ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 329 ท่านแม่จะฟื้นแล้วใช่หรือไม่
“บ่าวเข้าใจแล้วขอรับ” จางกงกงรีบล่าถอยอย่างเร็ว ความสงบใน ตำหนักฉางอัน ก็กลับคืนมาอีกครั้ง
ความอาฆาตในดวงตาของชีกุ้ยเฟยค่อยๆ จางหายไป นางเอื้อมมือไปลูบไล้กระดุมที่มีขนปุยตรงข้อมือ วงกลมของปุยที่ข้อมือและ กล่าวพึมพําว่า
“เจ้าเจ็ด ลองนับวันดู เจ้าก็ควรกลับมาแล้ว…”
วันต่อมา
แสงทองอร่ามในยามเช้าทะลุผ่านหน้าต่าง ท้องฟ้าก็ค่อยๆ สว่างขึ้น
หนานหว่านเยียนลุกขึ้นอย่างสะลึมสะลือ พบว่าเด็กทั้งสองหายในอ้อมแขนหายไป น่าจะถูกเซียงอวี้พาไปเรียนคาบเช้าแล้ว
หลังจากที่หวีผมล้างหน้าแล้ว ก็เปลี่ยนเป็นเสื้อคลุมลายดอกไม้ธรรมดาๆ เส้นผมดำขลับยามดั่งน้ำตกก็ม้วนมวยผมแบบง่ายๆ
หนานหว่านเยียนไปที่ห้องรับแขกเพื่อดูอาการบาดเจ็บของโม่หวิ่นหมิงก่อน รวมถึงขาของเขา และได้กำชับอาจี้ไปสองสามประโยค ก็ออกประตูเรือนไป
เดินไปได้สองก้าว นางก็เห็นเสิ่นอี่ว์เดินเข้ามาหานางอย่างรวดเร็ว
“พระชายา ท่านอ๋องเชิญท่านไปที่เรือนจิ้งฉาน” เสิ่นอี่ว์พูดกับนางด้วยความเคารพ
” ไปกันเถอะ” หนานหว่านเยียน พยักหน้าเข้าใจในทันที
นางกําลังจะไปพบหยีเฟยพอดี กู้โม่หานก็ส่งเสิ่นอี่ว์มาเชิญนาง
ทั้งสองมาถึงเรือนจิ้งฉานจากคนละด้าน หนานหว่านเยียนเงยหน้าขึ้น เห็นเพียงชราที่แต่งตัวเหมือนหมอประจำจวนอยู่หลายคนอยู่ในห้อง
ร่างสูงและสูงของกู้โม่หานยืนอยู่ข้างเตียงของหยีเฟย
ชายคนนั้นสวมเสื้อคลุมลายสีดํา มีใบไผ่สีทองเข้มปักอยู่บนปกเสื้อ สายตาที่เย็นชายากที่จะปรากฏสายตาที่อ่อนโยนเช่นนี้
เมื่อได้ยินการเคลื่อนไหว กู้โม่หานก็เงยหน้าขึ้น และเห็นหนานหว่านเยียน
“เจ้ามาแล้ว ข้าเรียกหมอประจำจวนมาช่วยเจ้าสองสามคน”
“อืม แล้วหมอประจำจวนได้เห็นอาการของเสด็จแม่แล้วหรือ”
หนานหว่านเยียนก้มศีรษะเล็กน้อย ม้วนแขนเสื้อขึ้น และไปนั่งจับชีพจรข้างหยีเฟย
หมอประจำจวนเหล่านี้ได้ยินมานานแล้วว่าวิชาแพทย์พระชายาล้ำเลิศไม่มีผู้ใดเทียบได้ พวกเขาโค้งคํานับด้วยความเคารพอย่างรวดเร็ว
ชายชราคนหนึ่งกล่าวว่า “เรียนพระชายา พวกบ่าวได้เห็นแล้วขอรับ ชีพจรของหยีเฟยเหนียงเหนียงปกติดี ทว่าอยากทำให้เหนียงเหนียงตื่นขึ้นมานั้น เกรงว่า”
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การมีชีวิตต่อไปนั้นสามารถทำได้ ทว่าอย่างไรเสียคนที่เป็นผักมากว่าสิบปี จะตื่นขึ้นมาได้อย่างง่ายดายได้อย่างไร?
สีหน้าของหนานหว่านเยียนดูเป็นกังวล นางถอนมือและพูดเบาๆ ว่า “พวกท่านไม่จําเป็นต้องกังวล ข้ามีความมั่นใจ”
“ขอรับ” แพทย์ประจำจวนมองหน้ากัน ไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่
กู้โม่หานระงับความกังวลเกี่ยวกับหยีเฟยที่อยู่ภายในใจ ดวงตาของเขาจ้องมองไปที่หนานหว่านเยียน
หนานหว่านเยียนจัดให้หมอประจำจวนเตรียมตัวอย่างไว้ เมื่อมองไปยังกู้โม่หาน ดวงตาที่สดใสของเขาดูเหมือนเศร้าหมองลง จนทรงตัวไม่อยู่
“ข้าต้องการให้ระบบตรวจเสด็จแม่หน่อย รอตรวจเสร็จ ข้าค่อยบอกผลให้เจ้าทราบ”
“อืม” กู้โม่หานรู้ว่านางไม่ชอบมีผู้ชมคอยล้อมรอบ
สายตาของเขากวาดมองหมอประจำจวนอย่างเย็นชา “ทุกคนออกไปเตรียมตัวกับเสิ่นอี่ว์เถิด ”
หลังจากพูดจบ เขามองย้อนกลับไปที่หนานหว่านเยียน “ข้ารอเจ้าข้างนอก ต้องการสิ่งใดให้รีบบอก หวางหมัวมัวรีบไปหยิบยาให้เสด็จแม่ อีกเดี๋ยวหากนางกลับมา ข้าจะให้นางรออยู่ข้างนอกก่อน”
เขาตั้งตารอวันที่เสด็จแม่จะตื่นขึ้นมา เช่นนี้ นางก็จะได้เห็นว่าเด็กๆ ทั้งสองน่ารักเพียงใด และเขาก็จะสามารถตรวจสอบได้ว่าในปีนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“ดี” หนานหว่านเยียนตอบกลับเบาๆ หลังจากที่เขาเดินลงบันไดไปก็ปิดประตูห้อง
หลังจากตรวจสอบแน่ใจแล้วว่าไม่มีคนแอบดู
นางรวบรวมความคิด ถอนหายใจยาวๆ ด้วยความโล่งอก สวมถุงมือและผ้าปิดปาก ขณะเดินไปที่ด้านข้างของหยีเฟย นางใช้เตียงดันที่อยู่ในห้วงเวลงส่งหยีเฟยเข้าไปในห้วงเวลา
หนานหว่านเยียนสวมอุปกรณ์บนตัวนาง และตรวจหยีเฟยอย่างละเอียด
หลังจากการตรวจสอบเสร็จสิ้น หยีเฟยไม่มีปฏิกิริยาทางกายภาพใดๆ
คลื่นสมองมีการตอบสนองเล็กน้อย แต่ก็น้อยเกินไป และไม่ต่อเนื่อง
คิ้วของหนานหว่านเยียนผูกแน่น โน้มเข้าไปข้างหูของหยีเฟย และพูดเบา ๆ
“หยีเฟยเหนียงเหนียง ได้ยินหรือไม่”
“หยีเฟยเหนียงเหนียง แม้ว่าท่านกับข้าจะไม่มีความเกี่ยวข้องกัน ทว่าลูกชายของท่านกู้โม่หาน ตอนนี้กําลังเผชิญกับวิกฤติครั้งใหญ่”
“ท่านนอนไม่ได้สติมาสิบกว่าปีแล้ว สิบกว่าปีมานี้ เขาหวังเสมอว่าท่านจะฟื้นขึ้นมา หากท่านยังเป็นห่วงเขา ข้าหวังว่าท่านจะตอบกลับข้าสักหน่อย”
แค่คําพูดเหล่านี้ หนานหว่านเยียนก็พูดซ้ำอยู่หลายรอบ
อยากให้คนผักตื่นขึ้นมา วิธีที่ง่ายที่สุดคือการพูดคุยและสื่อสารกับผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง และนางจงใจบอกว่าสถานการณ์ของกู้โม่หานไม่ดี ก็เพื่อกระตุ้นหยีเฟย อย่างไรเสียบุตรชายก็เป็นคนที่หยีเฟยเป็นห่วงมากที่สุด
ทว่านางรอเป็นเวลานานแล้ว หยีเฟยที่นอนอยู่บนเตียงยังคงหลับตาสนิท โดยไม่มีการเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย
หนานหว่านเยียนขมวดคิ้ว นางถอนหายใจเบาๆ ทว่ากลับได้ยินเสียง “ติ๊ด” มาจากด้านหลัง
ผลการตรวจสอบถูกปริ้นท์ออกมาแล้ว
นางหันไปหยิบ ลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างตื่นเต้น
ข้อมูลแสดงให้เห็นว่า การทำงานทางสรีรวิทยาต่างๆ ของหยีเฟยมีการทำงานเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า โดยเฉพาะคลื่นของเปลือกสมอง ที่มีรูปร่างเป็นคลื่นที่ไม่แน่นอน
และสารพิษที่ยังคงอยู่ในร่างกายของนางก่อนหน้านี้ ก็ถูกกําจัดออกไปอย่างสมบูรณ์แล้ว
หนานหว่านเยียนดูรายงานผล ก็รู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก
ตราบใดที่เส้นประสาททํางานเริ่มตอบสนอง ก็เป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมมากแล้ว ตามข้อมูลส่วนนี้เชื่อว่าหยีเฟยจะสามารถฟื้นขึ้นมาได้ในไม่ช้า
เช่นนี้ ข้อตกลงของนางกับกู้โม่หาน ก็จะดำเนินการไปครึ่งทาง
ในขณะนี้ หนานหว่านเยียนไม่รู้เลยว่า หยีเฟยหลังจากฟื้นขึ้นมาแล้ว จะมีความผูกพันลึกซึ้งกับนาง…
หนานหว่านเยียนรีบรวบรวมข้อมูล นำหยีเฟยออกมาจากห้วงเวลา นำหยีไปวางไว้บนเตียง อย่างระมัดระวัง
นางถอดผ้าปิดปากและถุงมือ เดินไปที่ประตูด้วยแววตาที่เป็นประกาย กระซิบข้างนอกเบาๆ
“กู้โม่หาน เจ้าเข้ามานี้หน่อย ข้ามีอะไรจะพูดกับเจ้า”
กู้โม่หานยืนอยู่นอกห้อง เมื่อได้ยินดังนั้นร่างที่สูงใหญ่ก็สั่นเล็กน้อย และลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะหันหลังกลับ และผลักประตูเปิด
เขามองไปที่หนานหว่านเยียน “เจ้าพูดมาเถิด เสด็จแม่เป็นอย่างไรบ้าง”
หนานหว่านเยียนซ่อนรอยยิ้มในดวงตา เหลือบมองหยีเฟยที่อยู่บนเตียง หันไปหากู้โม่หานและพูดเบาๆ “หยีเฟยเหนียงเหนียง เริ่มตอบสนองแล้ว”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ กู้โม่หานก็ตกตะลึง “ตอบสนองแล้วหรือ? ”
คนผัก มีการตอบสนองอย่างไร? นี่มันก็เท่ากับว่า…
ทันใดนั้น เขาก็ตื่นเต้นเล็กน้อยขึ้นมาทันที มือที่ของเขาจับไหล่ของหนานหว่านเยียน และดวงตาสีเข้มของเขาจ้องมองนางด้วยความหวัง
“เจ้าบอกว่าเสด็จแม่ตอบสนองแล้ว นี่ก็หมายความว่าเสด็จแม่จะฟื้นขึ้นมาแล้วใช่หรือไม่?”
เขาใช้แรงมากจนข้อมือของเขาเป็นสีขาว
หนานหว่านเยียนเข้าใจความตื่นเต้นของเขา จึงไม่ได้ปัดมือเขาออก มองไปที่เขาแล้วกล่าวว่า
“คนผักไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะตื่นขึ้นมาเมื่อใด แต่เชื่อข้าอีกไม่นานแล้ว เพียงแค่ต้องคอยเรียกนางให้ฟื้นขึ้นมาเท่านั้น”
จะฟื้นอีกไม่นานแล้ว…
เสด็จแม่จะฟื้น!
ทันใดนั้นดวงตาของกู้โม่หานก็น้ำตาปริ่ม แดงเล็กน้อย ในหัวของเขานั้นว่างเปล่า
เขารอมานานกว่าสิบปี ได้ฟังความเป็นไปไม่ได้มานานสิบกว่าปี แต่หนานหว่านเยียนกลับบอกเขาว่าเป็นไปได้และ——
ใกล้ฟื้นแล้ว
ทันใดนั้นกู้โม่หานก็ดึงนางเข้ามาไว้ในอ้อมแขน โอบกอดเอวของนางอย่างแรง เขามีความสุขมาก และศีรษะก็ฝังเข้าไปในคอและไหล่ของนาง
“หนานหว่านเยียน ข้า…”