกำเนิดของยัยหนูทั้งสองก็เท่านั้นเอง เจ้าวางของสิ่งนี้ไว้ที่นั่นอย่างโจ่งแจ้งเปิดเผย จะถือว่าเป็นการขโมยได้อย่างไรกัน?!”
“ตอบคำถามของข้ามาก่อน ว่าทำไมเจ้าของสิ่งนี้ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง?”
ดวงตาของหนานหว่านเยียนเป็นประกายวาบ พูดอย่างเย็นชาว่า: “เรื่องที่เจ้าใช้สมองคิดสักหน่อยก็รู้คำตอบแล้ว ก็ยังอุตส่าห์จะหลอกตัวเองอีกเรอะ? มันไม่เปลี่ยน ก็แสดงให้เห็นชัดเจนแล้วว่ายัยหนูทั้งสองไม่ใช่ลูกของเจ้า”
“กู้โม่หาน ถ้าเจ้าอยากมีลูกจริง ๆ ก็ไปมีกับแม่ดอกบัวขาวนั่นสักคนก็จบแล้ว อย่ามาตอแยกับลูกสาวของคนอื่นทั้งวี่ทั้งวันแบบนี้!”
กระดาษทดสอบนี่มันต้องไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ แน่นอนอยู่แล้ว มันเป็นแค่อุปกรณ์สำหรับเก็บตัวอย่างเฉย ๆ ถ้าไม่ได้เอาใส่ลงในเครื่องวิเคราะห์ที่อยู่ในช่องว่างของนาง มันจะไปมีผลลัพธ์ได้ยังไงล่ะ?
แต่กู้โม่หานกลับเสนอหน้า เอาตัวเองมาส่งให้ถึงหน้าประตูเองเลย นับว่าช่วยประหยัดเวลาให้นางได้มาก จะได้ไม่ต้องปลอมแปลงใบรับรอง DNA ตัวปลอมส่งไปให้
ร่างกายของกู้โม่หานสั่นเทิ้มอย่างรุนแรงราวกับถูกฟ้าผ่า
ใบหน้าของเขาซีดเซียว มองไปที่กระดาษในมือที่เวลานี้อ่อนปวกเปียกเปื่อยยุ่ยไปแล้ว รู้สึกรับความจริงไม่ได้ไปชั่วขณะ
“เป็นไปไม่ได้……”
เขาไม่เชื่อเด็ดขาด หนูน้อยทั้งสองจะต้องเป็นลูกของเขาแน่ๆ! ไม่ว่าจะเป็นกริยาท่าทาง รวมไปถึงนิสัยใจคอความชื่นชอบ ทุกอย่างล้วนบ่งชี้ได้ชัดเจนมากว่าพวกนางคือลูกสาวของเขากู้โม่หาน!
ตอนนี้แผ่นกระดาษไม่เป็นสีเขียว มันต้องเกิดปัญหาตรงไหนสักแห่งแน่ ๆ หรือไม่หนานหว่านเยียนก็ต้องจงใจพูดให้เขว หรือบางทีอาจมีขั้นตอนการตรวจสอบอื่นใดที่พวกเหล่าเสิ่นไม่รู้!
เขาฟื้นคืนสติกลับมาได้อย่างรวดเร็ว เงยหน้าขึ้นมองหนานหว่านเยียนด้วยแววตาคมกริบ “หนานหว่านเยียน นี่เจ้ากำลังโกหกข้าอีกแล้วใช่หรือไม่?”
หนานหว่านเยียนแค่นยิ้มเย้ยหยัน “เจ้าบอกว่าเจ้าไม่เชื่อคำพูดเพียงด้านเดียวของข้า ตอนนี้ผลการทดสอบอยู่ตรงหน้านี้แล้ว เจ้าก็ยังไม่เชื่อ แล้วข้าจะพูดอะไรได้อีกล่ะ?”
กู้โม่หานยืนขึ้นเต็มความสูง รูปร่างเขาสูงใหญ่ พอยืนก็สูงกว่าหนานหว่านเยียนไปหนึ่งช่วงหัวเต็ม ๆ ทำให้ออร่าความผึ่งผายของหนานหว่านเยียนลดฮวบลงไปเกือบครึ่ง
กู้โม่หานสืบสวนกดดันทีละขั้นตอน “ข้าไม่เชื่อ กระดาษทดสอบไม่เปลี่ยนเป็นสีเขียว แปลว่ามันต้องมีขั้นตอนอื่นใดที่พวกเหล่าเสิ่นยังไม่รู้ใช่หรือไม่?”
“ข้ายืนยันว่าจะรับพวกนางเป็นลูกแน่นอนแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกเช่นนี้ไม่มีทางผิดเพี้ยนได้แน่ หรือไม่กระดาษก็เป็นของปลอม หรือไม่ก็ต้องเป็นเจ้าที่โกหกข้า เพราะไม่อยากให้ยัยหนูทั้งสองยอมรับบรรพบุรุษ แล้วหวนกลับคืนสู่ต้นตระกูล….. ”