ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 247 เลือดข้นกว่าน้ำ
นางยกมือขึ้นตีบาดแผลบนไหล่ของกู้โม่หานอย่างแรง ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปกะทันหัน เจ็บเสียจนต้องสูดลมหายใจเข้า
กู้โม่หานดูอ่อนข้อลง ใบหน้าหล่อเหลาของเขาซีดเผือด กัดฟันกล่าวว่า “หนานหว่านเยียน นางสตรีผู้ดุร้าย!”
หนานหว่านเยียนหัวเราะเย้ยหยันขึ้น “การใจอ่อนต่อศัตรูเป็นภัยร้ายแรงที่สุดของตน”
ริมฝีปากเรียวบางของชายหนุ่มเม้มเข้าหากันแน่นและมิได้กล่าวสิ่งใดอีก
ในมิช้าทั้งสองคนก็เดินทางมาถึงค่ายเสินเชื่อ
กู้โม่หานลงจากรถม้า หนานหว่านเยียนมิรอให้เขากอดนางลงมา ก็ได้กระโดดลงจากรถม้าเพียงลำพังอย่างยากลำบาก
ดวงตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อยด้วยความมิพอใจ ขณะที่กำลังจะกล่าวบางอย่างออกมา จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงโห่ร้องดังสนั่นลั่นอยู่ด้านหลังว่า
“ท่านอ๋อง ท่านอ๋องเดินทางมา พระชายาก็มาด้วย!”
“ท่านอ๋อง พระชายา ในที่สุดท่านทั้งสองก็เดินทางมา!”
หนานหว่านเยียนรู้สึกตกใจแล้วหันหลังไปมอง พบเหล่าทหารจำนวนมากมายนับมิถ้วน โดยมีรองแม่ทัพอวี๋เดินนำเข้ามาหานางและกู้โม่หานด้วยน้ำตาคลอเบ้า
ฉากนี้ช่างมีชีวิตชีวา แม้จะมิได้มีเสียงกลองฆ้องใด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาเห็นกู้โม่หานที่สวมเสื้อเกราะ ฝูงชนต่างพากันตกตะลึง ในสมองของเขาจดจำท่าทางอันดุร้ายของกู้โม่หานในสนามรบได้ เขายกดาบขึ้นสังหารไปทั่วทิศทาง
ทหารเกณฑ์บางคนที่เพิ่งเข้าร่วมชะโงกศีรษะออกมาดู ต้องการจะเห็นกู้โม่หานผู้เป็นเทพสงครามในตำนานคนนี้
ทุกคนยืนอยู่สองข้างของกู้โม่หานและหนานหว่านเยียน พวกเขาเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้วโค้งคำนับ กล่าวออกมาอย่างเคร่งขรึมพร้อมเพรียงกันว่า “คารวะท่านอ๋อง คารวะพระชายา!”
หนานหว่านเยียนเห็นดังนั้นก็รู้สึกเย้ยหยัน
นางคิดมิออกจริงๆ ว่าเหตุใดชายที่มีแต่ความชั่วร้าย ไร้ซึ่งเสน่ห์ ปกป้องแต่ภรรยาน้อย คอยคิดจัดการภรรยาหลวงเช่นนี้ จึงถูกเหล่าทหารชื่นชมสรรเสริญด้วยความหลงใหลในตัวเขา
แต่ท้ายที่สุดแล้วนางก็มิได้แสดงสีหน้าท่าทีออกมา
กู้โม่หานมิได้ดูตกใจกับเกียรติยศที่เขาได้รับมานี้ เขายืดร่างกายที่สวมชุดเกาะขึ้นตรง
จากนั้นสั่งให้เหล่าทหารลุกขึ้นยืน กล่าวกับรองแม่ทัพอวี๋ว่า “เหล่าเสิ่นเป็นอย่างไรบ้าง หลายวันมานี้ข้าค่อนข้างยุ่ง จึงมิมีเวลาเดินทางมาเยี่ยมเหล่าพี่น้องทั้งหลาย”
หนานหว่านเยียนยืนกอดอกอยู่ด้านข้าง นางเปิดโปงออกมาว่า “นั่นสิ ยุ่งยิ่งนัก ยุ่งอยู่กับสตรีตลอดทั้งวี่ทั้งวัน หาหลักการหรือสาระได้มิได้แม้แต่น้อย”
“หนานหว่านเยียน” แววตาอันหล่อเหลาของกู้โม่หานเมื่อครู่แสดงท่าทีมิพึงพอใจนางออกมา
บัดนี้เมื่ออยู่ในค่ายทหาร ยังมิให้เกียรติเขาอีก
เห็นได้ชัดว่านางได้จัดการเขาไปแล้วหนึ่งดาบ บัดนี้ก็ยังมิพอใจ……
รองแม่ทัพอวี๋เห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็อดมิได้ที่จะระมัดระวัง
ดูเหมือนช่วงนี้ความสัมพันธ์ของท่านอ๋องและพระชายาจะมิค่อยดีนัก
“เหล่าเสิ่นสบายดีพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องและพระชายามิต้องกังวลใจไป”
“แล้วเขาอยู่ที่ใด พาข้าไปดูเขาหน่อย” หนานหว่านเยียนเหลือบมองไปทางรองแม่ทัพอวี๋แล้วจึงเอ่ยปากขึ้น
เมื่อดูสถานการณ์ทั่วไปของรองแม่ทัพอวี๋เรียบร้อยแล้ว นางก็ได้กำชับกับหมอทหารก่อนเดินทางจากไป นางมิอยากจะอยู่กับกู้โม่หานอีกแม้แต่วินาทีเดียว เรียกได้ว่าแม้แต่เอ่ยปากพูดก็ยังรู้สึกลำบากใจ
“รองแม่ทัพอวี๋บัดนี้เขาในกระโจม เชิญท่านอ๋องและพระชายาติดตามมาเถิด”
รองแม่ทัพอวี๋พากู้โม่หานและหนานหว่านเยียนเดินตรงเข้าไปในค่ายทหาร
ภายในกระโจม เมื่อเหล่าเสิ่นเห็นกู้โม่หานและหนานหว่านเยียนเดินทางมาเขาก็ดีใจยิ่งนัก รีบลุกขึ้นนั่งกล่าวว่า “คารวะท่านอ๋อง พระชายา”
เมื่อหนานหว่านเยียนเห็นว่าเขาทำท่าจะคารวะจึงรีบเอ่ยขึ้น “มิต้องมากพิธีความ นั่งลงเถิด”
นางเดินมาหยุดอยู่ข้างหน้าเขา จากนั้นตรวจดูบาดแผลหลังการผ่าตัดและสถานการณ์โดยรวมของร่างกาย
กู้โม่หานนั่งอยู่ด้านข้าง กล่าวว่า “จงฟังที่พระชายาบอก”
“ขอ ขอรับ……” เหล่าเสิ่นรีบตอบอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นกู้โม่หานในชุดเกราะ หัวใจของเขาก็ดูกระปรี้กระเปร่าขึ้น
หลังจากนั้นมินาน หนานหว่านเยียนก็ยิ้มขึ้นกล่าวว่า “ขอแสดงความยินดีกับเจ้าด้วย ร่างกายของเจ้าฟื้นฟูได้มิเลว บัดนี้เจ้าสามารถลุกขึ้นเดินได้ แต่ต้องระวังเอาไว้อย่าได้ทำงานหนัก ค่อยๆ ฟื้นฟูออกกำลังกาย ทางที่ดีเจ้าควรใช้อุปกรณ์……ใช้เครื่องมือในการช่วยฟื้นฟู”
เหล่าเสิ่นรู้สึกซาบซึ้งใจ เขาเกือบจะคุกเข่าคารวะหนานหว่านเยียน
“ขอบพระทัยพระชายายิ่งนัก ชีวิตของข้านี้เป็นท่านที่มอบให้ ในอนาคตหากพระชายามีสิ่งใดให้ช่วยเหลือ มิว่าจะต้องบุกน้ำลุยไฟ ข้าน้อยจะมิปฏิเสธอย่างแน่นอน”
หนานหว่านเยียนยิ้มให้กับเหล่าเสิ่น เมื่อในชาติก่อน นางชื่นชมทหารดีๆ เยี่ยงนี้ยิ่งนัก ผู้คนเหล่านี้ปกป้องประเทศแต่กลับมิรับเงินตอบแทน นางจะต้องปฏิบัติต่อพวกเขาเป็นอย่างดี อีกอย่างเหล่าเสิ่นก็รักเด็กๆ ซึ่งเป็นในอย่างที่นางชอบชื่นชม
“เอาละ พักผ่อนเถิด แล้วก็อย่าดื่มสุรา”
กู้โม่หานเห็นหนานหว่านเยียนยิ้มขึ้นมาดังนั้นก็รู้สึกมิพึงพอใจ สตรีนางนี้ยิ้มได้กับทุกคน ยกเว้นแต่ยิ้มให้เขา!
เขาจ้องมองไปที่เหล่าเสิ่นอีกครั้ง
“มิเป็นอะไรก็ดีแล้ว ค่อยๆ ฟื้นฟูร่างกาย แล้วลูกของเจ้าเล่า?”
เหล่าเสิ่นก็ยิ้มขึ้นเช่นกันแล้วรีบกล่าวว่า “ขอบพระทัยท่านอ๋องและพระชายาที่ทรงเป็นห่วง ลูกชายข้ายุ่งอยู่กับการค้า ดังนั้นข้าน้อยจึงได้ให้เขากลับไปดูร้านก่อน เมื่อไรที่เขาว่างก็จะเดินทางมาดู”
หนานหว่านเยียนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนหน้านี้นางทำให้เหล่าเสิ่นและมู่ฮวนรู้จักกัน แต่มิได้สนใจว่าเป็นอย่างไรต่อ บัดนี้เมื่อเห็นเหล่าเสิ่นยิ้มขึ้นจนปากแทบจะฉีกถึงหู มองดูแล้วสองพ่อลูกคงจะมีความสัมพันธ์ต่อกันอย่างดี
ถึงอย่างไรสายเลือดก็ข้นกว่าน้ำ เมื่อนางนึกถึงเจ้าหนูน้อยทั้งสองคนที่อยู่ในจวน ก็อดมิได้ที่จะขมวดคิ้วด้วยความเป็นห่วง
กู้โม่หานพยักหน้า “อืม ก็ดี”
รองแม่ทัพอวี๋เห็นว่าหนานหว่านเยียนและกู้โม่หานแทบมิได้สนทนากัน จึงกล่าวว่า “พระชายาเฉลียวฉลาด มีพรสวรรค์ยิ่งนัก ทักษะทางการแพทย์ของท่านเลิศล้ำและมีจิตใจดี ช่างเป็นคู่ที่สมบูรณ์แบบกับท่านอ๋องที่ชื่นชอบความยุติธรรมและเด็ดขาดเหลือเกิน ทุกครั้งที่พวกข้าน้อยได้เห็นท่านทั้งสอง ก็รู้สึกซาบซึ้งตื่นเต้นเป็นยิ่งนัก”
เหล่าเสิ่นเองก็เอ่ยสนับสนุนว่า “นั่นสิ ในตอนนั้นเมื่อนึกย้อนไป คราวที่ท่านอ๋องพุ่งกายไปในสนามรบ พวกเราก็ยังได้สนทนากันว่าผู้ที่จะมาเป็นพระชายาต้องเป็นสตรีอย่างไรกัน จึงสามารถปราบปรามเทพเจ้าแห่งสงครามของพวกเราให้อยู่หมัด”
“คิดมิถึงว่า เมื่อเชื่อมโยงพระชายาเข้ากับจินตนาการของพวกเราแล้ว ช่างสูงส่งกว่าอย่างมิอาจเอื้อมถึง”
พวกเขารู้สึกชื่นชอบหนานหว่านเยียนจริงๆ
ทักษะทางการแพทย์อันยอดเยี่ยมของหนานหว่านเยียนนั้น ทำให้เหล่าทหารทั้งหลายเคารพเชื่อฟังอย่างไร้เหตุผล พวกเขาทั้งหลายเห็นพ้องต้องกัน ว่านางเป็นพี่สาวคนโตของพวกเขา
เมื่อหนานหว่านเยียนได้ยินดังนั้น จู่ๆ ก็ขนลุกขนพองดูสะอิดสะเอียน แต่มิกล้าเอ่ยปากหักล้างคำพูดของรองแม่ทัพทั้งสอง
เนื่องจากที่นี่คือถิ่นของกู้โม่หาน นางเอ่ยมากความไปก็ไร้ประโยชน์
ส่วนกู้โม่หานเมื่อได้ยินคำพูดของทั้งสองคน ในใจก็รู้สึกพึงพอใจมาก
เขาชะโงกกายเข้าไปใกล้ใบหน้าอันงดงามของนาง ริมฝีปากเรียวบางเผยอขึ้นเล็กน้อย กล่าวอย่างขี้เล่นว่า “ได้ยินหรือไม่ เหล่าเสิ่นกล่าวว่าเจ้ากับข้านั้นเข้ากันเหลือเกิน”
สีหน้าของหนานหว่านเยียนเปลี่ยนไปกะทันหัน นางมองไปที่กู้โม่หานราวกับมองคนโง่เขลา กระซิบตอบว่า “ตลกหรือ เจ้าเหมาะสมกับข้าตรงไหนกัน!”