ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 320 เจ้ามิกลัวหนานหว่านเยียนโกรธหรือ
“ลองมองดูชายหนุ่มที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเจ้าสิ ใครบ้างที่มิมีภรรยาสามสี่คน ใครบ้างที่มิมีทายาท”
“ในเมื่อพระชายาและพระชายารองมิอาจทำให้เจ้าชื่นชอบได้ จะเพิ่มวนมเข้าไปอีกสองสามคนก็มิเป็นไร……”
คิ้วอันได้รูปคมเข้มของกู้โม่หานขมวดเข้าหากันแน่น เขากุมมือหนานหว่านเยียนเอาไว้เเล้วปฏิเสธอย่างตั้งอกตั้งใจ
“เรื่องนี้มิได้เกี่ยวข้องว่าจะมีสตรีกี่คน เป็นเพราะลูกยังมิอยากมีเอง อีกอย่าง น้องเจ็ดและน้องสิบก็ยังมิมีทายาทเหมือนกัน”
ทุกคนได้แต่ตกตะลึง
สีหน้าของกู้จิ่งซานดูมืดมนลงทันที “ไร้สาระ ภรรยาของเจ้าเจ็ดนั้นตั้งครรภ์แล้วแต่กลับแท้งต่างหาก เป็นเช่นเดียวกันกับพวกเจ้าหรือ อีกอย่าง เจ้าสิบและพระราชชายาของเขาอายุเพียงเท่าไร พวกเขาล้วนเป็นน้องของเจ้า เปรียบเทียบกับเจ้าได้อย่างไร?”
องค์ชายสิบและพระชายาสิบก้มหน้าลงทันใด
ใช่แล้วพวกเขายังเด็ก ……
หนานหว่านเยียนเห็นว่าฮ่องเต้ตั้งใจจะมอบสนมให้กับกู้โม่หานอย่างเด็ดขาด แววตาของนางอันสวยงามก็เป็นประกาย
แท้จริงแล้วด้วยสถานการณ์ของพวกเขาบัดนี้ มิว่ากล่าวอะไรก็ล้วนโดนปฏิเสธอย่างแน่นอน เรื่องนี้ควรที่จะมีบุคคลที่สามเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงจะมิเอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
“เสด็จพ่อเพคะ ลูกและท่านอ๋องรวมถึงพระชายารอง สุขภาพร่างกายมิมีปัญหาใด เพียงแค่ว่าด้านของความรู้สึกนั้นมิได้สัมพันธ์กันเท่าไหร่ จึงมิมีทายาทสักที ท่านและไทเฮาก็รู้ดี ท่านอ๋องมีความรักเดียวใจเดียว ต่อให้ท่านมอบสนมให้กับท่านอ๋องอีกสองคนเกรงว่าก็คงไร้ประโยชน์……”
หนานหว่านเยียนมิได้พูดเรื่องเท็จ กู้โม่หานชื่นชอบแม่ดอกบัวขาวของเขามาก ต่อให้มีสตรีมากขึ้นกว่าเดิมก็มิช่วยสิ่งใด มีแต่จะทำให้นางวุ่นวายขึ้นกว่าเดิม
กู้โม่หานเห็นว่าหนานหว่านเยียนพยายามอย่างยิ่งในการกีดกันมิให้เขามีพระสนมเพิ่ม ในใจก็รู้สึกดีขึ้นมาอย่างประหลาด
ดูเหมือนว่านางจะมิได้เฉยเมยต่อเข้าไปเสียทุกเรื่อง……
ฮ่องเต้มองไปทางหนานหว่านเยียนแววตาเยือกเย็นดุจสายน้ำ “ในฐานะที่เจ้าเป็นพระชายา หรือว่า……”
“พอได้แล้ว!” จู่ๆ ไทเฮาก็ตะเบ็งเสียงขึ้นแล้วเอามือทุบโต๊ะ นางปลดปล่อยความโมโหที่เก็บกลั้นเอาไว้ออกมา มองไปทางฮ่องเต้ด้วยความรู้สึกมิพอใจเล็กน้อย
“ฝ่าบาท เยียนเอ๋อร์กับเจ้าหกยังมิมีทายาท นั่นก็เป็นเพราะพระชายารอง หากมิใช่เพราะนาง เยียนเอ๋อร์กับเจ้าหกจะมีความสัมพันธ์ที่มิดีกันเช่นนี้ได้หรือ? หากความสัมพันธ์เข้ากันมิได้แล้วจะมีทายาทได้อย่างไร”
หนานหว่านเยียนมองเห็นโอกาสในการพลิกผันสถานการณ์ จึงรีบกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เสด็จย่าไทเฮา……”
กู้โม่หานกลับขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย “เสด็จย่าพ่ะย่ะค่ะ มิใช่ความผิดของพระชายารอง เป็นเพราะหลานเอง……”
ไทเฮาเบิกตาจ้องมองเจ้าหก “เจ้าหุบปากไปเสีย มิต้องมาสร้างความวุ่นวายเพิ่มเติมให้ข้า อีกทั้งยังปกป้องแต่นาง เจ้ามิกลัวเยียนเอ๋อร์จะโกรธหรือ”
กู้โม่หานเม้มริมฝีปากมิได้กล่าวอะไรออกมา
บัดนี้สมเด็จพ่อจะมอบสตรีให้แก่เขา เขามิจำเป็นต้องไปอธิบายเรื่องราวเหล่านี้ ไม่ว่าหยุนหยูโหรวจะแย่แค่ไหน แถมยังชอบหาเรื่อง แต่นางไม่มีทายาท ปัญหาอยู่ที่เขาจริงๆ
เขาละทิ้งนางแล้ว เดิมทีนี่ก็มิดีต่อนางเท่าไรนัก แน่นอนว่าจะไม่ควรทำลายชื่อเสียงของนางอีก
หนานหว่านเยียนเหลือบมองไปทางกู้โม่หาน แต่มิได้โมโห เพียงแค่รู้สึกไม่พอใจ
เมื่อครู่ตอนที่อยู่ในห้องทรงพระอักษร แสดงท่าทีรักใคร่นางเสียเหลือเกิน แต่พอหันหลังชั่วพริบตาก็เอาแต่ปกป้องแม่ดอกบัวขาวน้อย มิกลัวว่าฮ่องเต้จะสงสัยในสิ่งที่เขาแสดงในห้องนั่นหรืออย่างไร
ไทเฮาเห็นว่ากู้โม่หานเงียบเสียงลง จึงรีบเอ่ยกับหนานหว่านเยียนว่า “เยียนเอ๋อร์มิต้องกังวลใจหรือเสียใจไป ข้าจะปกป้องเจ้าเอง!”
กล่าวจบ ไทเฮาก็ได้มองไปทางฮ่องเต้ “ร่างกายของพระชายารองแห่งอ๋องอี้ดูบอบบางนัก ข้ามองดูก็รู้ว่ามิอาจตั้งครรภ์ได้ บัดนี้แน่นอนว่าร่างกายของเจ้าหกและเยียนเอ๋อร์คงมิมีปัญหา ปัญหานั้นอยู่ที่ความสัมพันธ์”
“และบัดนี้ความสัมพันธ์ของพวกเขาถือว่าเริ่มดีขึ้น ให้เวลาพวกเขาสักหน่อย แน่นอนว่าในอนาคตจะมีบุตรเอง แต่หากเจ้าทำแต่เรื่องมิเป็นเรื่อง หาสนมให้แก่เจ้าหกอีกสองคน ก็คงจะเกิดปัญหามากขึ้นมิใช่หรือ? แล้วเมื่อไรพวกเขาจึงมีทายาทเล่า?”
กู้จิ่งซานมิอยากปล่อยให้โอกาสนี้ลอยหายไป
เขาขมวดคิ้วแล้วกล่าวกับไทเฮาด้วยเสียงเย็นชาว่า “เสด็จแม่! ท่านมิควรตามใจพวกขานัก สองสามีมีความรักต่อกันหรือไม่ หาได้เกี่ยวข้องกับการมีบุตร อีกอย่าง เสด็จแม่มิอยากเห็นเจ้าหกมีทายาทโดยเร็ววันหรือ?”
ทุกคนได้แต่นิ่งเงียบ มิกล้าส่งเสียงใดออกมา
หนานหว่านเยียนดวงตาเป็นประกายเล็กน้อย ไทเฮาพยายามใจเย็นแล้วกล่าวว่า “ข้าอยากจะอุ้มหลาน แต่ก็ต้องเป็นหลานที่กำเนิดโดยพระชายาเอก หากพระชายาเอกมิให้กำเนิดทายาท ต่อให้มีสนมมากมายแล้วอย่างไร?”
“หากวันนี้เจ้ายืนกรานให้เจ้าหกรับสนมเข้าจวนอีกสองคน ข้าก็จะย้ายออกไปอาศัยที่วัด ถือศีลกินเจ มิสนใจเรื่องทางโลกของพวกเจ้าอีกต่อไป!”
เห็นได้ชัดว่าไทเฮาต้องการใช้วิธีดื้อรั้นดึงดัน กู้จิ่งซานมิอาจสู้ได้ แต่เขาก็มิอาจอ่อนข้อได้เพราะจะเสียหน้า
บรรยากาศ ณ อุทยานหลวงดูดุเดือดขึ้น
ฮองเฮาลุกขึ้นยืนแล้วยิ้มขึ้นจางๆ “ฝ่าบาท เสด็จแม่ อย่าได้โมโหไปเพคะ มิดีต่อร่างกาย”
“บุตรหลานมีบุญของบุตรหลาน อ๋องอี้และพระชายาก็ยังอายุน้อย จะมีบุตรสักคนใช่เรื่องยาก หากความสัมพันธ์พวกเขาดีต่อกัน ต้องการอะไรก็มิใช่ปัญหา”
กล่าวจบนางก็หันไปเหลือบมองดูหนานหว่านเยียนและกู้โม่หาน
“ส่วนพวกเจ้าทั้งสองคนก็ควรจะถูกทำโทษ พวกเจ้านั้นยังมิมีบุตรสักที แต่ก็ยังมิรีบร้อน ปล่อยให้ฮ่องเต้และไทเฮาเป็นกังวลใจ เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้และไทเฮาดีกับพวกเจ้าเท่าไหร่ พวกเจ้าเองก็ควรจะพยายามเข้า อย่าได้เพิกเฉยเช่นนี้”
กู้โม่หานและหนานหว่านเยียนสีหน้าตกตะลึง คิดมิถึงว่าฮองเฮาจะเอ่ยปากแทนทั้งสอง
แต่ในมิช้า ทั้งสองคนก็ได้สติกลับคืนมาหนานหว่านเยียนกล่าวว่า “เพคะ ลูกผิดไปแล้ว”
กู้โม่หานกล่าวว่า “ลูกปล่อยให้เสด็จพ่อและเสด็จย่าเป็นกังวลใจ ขอกราบประทานอภัย ต่อจากนี้ลูกและพระชายาของลูกจะพยายามให้มาก และคลอดหลานๆ ตัวอ้วนพีให้แก่พวกท่าน”
ฮองเฮารู้สึกพอใจยิ่งนัก กู้โม่หานและหนานหว่านเยียนรู้จักกาลเทศะสถานการณ์ ชีกุ้ยเฟยวางแก้วชาลงบนโต๊ะแล้วหรี่ตามองอย่างช้าๆ
สีหน้าของฮองเฮาดูดีขึ้นเล็กน้อย ไทเฮามองไปทางหนานหว่านเยียนและกู้โม่หานตรัสว่า “เอาเถอะ พวกเจ้ารีบลุกขึ้นเถิด วันดีๆ เช่นนี้อย่าได้เอาแต่โทษกันเลย”
หนานหว่านเยียนและกู้โม่หานจึงตอบรับแล้วลุกขึ้น
ในเมื่อไทเฮาทรงกล่าวเช่นนี้แล้ว กู้จิ่งซานก็ทำอะไรมิได้นอกจากยอมถอย เขามองไปทางกู้โม่หานกับหนานหว่านเยียนนิ่งเงียบมิได้ตรัสสิ่งใด
“วันนี้ข้าจะมิมอบสนมให้แก่เจ้าก็ได้ แต่ว่าเจ้าหกเจ้าจงจำเอาไว้ หากเจ้าและพระชายาอี้ยังมิมีทายาทสักที ข้าก็จะรีบสั่งการเพิ่มสนมให้แก่เจ้าเอง พระชายาอี้ เจ้าเองคงได้ยินแล้ว พยายามเข้าเถอะ”
เขาใจร้อนเอง ลืมไปว่าไทเฮาปกป้องหนานหว่านเยียนและกู้โม่หานเพียงไร
เรื่องของการส่งสายสืบเข้าไปในจวนอ๋อง คาดว่าคงต้องวางแผนระยะยาว แต่สองสามีภรรยาจวนอ๋องอี้นี้ เขาจะต้องป้องกันไว้เป็นพิเศษ
กู้โม่หานขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย “พ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ”
แววตาของหนานหว่านเยียนดูเยือกเย็นลง แต่ใบหน้ากลับยิ้มขึ้น “ลูกเข้าใจและรับทราบแล้วเพคะ”
ชีกุ้ยเฟยมองไปยังปฏิกิริยาของทุกคน แล้วยกชาขึ้นดื่มอย่างช้าๆ แววตาแฝงความเยือกเย็นเล็กน้อย
องค์ชายสิบและพระชายาก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารมิกล้าส่งเสียงใด
พวกเขารู้สึกได้ว่าวันนี้เสด็จพ่อดูแปลกไป แม้พวกเขาจะอายุยังน้อย และระหว่างพี่น้องก็มีเถียงอ๋องเฉิงที่มีทายาท แต่เหตุใดวันนี้เสด็จพ่อจึงจับจ้องที่หกมิยอมปล่อย
อีกทั้งยังจะยัดเยียดสตรีให้เขาอีกสอง รบเร้าให้พี่หกรีบมีทายาท…… สิ่งนี้ดูน่ากลัวเหลือเกิน
ส่วนหนานชิงชิงรู้สึกอิจฉาริษยาที่ไทเฮาออกมาปกป้องคุ้มกันหนานหว่านเยียนอย่างไร้เหตุผลมิขาด แววตาของนางก็ดูเต็มไปด้วยความโมโห
นางสัมผัสได้อีกครั้งถึงความรู้สึกที่ไทเฮารักทะนุถนอมกู้โม่หานกับหนานหว่านเยียนเป็นพิเศษ หรือแม้กระทั่ง ทำให้ความคิดของฮ่องเต้สั่นคลอนได้
หากนางมีที่พึ่งพาเช่นนี้ จะกังวลเรื่องอนาคตทำไมกัน
แต่หนานหว่านเยียน แม้นางจะมิมีทายาทกลับได้รับความรักความชื่นชมเช่นนี้ เพราะสิ่งใดกัน? หากว่านางมีทายาทละก็ จะมิเหยียบตนเสียจมลงสู่พื้นดินหรือ?
หลินเอ๋อร์ที่อยู่ในอ้อมกอดร้องว่าเขาเริ่มหิว เมื่อพบว่าหนานชิงชิงมิสนใจ เขาก็ได้ร้องไห้งอแงขึ้นมา หนานชิงชิงรู้สึกหงุดหงิดใจ จึงจ้องไปที่หลิงเอ๋อร์ทีหนึ่ง
เจ้าเด็กน้อยจะไปรู้ภาษาอะไรเล่า จึงได้ร้องไห้หนักกว่าเดิม นางหงุดหงิดเสียจนหันไปมองดูกู้โม่เฟิง แต่พบว่ากู้โม่เฟิงกำลังกินดื่มอย่างสนุกสนาน
นางจึงรู้สึกหงุดหงิดใจอย่างมิอาจควบคุมได้ กระซิบตำหนิเขาว่า “แต่ละวันรู้แต่กินๆ และดื่มสุรา มิเคยหัดมาสนใจดูแลลูกบ้าง!”
กู้โม่เฟิงรู้สึกงุนงงกับการที่ถูกนางตำหนิ และเขาเองก็โมโหเช่นกัน แต่ที่นี่มีผู้คนมากมาย เขาเองก็มิสะดวกที่จะตำหนินางกลับ จึงเอื้อมมือไปอุ้มหลินเอ๋อร์ที่อยู่ในอ้อมกอดเขา แล้วป้อนน้ำแกงให้แก่เขา
หนานชิงชิงจึงรู้สึกพอใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่เมื่อหันไปดูกู้โม่หานและหนานหว่านเยียนอีกครั้ง ก็พบว่าทั้งสองดูรักใคร่กลมเกลียวกัน กู้โม่หานได้แต่กุมมือหนานหว่านเยียนมิยอมปล่อย ในใจก็เกิดความอาฆาตแค้นขึ้นอีก
ความรู้สึกถูกโจมตีของนางถาโถมเข้ามา
นางจะนั่งเฉยอยู่เช่นนี้มิได้แล้ว ปล่อยให้หนานหว่านเยียนได้ใจของทุกคนไป หรือนางอาจตั้งครรภ์ขึ้นมา ทั้งในและนอกราชวังนี้คงมิมีที่เหลือไว้ให้ตนอีก
ดังนั้น หนานหว่านเยียนจะต้องตาย……