ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 318 จวนอ๋องมีเด็กหญิง
นางยังคงจำ ใบหน้าอันมิแยแสของกู้จิ่งซานที่มีต่อกู้โม่หานในคืนนั้นได้ดี
และในคืนนี้ที่ฝ่าบาทเรียกทั้งสองคนเข้าพบคาดว่าคงมิใช่เรื่องธรรมดา
หนานหว่านเยียนเลิกคิ้วขึ้น ขณะที่คิวอันได้รูปของกู้โม่หานดูเป็นปกติ “พ่ะย่ะค่ะ ลูกทำให้เสด็จพ่อ เสด็จแม่ฮองเฮาและเสด็จอย่าเป็นกังวล เป็นความผิดของลูกเอง ลูกขออภัย”
ไทเฮามิได้ต้องการให้เป็นเช่นนี้ นางเหลือบมองไปทางฮ่องเต้แล้วกล่าวกับกู้โม่หานว่า “เจ้าจะขอโทษสิ่งใดกัน บัดนี้รอยแผลของเจ้ายังมิหายดี รีบนั่งพักก่อนเถิด”
ท่าทีของทุกคนดูแปลกใจเล็กน้อย พวกเขามองออกว่าไทเฮาเป็นห่วงกังวลกู้โม่หานเพียงไร
กู้โม่หานจึงนั่งลง
ทันใดนั้นก็มีเสียงของแก้วตกสู่พื้นดังกังวาน
ทุกคนจึงหันไปมอง พบว่าเด็กชายน้อยคนหนึ่งที่อยู่ในอ้อมแขนของหนานชิงชิงกำลังโบกไม้โบกมือดูเหมือนต้องการจะร้องไห้ออกมา
หนานชิงชิงรีบสั่งให้บ่าวรับใช้ทำความสะอาดเก็บกวาดแก้วที่แตก แล้วเอ่ยขอโทษว่า “ลูกดูแลหลินเอ๋อร์ได้มิดี ปล่อยให้เขา หยิบจับสิ่งของต่างๆ นานา รบกวนเสด็จพ่อเสด็จแม่และเสด็จย่า ขออภัยเพคะ”
หนานหว่านเยียนและกู้โม่หานชำเลืองมองไปยังเด็กชายตัวน้อย ผิวพรรณขาวผ่องแก้มอมชมพู เจ้าหนูช่างน่ารักเหลือเกิน
แววตาของหนานหว่านเยียนดูอ่อนโยนลง นางนึกถึงตอนที่นางอุ้มซาลาเปาน้อยและเกี๊ยวน้อยก็น่ารักเช่นนี้
ฮองเฮาเป็นคนรักเด็ก และชื่นชอบหลานชายของนางมาก นางยังมิทันได้เอ่ยบางอย่างออกมาก็ได้ยินเสียงของไทเฮากล่าวขึ้นก่อนว่า “เด็กๆ ยังมิรู้ว่าอะไรเป็นอะไร เจ้าจงรีบอุ้มหลินเอ๋อร์ขึ้นมาให้ข้าดู เหตุใดจู่ๆ เขาจึงร้องไห้”
“เพคะเสด็จย่า” หนานชิงชิงเผยรอยยิ้มแห่งชัยชนะเข้ามาในแววตา แล้วส่งเด็กชายตัวน้อยไปให้ไทเฮา
ในวันนี้นางตั้งใจพาหลินเอ๋อร์มาด้วย ก็เพื่อกอบกู้ผลประโยชน์
ต่อให้กู้โม่หานและหนานหว่านเยียนได้รับความชื่นชอบจากไทเฮาเพียงไร แต่พวกเขาแต่งงานกันมาหลายปีแล้ว ก็ยังมิเห็นว่าจะมีลูก ส่วนนางแม้จะมิมีบุตรสาวแต่ก็มีบุตรชายคนหนึ่ง
ต่อให้ไทเฮามิชอบนางเพียงไรก็ทรงเอ็นดูเจ้าหนูคนนี้ยิ่งนัก
เนื่องจากบุตรของนางเป็นพระนัดดาองค์โต
ไทเฮายื่นมือออกมาโอบกอดหลินเอ๋อร์ อุ้มเขาด้วยความรักทะนุถนอม ปลอบโยนเจ้าหนูน้อยมิให้ร้องไห้ “โอ้ หลินเอ๋อร์ช่างน่ารักเหลือเกิน อ้วนจ้ำม่ำ ข้าเห็นเขาแล้วก็รู้สึกมีความสุขยิ่งนัก”
“ดูสิฝ่าบาท พ่อหนูน้อยคนนี้ หน้าตาเหมือนเจ้าสามมิมีผิดเพี้ยน”
กู้จิ่งซานแม้จะมีความระแวดระวังในรุ่นลูกของตนมากนัก แต่ก็ค่อนข้างเอ็นดูรุ่นหลาน จู่ๆ เขาก็รู้สึกสนอกสนใจแล้วยิ้มขึ้น “ขอลูกดูหน่อย”
หลินเอ๋อร์ถูกทั้งสองอุ้มกันไปมารู้สึกสนุกสนาน จู่ๆ เขาก็เบิกตายิ้มกว้างขึ้นมิได้ร้องไห้อีกต่อไป แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียง เจื้อยแจ้วตะกุกตะกักว่า “เสด็จย่า เสด็จยาย……”
“เสด็จ……”
เขาอยู่ในช่วงกำลังฝึกพูดดังนั้นจึงตะกุกตะกักและกะพริบตาด้วยความลังเล
ไทเฮาได้ยินดังนั้นหัวใจก็แทบละลาย รีบยกมือขึ้นเกาจมูกเขาแล้วกล่าวว่า “เสด็จย่าทวด”
หลินเอ๋อร์หัวเราะคิกคักขึ้นแล้วกล่าวว่า “เสด็จย่าทวด!”
ไทเฮามองไปยังเจ้าหนูน้อยตัวอ้วนพีที่กล่าวคำนั้นออกมาต่อหน้า มือและใบหน้าน้อยๆ ของเขาใครเห็นก็อยากจะอุ้มและจุมพิต
นางมิอาจหุบยิ้มได้ จนกระทั่งหนานชิงชิงก้าวไปข้างหน้ากล่าวว่า “หลินเอ๋อร์ เจ้าเด็กคนนี้หลานเองก็ยังมิเคยสอนมิรู้ว่าเหตุใดจึงพูดได้”
ไทเฮามิมีปฏิกิริยาพิเศษใดๆ ออกมา นางมิชื่นชอบหนานชิงชิง ได้แต่เอ่ยชมหลินเอ๋อร์ว่า “ช่างเป็นเด็กที่เฉลียวฉลาดเหลือเกินและปากหวานยิ่งนัก”
ฮ่องเต้ก็รู้สึกมีความสุขเช่นกัน “หลินเอ๋อร์เฉลียวฉลาดเหลือเกิน สองสามีภรรยาเจ้าควรสั่งสอนเขาอย่างเต็มความสามารถ”
“เพคะ ลูกเข้าใจแล้ว” หนานชิงชิงหรี่ตาลงแล้วมองไปทางหนานหว่านเยียน ริมฝีปากเผยอยิ้มอย่างยั่วยุ
ในที่สุดนางก็มีโอกาสใช้ประโยชน์จากลูกมากดดันความเย่อหยิ่งของหนานหว่านเยียนสักที
หนานหว่านเยียนรู้จักหนานชิงชิงดี รู้ว่านางกำลังดูเย่อหยิ่งผยอง
นางจิบชาขึ้นโดยมิสนใจ สายตามิแยแสหนานชิงชิง
หนานชิงชิงราวกับถูกชกด้วยกำปั้นฝ้าย เป็นนางเองที่กลับตื่นตระหนก
นางหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา คาดว่าหนานหว่านเยียนคงเป็นกังวลเรื่องที่ตนมิมีทายาท และมิอาจมาแย่งชิงตำแหน่งนี้กับนางได้ เพียงแต่มิแสดงสีหน้าออกมาเท่านั้น
ทางด้านกู้โม่หาน มองไปยังหลินเอ๋อร์ซึ่งหัวเราะคิกคักกับเสด็จย่าของเขาอยู่ แววตาก็ดูมืดมนลงทันที
หากแม่หนูทั้งสองมิถูกซ่อนไว้เช่นนี้ สามารถปรากฏกายต่อหน้าราชวงศ์ได้คงจะได้รับความชื่นชอบมิน้อย ……
ชีกุ้ยเฟยมองไปยังฉากที่ดูกลมเกินตรงหน้านี้ แววตาของนางก็เป็นประกาย
นางยิ้มขึ้นด้วยน้ำเสียงอันอบอุ่น เสียงมิสูงหรือต่ำจนเกินไป เป็นจังหวะเพียงพอที่ทุกคนจะได้ยินเสียง “หลินเอ๋อร์ช่างเชื่อฟัง ว่านอนสอนง่ายจริงๆ หม่อมฉันเห็นแล้วก็รักใคร่ยิ่งนัก”
“เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ ดูเหมือนอ๋องอี้และพระชายาก็แต่งงานกันมาได้ห้าปีแล้วกระมัง ซึ่งเร็วกว่าอ๋องอี้หลายปีนัก เหตุใดบัดนี้จึงยังมิมีทายาทเล่า”
กล่าวจบ หนานหว่านเยียนและกู้โม่หานก็รู้สึกตึงเครียด
งานเลี้ยงเช่นนี้ คงหนีมิพ้นการเอ่ยถามเรื่องทายาท
หนานชิงชิงกัดฟันกรอดสีหน้าเปลี่ยนไป
เมื่อครู่นางมีโอกาสแสดงตนได้มินาน เหตุใดจู่ๆ ชีกุ้ยเฟยจึงได้เปลี่ยนหัวข้อกลับไปที่หนานหว่านเยียนอีกครั้งเล่า?
ไทเฮาเองก็ดูสนใจกับประโยคนี้ สายตาจับจ้องไปที่หนานหว่านเยียนและกู้โม่หานด้วยแววตาอันลุกโชน
“นั่นสิ หากเยียนเอ๋อร์และเจ้าหกมีลูกชายลูกสาวสักคน ข้าคงมีความสุขนัก”
“ทางที่ดี ควรจะมีสักสองคนเช่นเดียวกับชีกุ้ยเฟย”
ชีกุ้ยเฟยมีทายาททั้งสิ้นสองคน นั่นคืออ๋องเจ็ดและองค์ชายสิบ
อ๋องเจ็ดกำเนิดช้ากว่ากู้โม่หานเพียงแค่มิกี่วัน ดังนั้นจึงได้กลายเป็นอ๋องเจ็ด ส่วนในบรรดากุ้ยเฟยตอนนั้น มีเพียงชีกุ้ยเฟยที่ให้กำเนิดโอรสถึงสองคน
กล่าวได้ว่าเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ยิ่งนัก
ฮองเฮากลับมิคิดเช่นนั้น นางกวาดมองไปยังใบหน้าอันเย็นชาของกู้จิ่งซาน
หากกู้โม่หานและหนานหว่านเยียนมีทายาทละก็ เกรงว่าอาจจะถึงวาระของพวกเขา
ชีกุ้ยเฟยยิ้มขึ้นเล็กน้อย แล้วก้มวรกายลงอย่างนอบน้อม “เสด็จแม่ทรงเอ่ยชมเกินไปแล้วเพคะ ในครานั้นลูกเพียงโชคดีได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้”
“อีกอย่างอ๋องอี้และพระราชชายาเองก็ควรจะพยายามให้มากขึ้น มีทายาทให้แก่เสด็จแม่ เพื่อให้ท่านมีความสุข”
หนานหว่านเยียนและกู้โม่หานมิสามารถหาโอกาสเข้าแทรกแซงบทสนทนาได้เลย ไทเฮาถอนหายใจออกมาด้วยความเสียดาย แววตาของนางเต็มไปด้วยความหวัง
“นั่นสิ เหตุใดพวกเจ้าจึงมิอยากให้ข้าได้มีหลานอุ้ม ข้านั้นได้แต่ฝันไป”
“วันนั้นข้าไปหาเจ้าหกที่เรือน ดูเหมือนจะได้ยินเสียงหัวเราะของเด็กหญิง อยู่ในจวนอ๋อง……”
ทันทีที่กล่าวจบ บรรยากาศในอุทยานหลวงก็ดูตึงเครียดในทันที