ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 319 กู้โม่หานไร้ความสามารถ
สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปทันที มองไปทางหนานหว่านเยียนและกู้โม่หาน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งแววตาดูลึกล้ำ
ส่วนหนานหว่านเยียนและกู้โม่หานก็หรี่ตาลงกะทันหัน
ไทเฮาได้ยินงั้นหรือ?
มือของหนานหว่านเยียนที่อยู่ในแขนเสื้อกำแน่น แต่สีหน้าของนางมิได้แสดงความตื่นตระหนกใดๆ ออกมา
ขณะที่นางกำลังจะเอ่ยปาก ก็ได้ยินน้ำเสียงของสวีหว่านหยิงขึ้นเล็กน้อย น้ำเสียงอันงดงามทำลายบรรยากาศคลุมเครือนี้
“เสด็จย่าฟังผิดไปหรือเปล่าเพคะ จวนของพี่หกและพี่สะใภ้หกมีเด็กที่ไหนกัน?”
“เมื่อมิกี่วันก่อน หลานเพิ่งเดินทางไปที่จวนอ๋อง และเดินไปรอบจวน ก็มิเห็นมีเด็กเลยสัก”
เด็กผู้หญิงสองคนนั้นมิใช่คนในจวนอ๋อง หากกล่าวออกมาแล้วจะสร้างความเดือดร้อนวุ่นวายให้กับพี่หกและพี่สะใภ้หก มิควรกล่าวออกมาดีกว่า
กู้โม่หานและหนานหว่านเยียนหันมาสบตากัน ในใจของพวกเขาก็รู้สึกโล่งอก
คิดมิถึงว่าพระชายาสิบจะปกปิดได้เก่งเช่นนี้
กู้โม่หานหันไปมองที่ไทเฮาแล้วกล่าวอย่างนอบน้อมว่า “เสด็จย่าพ่ะย่ะค่ะ ลูกรู้ดีว่าท่านนั้นอยากจะมีหลาน แต่หลานกับหว่านหว่าน…… ยังคงพยายามอยู่”
ไทเฮาเหลือบตามองดูกู้โม่หานแล้วถอนหายใจออกมายืดยาว กล่าวอย่างมิพอใจนักว่า
“ข้ารู้ว่าข้าเพียงหูฝาดไป แต่ก็เป็นเพราะพวกเจ้ามิสามารถทำตามที่ข้าต้องการได้ มิรีบๆ มีหลานให้ข้าสักที หากข้าแก่กว่านี้อีกสักหน่อย ก็คาดว่าคงจะจำใครมิได้แล้วกระมัง”
นางอายุมากแล้วจริงๆ และนางได้ยินเสียงร้องของเด็กหญิงจริงหรือไม่ ก็มิอาจแน่ใจได้
เมื่อเห็นว่าทุกคนปฏิเสธกับเรื่องนี้ จึงมิได้เห็นเป็นเรื่องสำคัญ แต่หากมีจริงละก็ นางจะต้องพยุงเจ้าหกขึ้นเป็นไท่จื่อให้ได้
บัดนี้ฮ่องเต้ดูมีความลังเลมิสงบนิ่ง แต่เป็นเพราะตัวเลือกไท่จื่อในราชสำนักที่ยังมิได้ถูกกำหนดขึ้น หากว่าได้รับการกำหนดขึ้นมาแล้วคงจะลดความวุ่นวายลงมิน้อย
แต่กู้จิ่งซาน ยังคงมิได้ลดละความสงสัยลง
เขามองไปทางกู้โม่หานกับหนานหว่านเยียนด้วยแววตาอันลึกซึ้ง
“พวกเจ้าทั้งสองแต่งงานกันมาตั้งห้าปีแล้ว เหตุใดจึงยังมิมีทายาทเลยเล่า ห้าปีมานี้ พระชายาอี้มิเคยเสด็จเข้าวัง มักจะกล่าวว่าร่างกายมิสบายใช้เป็นข้ออ้าง”
“แต่ด้วยทักษะทางการแพทย์อันล้ำเลิศของพระชายาอี้ แม้แต่หมอหลวงก็ยังห่างไกลมากนัก พวกเจ้าทั้งสองมีเรื่องใดปิดบังข้าและเสด็จย่าของเจ้าหรือไม่?”
เมื่อได้ยินดังนั้น กู้โม่หานและหนานหว่านเยียนก็อดมิได้ที่จะหันมามองหน้ากันด้วยแววตาหนักอึ้งเล็กน้อย
แววตาของหนานชิงชิงเป็นประกาย นางตอบออกไปอย่างลวกๆ ว่า
“นั่นสิเพคะ……ลูกก็รู้สึกประหลาดใจนัก พระชายาอี้แต่งเข้ามาแต่ยังมิมีลูก ทั้งต่อมายังได้รับพระชายารองหยุ่นเข้ามาในจวนได้หลายปีแล้ว แต่ก็มิมีทีท่าจะตั้งครรภ์ มิรู้ว่าเกิดปัญหาขึ้นที่ใดกันแน่……”
คำนี้ของนางกล่าวออกมาด้วยความสงสัย แต่จากความหมายก็รู้ได้ว่าเป็นปัญหาของกู้โม่หาน
ปฏิกิริยาของทุกคนเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ไทเฮามองไปทางหนานชิงชิง ด้วยความรู้สึกมิพอใจนัก
แม่นางหนานชิงชิง เพียงเอ่ยปากก็เป็นสิ่งที่มิน่าฟัง ชอบแต่จะทำให้คนอื่นลำบากใจ
หนานหว่านเยียนก็ตกตะลึงเช่นกัน
หนานชิงชิงรู้สึกอย่างไรกับกู้โม่หาน นางก็พอจะรู้อยู่บ้าง แต่คิดมิถึงว่ายามที่หนานชิงชิงจะจัดการใครสักคน แม้แต่คนที่นางชื่นชอบก็มิปล่อย
ช่างโหดเหี้ยมยิ่งนัก!
สีหน้าของกู้โม่หานมิได้เปลี่ยนแปลงไปเท่าไร
เนื่องจากเขากับหนานหว่านเยียนก็มีความสัมพันธ์เมื่อห้าปีก่อนนั้นเพียงครั้งเดียว…… ส่วนกับหยุนอี่ว์โหรว มิเคยร่วมหลับนอนด้วยกันสักครั้ง
หากตั้งครรภ์ขึ้นมาจริงๆ ก็คงจะผิดปกติแน่
เขาเงยหน้าขึ้นมองไปทางหนานชิงชิงด้วยสายตาเย็นเยือก “พี่สะใภ้สาม เหตุใดจึงได้เป็นห่วงกังวลเรื่องครอบครัวของข้าเช่นนี้เล่า?”
กู้โม่เฟิงรีบลุกขึ้น ใบหน้าดูมิน่ามองนัก “เจ้าเอ่ยวาจาบ้าบออะไรกัน ยังมิรีบกลับมาอีก”
เขารู้ว่าหนานชิงชิงชอบเป็นคนหาเรื่อง และก่อนหน้านี้เขาก็ได้เอ่ยเตือนนางแล้วว่าอย่าไปเอ่ยวาจาไร้สาระ คิดมิถึงว่านางจะทำหูทวนลม มิสนใจคำพูดของเขา
หนานชิงชิงยังมิทันได้เอ่ยปาก กลับถูกไทเฮาเอาลูกน้อยมาคืนใส่มือนางแล้วกล่าวว่า “จะยืนอยู่ทำไม กลับไปนั่งได้แล้ว”
หนานชิงชิงราวกับถูกใครตบหน้าเข้าอย่างจัง เมื่อสักครู่นางพยายามเข้าไปแย่งบทบาทเป็นจุดสนใจ แต่เพียงครู่เดียวก็กลายเป็นเสียงหัวเราะให้คนอื่นเยาะเย้ย
“เพคะเสด็จย่า” นางอุ้มลูกของตนกลับมาแล้วหันไปเหลือบมองกู้โม่เฟิง ก่อนจะกลับไปยังตำแหน่งของตน
นางพยายามอดทน เรื่องของทายาทนั้นนางจะต้องให้กลายมาเป็นปัญหาของกู้โม่หานและหนานหว่านเยียนให้ได้
สถานการณ์ดูตึงเครียด แม้แต่ฮองเฮาก็อดมิได้พี่จะจิกมือไปยังเก้าอี้ที่นั่ง ส่วนชีกุ้ยเฟยก้มหน้าจิบชาของตน
สายตาของกู้จิ่งซานเป็นประกายแหลมคม “ภรรยาเจ้าสามกล่าวได้ถูกต้องแล้ว”
“เจ้าหก ในเมื่อพระชายาของเจ้าและพระชายารองล้วนมิมีทีท่าจะตั้งครรภ์ ข้าจะมอบสนมให้เจ้าอีกสักสองคน ที่จวนของเจ้านั้นมีคนน้อยเหลือเกิน หากมีคนมากขึ้นก็จะครึกครื้นขึ้น”
ในเมื่อหนานหว่านเยียนที่เป็นเบี้ยของเขาตอนนี้ไร้ประโยชน์แล้ว เขาจึงต้องพยายามส่งเบี้ยตัวอื่นเข้ามาสอดส่อง
ประโยคนี้ของหนานชิงชิงทำให้เขามีโอกาสอีกครั้ง
ว่าอย่างไรนะ?
จะมอบสนมให้กับกู้โม่หานหรือ?
หัวใจของหนานหว่านเยียนราวกับมีเข็มร้อยเล่มทิ่มแทง ช่างเจ็บปวดยิ่งนัก
ฮ่องเต้มิควรรู้สึกว่ากู้โม่หานไร้น้ำยาหรอกหรือ แต่บัดนี้เหตุใดจึงทำดีกับกู้โม่หานนัก ทั้งยังจะมอบสตรีให้อีกสองคน……
ต่อให้นางจะถอดใจจากกู้โม่หานแล้ว แต่เมื่อได้ยินว่าจะมีสตรีอีกสองคนมาอยู่ข้างกายเขา แน่นอนว่านางคงต้องมีความอิจฉา
องค์ชายสิบและพระชายาสิบสบตากัน พวกเขาเป็นกังวลใจเล็กน้อย
ลำพังพี่หกและพี่สะใภ้หกสถานการณ์ลำบากเกินทน หากจะมีพระชายารองหรือสนมเข้ามาอีกจะเป็นอย่างไรเล่า?
คิ้วของกู้โม่หานเลิกขึ้นเล็กน้อย
ประโยคนี้ของเสด็จพ่อดูเหมือนจะใจกว้าง แต่แท้จริงแล้วก็เพื่อส่งคนเหล่านั้นมาจับตามองเขามิใช่หรือ
หนานหว่านเยียนก็เดาได้ถึงวัตถุประสงค์ของฮ่องเต้ เขาคงต้องการจะวางเบี้ยตัวใหม่เข้ามา เพียงแค่คิดนางก็ปวดหัว
นางมิได้สนใจว่ากู้โม่หานจะมีสตรีอีกกี่คน เพราะถึงอย่างไรนางก็มิได้ชื่นชอบกู้โม่หาน แต่นางเหนื่อยล้านที่จะต้องมาเผชิญหน้ากับคนเหล่านี้
เพียงแค่หยุนอี่ว์โหรวคนเดียวก็ปวดหัวมากพอแล้ว หากมีสตรีเพิ่มเข้ามาอีกสองคนละก็…… สตรีที่เอาแต่แย่งชิงความรักจากชายหนุ่มและเป็นศัตรูกับนางนั้นน่ากลัวเหลือเกิน
ในขณะที่นางกำลังจะเอ่ยปากออกมา จู่ๆ กู้โม่หานก็จับมือของนางไว้ กล่าวอย่างหนักแน่นว่า “เสด็จพ่อขอรับ ลูกมิจำเป็นต้องรับสนมหรือชายาคนใดเข้ามาอีก”
มือของกู้โม่หานช่างมั่นคงและหนาแน่น ดังผู้ที่ฝึกวิทยายุทธควรจะเป็น เมื่อถูกเขากุมมือไว้เช่นนี้ นางเองก็มีพลังเปี่ยมล้น
ท่าทีของหนานหว่านเยียนดูมิเป็นธรรมชาตินัก และอยากจะชักมือกลับมา แต่ก็เกรงว่ามิเหมาะสม
นางรู้สึกว่ากู้โม่หานคงจะมองออกในสิ่งที่กู้จิ่งซานคิด จึงตั้งใจปฏิเสธ
แน่นอนว่าบางทีเขาอาจจะต้องการสงวนเนื้อตัวเอาไว้ให้เพียงหยุนอี่ว์โหรวเท่านั้น
กู้จิ่งซานมิพึงพอใจ สายตามองไปทางกู้โม่หานและหนานหว่านเยียนดุจดั่งคมมีด
“ในฐานะองค์ชาย การมีทายาทสืบสกุลให้กับราชวังเป็นเรื่องที่สมควรทำ และเรื่องนี้เจ้ามิมีสิทธิ์ปฏิเสธ……”