ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่391 หนานหว่านเยียน อย่าหลบหน้าข้าเลย
ทั้งที่เมื่อวานพวกเขาก็นัดกันไว้แล้ว จะต้องทำดีต่อท่านแม่ และทำให้ท่านแม่มีความสุข
ซาลาเปานอกจากจะโกรธแล้ว ก็ยังรู้สึกเสียใจมาก
นางไม่เข้าใจว่ามันคือความรู้สึกอะไร เหมือนกินเนื้อติดมันเยอะเกินจนเลี่ยนติดคอ จนรู้สึกอึดอัดไปทั้งกาย
“ทำไม ทำไมถึงรังแกท่านแม่แบบนี้……”
เกี๊ยวน้อยกอดน้องสาวไว้แน่น ปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน น้ำเสียงนั้นยังแฝงไปด้วยความไม่พอใจที่มีต่อกู้โม่หาน
“ซาลาเปาไม่ร้องไห้นะ! ในเมื่อในใจเขาไม่ได้มีท่านแม่เป็นหนึ่งถึง งั้นเขาก็ไม่ใช่พ่อของพวกเรา! พวกเราจะร้องไห้ไม่ได้เด็ดขาด”
ซาลาเปาก็เข้มแข็งขึ้น นางพยักหน้า จับแขนเสื้อของเกี๊ยวน้อยไว้ “อืม ท่านพี่ ข้ารู้แล้ว”
สองพี่น้องปลอบใจกันเองนอกห้อง ตอนนี้หนานหว่านเยียนฟื้นขึ้น ลุกขึ้นนั่งอย่างงัวเงีย
ได้ยินเสียง ซาลาเปาก็รีบเช็ดน้ำตา ลูบใบหน้าตัวเอง
เกี๊ยวน้อยเห็นอาการน้องสาวดีขึ้นแล้ว ก็จับมือนางเดินกลับห้อง พูดด้วยรอยยิ้มกับหนานหว่านเยียนว่า “ท่านแม่ตื่นแล้วเหรอ!”
หนานหว่านเยียนลุกขึ้น เห็นใบหน้านุ่มนิ่มสองก้อน ก็รู้สึกดีไปทั้งใจ นางกอดสองพี่น้องแล้วลงจากเตียง
“อืม วันนี้พวกเจ้าไปเล่นกับท่านปู่หมิงก่อน แม่ยังต้องไปรักษาให้พี่เสิ่นอี่ร์อีก”
นางทำสีหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น สองพี่น้องเห็นแล้วก็ยิ่งเป็นห่วง
“อืมๆ ท่านแม่ไปเถอะ!”
หนานหว่านเยียนล้างหน้าเสร็จ ก็อุ้มพวกนางขึ้นมา เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดินออกไป
หน้าประตู เซียงอวี้เซียงเหลียนกำลังยืนเฝ้าอยู่ เห็นหนานหว่านเยียนเดินออกมา เซียงอวี้ก็ตกใจ รีบหุบปากก่อนที่จะบ่นออกมาเยอะกว่านี้ มองหนานหว่านเยียนอย่างน้อยใจ “พระชายา”
เซียงเหลียนมองค้อนเซียงอวี้ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พระชายาทานข้าวเช้าก่อนเถอะเจ้าค่ะ”
หนานหว่านเยียนเห็นสีหน้าเซียงอวี้ผิดปกติ ก็เดาได้ว่าพวกนางคงรู้เรื่องที่กู้โม่หานให้นางช่วยหยุนอี่ร์โหรวแล้ว
แต่นางไม่ได้พูดอะไร แล้วส่ายหน้าต่อเซียงเหลียน “ข้าไม่หิว พวกเจ้าพาเด็กสองคนไปกินก่อน ข้าไปดูอาการเสิ่นอี่ร์ก่อน”
พูดจบ นางก็เดินออกไปทันที
เซียงอวี้เห็นแล้วก็รู้สึกปวดใจ ถอนหายใจหนักๆ พาสองพี่น้องไปกินข้าวเช้ากับเซียงเหลียน
น่าสงสารพระชายา ทำไมท่านอ๋องถึงไม่รู้จักรักษาไว้นะ
ท่านอ๋องจะต้องเสียใจทีหลังแน่
หนานหว่านเยียนมาถึงเรือนซีเฟิง รักษาเสิ่นอี่ร์ตามหน้าที่
ผ่านไปคืนหนึ่งแล้ว แผลของเสิ่นอี่ร์ไม่มีอาการติดเชื้อ พ้นขีดอันตรายแล้ว แต่แผลที่หัวของเขารักษายากหน่อย คงจะฟื้นไม่ได้เร็วๆนี้……
หนานหว่านเยียนมองดูเสิ่นอี่ร์ที่นอนสลบ กะพริบตา เงยหน้าขึ้น ก็เห็นพ่อบ้านเกายืนเคารพอยู่ข้างๆนางแล้ว
“พระชายา เมื่อวานบ่าวเสิบสานต่อท่าน ขอท่านลงโทษด้วย”
หนานหว่านเยียนเหลือบตามองเขา แล้วพูดอย่างเย็นชา “ข้ารู้ว่าเจ้าลำบากใจ ไม่เป็นไรหรอก”
แต่สายตานางก็หันไปเห็นข้อมือที่พันแผลไว้ของพ่อบ้านเกา แล้วถามไปว่า “พ่อบ้านเกาเป็นยังไงบ้าง?”
พ่อบ้านเกาเม้มริมฝีปากเงียบๆอย่างรู้สึกผิด
“บ่าวหนังหนา ไม่เป็นไรมากหรอก แต่องครักษ์เสิ่นน่ะสิ เพื่อปกป้องบ่าวกับพระชายารองหยุน เลยต้องบาดเจ็บหนักขนาดนี้”
หนานหว่านเยียนเห็นสีหน้าของพ่อบ้านเกา ไม่อยากจะเชื่อว่าคนแบบนี้จะผิดปกติ แต่นางก็ต้องระวังเอาไว้
“องครักษ์เสิ่นดีขึ้นมากแล้ว แต่บาดเจ็บที่หัวหนักไปหน่อย น่าจะหายยาก ช่วงนี้คงจะไม่ฟื้นง่ายๆ”
พูดจบ นางก็หรี่ตามองพ่อบ้านเกา
พ่อบ้านเกาพยักหน้าอย่างปวดใจ “บ่าวทราบแล้ว พระชายาคงลำบากแย่”
“เมื่อคืนท่านอ๋องเฝ้าพระชายารองหยุนทั้งคืน พระชายารองหยุนเป็นไข้ไม่หาย ท่านจะ……”
หนานหว่านเยียนยังสังเกตอาการสีหน้าของพ่อบ้านเกา พอได้ยินเรื่องกู้โม่หาน สีหน้าก็มืดมนลง สายตาเย็นชาทันที
“ไม่ไป ข้าจะกลับเรือนเซียงหลิน”
“พระชายา……” พ่อบ้านเกากำลังจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา
แต่หนานหว่านเยียนเพิ่งเดินไปถึงหน้าประตู ก็มีเงามืดครอบงำ นางเงยหน้าขึ้น กู้โม่หานสีหน้าซีดเซียวและเย็นชา ใต้ตาก็ดำคล้ำมาก
เลือดที่เปื้อนอยู่บนเสื้อสีดำของเขาก็แห้งหมดแล้ว ตอนนี้ดูปกติไม่มีอะไรผิดแปลก
นางชะงักฝีเท้า
กู้โม่หานที่เห็นนางก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป จิตใจสับสน
พ่อบ้านเกาก็เดินออกไปอย่างรู้ตัว และไม่กล้าพูดอะไรมาก
หนานหว่านเยียนขมวดคิ้ว เดินอ้อมชายหนุ่มตัวสูงโปร่งตรงหน้า กำลังจะก้าวเท้าออกไป ก็ถูกกู้โม่หานคว้าข้อมือไว้แน่น
“หนานหว่านเยียน อย่าหลบหน้าข้าเลย……”