ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 250 พระชายาเฆี่ยนตีท่านอ๋อง
“หากมิใช่เพราะเจ้ามาทำร้ายข้าก่อน แล้วข้าจัดทำเรื่องราวเหล่านี้ ข้าจะต่อต้านเจ้าเพื่อสิ่งใด?”
กู้โม่หานส่งคนไปลอบสังหารกู้โม่เฟิงหรือ?
ความสงสัยปรากฏขึ้นในดวงตาของหนานหว่านเยียนและกู้โม่หานในเวลาเดียวกัน
เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร?
กู้โม่หานขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วตะคอกว่า “เจ้าอย่าได้ทำตัวร้อนรน ข้าเคยส่งมือสังหารไปลอบสังหารเจ้าตั้งแต่เมื่อไรกัน? เจ้าต่างหากเมื่อสองเดือนก่อนที่พยายามคิดหาวิธีเข้าไปในจวนอ๋องแล้วจะฆ่าหนานหว่านเยียน ทั้งยังทำร้ายเสินอี่ว์!”
“เอ่ยวาจาอะไรของเจ้า!” ดวงตาของกู้โม่เฟิงจับจ้องไปทางกู้โม่หาน เขาจะฆ่าหนานหว่านเยียนทำไม หนานหว่านเยียนก็เป็นเพียงแค่สตรีคนหนึ่ง มิควรค่าพอที่เขาจะลงมือจัดการเอง
“ข้ามิมีเวลามากพอที่จะลงไปจัดการกับพวกหนูตัวเล็กๆ เหล่านี้ด้วยตัวเองหรอกนะ เจ้าหยุดใส่ร้ายข้าได้แล้ว!”
นอกจากนี้เขามิมีวันลืมวันที่ชายชุดดำกลุ่มนั้นพุ่งเข้ามาเพื่อหวังจะปลิดชีวิตเขาอย่างแน่นอน
จากที่เขาหลอกถาม มือสังหารเหล่านั้น เห็นได้ชัดว่ากู้โม่หานเป็นคนทำ
หากมิใช่เพราะกู้โม่หานลอบฆ่าเขาก่อน เขาจะปฏิบัติเช่นนี้กับกู้โม่หานทำไม?
แต่บัดนี้กู้โม่หานกลับมิยอมรับ ยืนกรานปฏิเสธทำให้กู้โม่เฟิงรู้สึกโมโหหงุดหงิด ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ากู้โม่หานช่างมิมีความเป็นลูกผู้ชายเอาเสียเลย เขาชักมือกลับด้วยความโมโห
“กู้โม่หาน ต้องมีสักวันขฌ ข้าจะเหยียบย่ำเจ้าให้อยู่ใต้เท้าข้า และจะทำให้เจ้ารู้สึกเสียใจไปตลอดชีวิต!”
กล่าวจบ เขาก็เสียงส่งเสียงหึๆ ออกมาแล้วพาคนของเขาเดินทางจากไป
เมื่อกู้โม่เฟิงเดินทางจากไปแล้ว ทุกคนก็ได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แต่เมื่อครู่เกิดความขัดแย้งกันขึ้นอย่างแรง เหล่าทหารจึงมิมีใคร กล้าเดินก้าวไปข้างหน้าเพื่อเกลี้ยกล่อมกู้โม่หาน
กู้โม่หานขมวดคิ้วเข้าหากันขภ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความครุ่นคิด
แม้ว่ากู้โม่เฟิงจะมิมีความสามารถใดๆ แต่เขาจะมิโกหกอย่างแน่นอน ด้วยนิสัยตรงไปตรงมาของเขา เมื่อครู่สิ่งที่เขากล่าวออกมานั้นดูเป็นเรื่องเป็นราว ทำให้ในใจของกู้โม่หานอดมิได้ที่จะรู้สึกสงสัย
แต่เขาก็มิเคยส่งใครไปลอบสังหารกู้โม่เฟิงเลย แล้ว……หนานหว่านเยียนลดสายตาลง ราวกับกำลังครุ่นคิดบางอย่าง
นางรู้สึกว่าประโยคของกู้โม่หานและกู้โม่เฟิงควรค่าแก่การพิจารณา เมื่อครั้งก่อนในพระราชวังเห็นได้ชัดว่ากู้โม่เฟิงค่อนข้างจะเป็นห่วงหยีเฟย นั่นหมายความว่าระหว่างเขากับกู้โม่หานคงจะมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นต่อกันมาก่อน
บัดนี้ที่กลับกลายมาเป็นศัตรู อาจมีใครบางคนวางแผนใหญ่ครั้งนี้อยู่
ผู้ที่สามารถทำให้สองพี่น้องต้องแตกกัน แต่มิถึงกับขนาดรบราฆ่าฟัน ทำได้เพียงสร้างความกดดันมหาศาลให้อีกฝ่าย แล้วคนผู้นั้นก็จะได้รับผลประโยชน์……
จู่ๆ หนานหว่านเยียนก็ราวกับคิดอะไรขึ้นมาได้นางตกใจยิ่งนัก
หรือว่าจะเป็น…… ฮ่องเต้!
หนานหว่านเยียนตกตะลึงกับความคิดนี้ของตน สายตามองไปทางกู้โม่หานอย่างซับซ้อน
ฮ่องเต้ส่งนางมาไว้ข้างกายกู้โม่หานก็เพื่อคอยเฝ้าดูและปราบปรามเขาเท่านั้น บัดนี้ดูเหมือนจะมีแผนการที่ใหญ่กว่าอยู่เบื้องหลัง
ความคับแค้นระหว่างราชวงศ์ที่นางรู้ เป็นเพียงแค่เรื่องเปลือกนอก……
กู้โม่หานจับต้นชนปลายมิถูก ดังนั้นเขาเองจึงหยุดคิดเรื่องนี้
เขาหันไปทางหนานหว่านเยียน กล่าวด้วยใบหน้าหล่อเหลาและจริงจังว่า
“หนานหว่านเยียน เรื่องเมื่อครู่เจ้าอย่าได้คิดเก็บไปใส่ใจ ที่จริงแล้วอ๋องเฉิงต้องการจะจัดการกับข้า มิใช่จัดการเจ้า การที่เจ้าสามารถช่วยเหลือผู้คนได้นั้นเป็นเรื่องดี มิต้องกังวลถึงเรื่องความแตกต่างทางหญิงชาย สตรีก็สามารถพัฒนาตนเองให้แข็งแกร่งได้ มิจำเป็นจะต้องคำนึงถึงชื่อเสียงและคำนินทาของคนอื่น เพียงแค่เจ้ามีความเมตตากรุณาช่วยเหลือผู้อื่นก็เป็นเรื่องดี”
หนานหว่านเยียนได้ยินดังนั้นก็ถึงกับตะลึง “กู้โม่หาน นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ข้าได้ยินเจ้าพูดเช่นมนุษย์”
กู้โม่หาน “……”
เขาโมโหเสียจนหน้าแดงเรื่อ “ข้าเบื่อที่จะสนทนากับเจ้า”
การสนทนากับหนานหว่านเยียนทำให้ชีวิตเขาสั้นลง
เขามองไปทางเหล่าทหารทั้งหลาย เมื่อครู่พี่น้องทหารยืนแบกกระสอบทรายตอนฝึกฝนที่หนักเกินไป บัดนี้กระสอบทรายยังคงมัดอยู่ยังมิได้ถูกปลดออก
เขาขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วละความคิด หันมามองยังเหล่าพี่น้องทหาร
เขาเดินตรงไปที่พี่น้องทหาร กล่าวด้วยความเป็นห่วงกังวลว่า
“พวกเจ้าเอากระสอบทรายออกก่อน แต่อย่าเอาออกหมดในคราเดียว ค่อยๆ ระมัดระวัง มิเช่นนั้นอาจทำให้ร่างกายรับภาระที่หนักขึ้น ทำให้เส้นเอ็นและกล้ามเนื้ออักเสบได้ง่าย”
“พวกเจ้าดูเถิด ให้ทำเช่นนั้น”
เขาถอดหมวกแม่ทัพรูปนกฟีนิกซ์ออก จากนั้นยื่นส่งไปให้รองแม่ทัพอวี๋ ก่อนจะสาธิตด้วยตนเอง เขาโน้มตัวลงไปช่วยปลดกระสอบทรายที่ขาให้แก่ทหารคนหนึ่งทั้งสองข้าง
นายทหารผู้นั้นตัวแข็งทื่อรีบโบกไม้โบกมือว่า “มิได้พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง เรื่องเช่นนี้จะรบกวนท่านได้อย่างไร……”
“มิใช่เรื่องหนักหนาอะไร” กู้โม่หานก้มหน้าลง ใบหน้าที่เด็ดเดี่ยวเข้มงวดของเขาบัดนี้ดูอ่อนโยนจริงจังมากขึ้น ที่ศีรษะของเขามีผ้าพันแผลพันเอาไว้ ที่บ่าก็มีแผลถูกเปิดฉีกออก แต่เขามิได้สนใจมัน ยังคงช่วยปลดกระสอบทรายให้ทหารผู้นั้นอย่างพิถีพิถัน
“ทุกคนทำตามข้า ช่วยกัน”
เหล่าทหารตอบรับเป็นเสียงเดียวกันว่า “ขอรับ”
สายตาของหนานหว่านเยียนมองไปเป็นประกาย ตอนที่กู้โม่หานตั้งหน้าตั้งตาทำงานนั้นก็ดูเหมือนมนุษย์ขึ้นมาบ้าง
กู้โม่หานช่วยพวกเขาจัดการเรียบร้อยแล้วก็ลุกขึ้น พบว่าสายตาของทุกคนรอบข้างมองมาที่เขาด้วยน้ำตาคลอเบ้าซาบซึ้ง
ในวันนี้หากมิใช่เพราะกู้โม่หานกับหนานหว่านเยียนเดินทางมา พวกเขาก็คงถูกอ๋องเฉิงทรมานเสียจนหนังถลอกแน่นอนญด
กู้โม่หานยกมือขึ้นกล่าวว่า “พวกเราทุกคนล้วนเป็นทหารที่คอยปกป้องประเทศชาติ หากได้รับบาดเจ็บในสนามรบจึงจะถือว่าเป็นเกียรติ แต่การได้รับบาดเจ็บในค่ายของพวกเราเอง มิสมควรยิ่งนัก อีกอย่างบัดนี้ที่ชายแดนมีใครบางคนต้องการจะจู่โจมพวกเราอยู่ แคว้นซีเหย่ยังคงรอให้พวกเราไปคุ้มกัน ทุกคนต้องดูแลตนเองให้ดี”
ประโยคนี้ทำให้หัวใจของเหล่าทหารทุกคนอ่อนโยนลง พวกเขาน้ำตานองหน้า ตอบรับด้วยความซาบซึ้งใจว่า “พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง”
ทันใดนั้นเอง รองแม่ทัพอวี๋ก็เหลือบตาไปเห็นผ้าพันแผลบนศีรษะของกู้โม่หานยังมีรอยเลือดอยู่ เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับบาดเจ็บ จึงตะโกนถามขึ้นทันทีว่า
“ท่านอ๋องเป็นอะไรไปหรือพ่ะย่ะค่ะ! คนชั่วคนใดกันที่กล้ามาทำร้ายท่าน พวกเราจะไปช่วยท่านล้างแค้นเอง!”
“ใช่แล้วขอรับ พวกเราจะแก้แค้นให้ท่านอ๋อง!” ทหารคนอื่นๆจท ก็พยักหน้าเห็นด้วยที่จะต้องการแก้แค้นให้กับกู้โม่หาน
คนที่สามารถทำร้ายกู้โม่หานได้ นั่นหมายความว่าเป็นผู้มีวิทยายุทธค่อนข้างสูง หรือไม่ก็แอบลอบทำร้ายจากด้านหลัง
หนานหว่านเยียนเห็นว่าเหล่าทหารมากมายต้องการจะแก้แค้นให้แก่กู้โม่หาน ทันใดนั้นนางก็ถอยหลังออกไปสองก้าว
เดิมทีกู้โม่หานตั้งใจจะปิดซ่อนความจริงนี้ไว้ เนื่องจากการถูกสตรีทำร้ายร่างกายมิใช่เรื่องที่น่าอวดโอ้ แต่เมื่อเห็นหนานหว่านเยียนรู้สึกหวาดกลัว แววตาของเขาก็เผยประกายขี้เล่นออกมา
“พระชายาทำร้ายข้า รองแม่ทัพอวี๋ต้องช่วยข้าแก้แค้นครั้งนี้ด้วย……”