ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 438 อคติ
หวางหมัวมัวที่อยู่ใกล้กับหยีเฟยมากที่สุดตื่นตระหนกพลัน ตกใจจนคว้ามือหยีเฟยเอาไว้ “เหนียงเหนียง เหนียงเหนียง ทรงเป็นอะไรไปเพคะ? อย่างทำให้บ่าวตกใจสิเพคะ!”
กู้โม่หานพุ่งตัวเข้าไป เรียกไม่หยุด “เสด็จแม่ เสด็จแม่ ทรงฟื้นสิพ่ะย่ะค่ะ!”
ขนาดเขาไม่ได้พูดถึงจวนเฉิงเซี่ยงสักเท่าไร แค่พูดแซ่เฉยๆ เสด็จแม่ก็หมดสติไปแล้วหรือ?!
ตอนนั้นเสด็จแม่ต้องทรมานแค่ไหนกัน แค่แซ่ก็ทำให้เสด็จแม่หวาดกลัวถึงขนาดนี้แล้ว!
หนานหว่านเยียนก็อึ้งอยู่บ้างเหมือนกัน พอได้สติจึงรีบจับชีพจรให้หยีเฟย จิตใจว้าวุ่นอยู่บ้าง
คิดไม่ถึงว่ากู้โม่หานแค่พูดถึงหนานเฉิงเซี่ยงคำเดียว หยีเฟยก็เป็นลมไปแล้ว ดูท่าจะมีอคติกับตระกูลหนานมากมายนัก
หวางหมัวมัวมองด้วยจิตใจตุ้มๆ ต่อมๆ จะหอบหายใจสักคราก็ยังไม่กล้า “พระชายา เหนียงเหนียงทรงเป็นอย่างบ้างเจ้าคะ?”
กู้โม่หานมองหนานหว่านเยียน สีหน้าซีดขาวไปบ้าง หนานหว่านเยียนตอบ “เสด็จแม่เพิ่งฟื้น พระวรกายยังอ่อนแอ ตกพระทัยเล็กน้อยจึงหมดสติไปน่ะ”
ถึงอย่างไรก็เป็นคนผักมาสิบกว่าปี ร่างกายอ่อนแอจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะรับกับความกระทบกระเทือนทางจิตใจไม่ได้
ครั้นหวางหมัวมัวได้ฟังก็รีบถาม “เช่นนั้นเหนียงเหนียงจะยังฟื้นขึ้นมาได้หรือไม่เจ้าคะ?”
ถ้าเป็นการดีใจเก้อ เช่นนั้นท่านอ๋องจะทำอย่างไร!
หนานหว่านเยียนมองหวางหมัวมัว “ย่อมฟื้น นี่เป็นการหมดสติเวลาสั้นๆ เท่านั้น”
ครั้นได้ฟัง หวางหมัวมัวจึงเพลาใจ แต่ก็ยังรู้สึกหมดเรี่ยวแรงอยู่บ้าง นั่งเผละลงกับพื้น
แค่ช่วงเวลาเดี๋ยวเดียว กู้โม่หานราวกับประสบกับความผันผวนอย่างหนัก เกิดอารมณ์ซับซ้อน
เขามองหยีเฟยที่หมดสติไปอีกครั้ง เม้มริมฝีปากเหยียดเป็นเส้นตรง
เป็นเพราะเสด็จแม่ตกใจถึงได้หมดสติ นางถูกเฉิงเซี่ยงทำร้ายจนเป็นแบบนี้ แต่เขากลับ…กับบุตรสาวของศัตรู
เป็นเขาที่อกตัญญู
บรรยากาศในห้องอึดอัดขึ้นมาทันที ไม่มีคนกล่าววาจาชั่วขณะ
หวางหมัวมัวและกู้โม่หานต่างมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก ส่วนเซียงเหลียนก็ระมัดระวังตัว มีแต่หนานหว่านเยียนเท่านั้นที่ยังสงบนิ่งเหมือนเดิม
นางรู้ ท่าทางของหยีเฟยเมื่อครู่คือหวาดกลัว ไม่ชอบนางอย่างชัดเจน นั่นอาจเป็นเพราะนางคือคนของตระกูลหนาน
แต่แบบนี้ก็ใช่จะไม่เป็นเรื่องดี นางกับกู้โม่หานมีความแค้นมาแต่รุ่นก่อน กู้โม่หานชอบหยุนอี่ว์โหรว หยีเฟยฟื้นขึ้นมายังมีท่าทีอย่างนี้อีก ดูท่าเรื่องหย่าร้างคงจะแน่เหมือนแช่แป้งแล้ว!
ขอเพียงนางลอบช่วยกู้โม่หานชิงอำนาจได้สำเร็จ เช่นนั้นก็มั่นใจได้ อีกไม่นานนางก็จะได้โบยบินเป็นอิสระแล้ว!
“หมัวมัว” หนานหว่านเยียนทำลายบรรยากาศตึงเครียด มองหวางหมัวมัว “เรื่องที่เหนียงเหนียงทรงฟื้นแล้วอย่าเพิ่งแพร่งพรายออกไปนะ พระวรกายยังอ่อนแออยู่มาก จะพบแขกหรือพูดไม่ได้ ตอนนี้พระนางยังอาจต้องนอนอีกวันสองวัน ท่านเตรียมของที่ใช้ในการฟื้นฟูร่างกายสักหน่อย แตะๆ พระโอษฐ์เสด็จแม่ทุกหนึ่งเค่อโดยประมาณ”
หวางหมัวมัวรับคำ “เจ้าค่ะ พระชายา”
หนานหว่านเยียนวาดภาพหลายภาพให้หวางหมัวมัว การฟื้นฟูร่างกายของคนผักนั้นไม่ง่ายเลย อุปกรณ์ที่ต้องใช้มีมากยิ่งนัก
หวางหมัวมัวดูไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่ามันใช้อะไรได้ กู้โม่หานกวาดตามองแวบหนึ่งแล้วกล่าวกับหวางหมัวมัว “ให้พ่อบ้านไปเตรียมเถอะ ไม่ต้องบอกว่าจะใช้ทำอะไร”
“เจ้าค่ะ ท่านอ๋อง” หวางหมัวมัวรับคำแล้วรีบไปเตรียม เซียงเหลียนเห็นดังนั้นจึงตามออกไปด้วย
กระทั่งหวางหมัวมัวและเซียงเหลียนจากไปแล้ว กู้โม่หานก็มองหนานหว่านเยียนทีหนึ่ง ความลุ่มลึกในดวงตาเย็นชาหนักอึ้ง ราวกับกำลังเก็บกดอะไร “เรื่องของเสด็จแม่ต้องลำบากเจ้าต่อแล้ว”
หนานหว่านเยียนมองเขาชืดๆ ทีหนึ่ง “เดิมความร่วมมือของพวกเราก็มีเงื่อนไขนี้ การช่วยเสด็จแม่เป็นเรื่องที่ข้าสมควรทำอยู่แล้ว”
“แต่ในเมื่อตอนนี้เสด็จแม่ก็ทรงฟื้นแล้ว ความคืบหน้าของพวกเราสองคน ก็สมควรเพิ่มความเร็วแล้วใช่หรือไม่?”
ดวงหน้าหล่อเหลาของกู้โม่หานปราศจากริ้วอารมณ์ “เจ้ามีความเห็นอย่างไร?”
หนานหว่านเยียนไม่อ้อมค้อม กล่าวตามตรง “ข้ารู้ ตอนนี้จวนเฉิงเซี่ยงเกิดเรื่อง ลูกชายท่านมหาบัณฑิตก็ถูกเนรเทศแล้ว พระชายาเฉิง อ๋องเฉิง ฮองเฮา คนฝ่ายนี้ก็พลอยติดร่างแหไปกันหมด ในราชสำนักต้องมีคนเริ่มนั่งไม่ติด จิตใจหวั่นไหวแล้วแน่”
กู้โม่หานจดจ้องหนานหว่านเยียน มองหน้าสวยขาวเนียนของนาง เม้มริมฝีปากน้อยๆ
“อือ การที่จวนเฉิงเซี่ยงเกิดเรื่องอย่างนี้ ทำให้หลายๆ คนนั่งไม่ติดแล้วจริงๆ นอกจากคนสนิทของเฉิงเซี่ยง ขุนนางจำนวนมากบ้างมองดู บ้างหาร่มเงาอื่น”
หนานหว่านเยียนนัยน์ตาขยับเล็กน้อย “นี่ก็คือโอกาส ตอนนี้ท่านดึงอิทธิพลของเฉิงเซี่ยงมาเพิ่มให้กับตัวเองได้เลย”
หนานหว่านเยียนเห็นเขาไม่คัดค้านจึงกล่าวต่อ “อีกอย่าง ก่อนหน้านี้เจ้ากับข้าก็ร่วมมือกับขุนนางทั้งหลายสำเร็จแล้ว พวกเขาก็คือกำลังเสริมของเรา รวมกับอิทธิพลของจวนกั๋วกง ถ้าเทียบกับเมื่อก่อน เรามีรากฐานแล้ว เป็นเรื่องดี”
“พวกเราต้องฉวยโอกาสตอนนี้ที่กำลังวุ่นวายออกตัวจู่โจม มิเช่นนั้นถ้าพลาดโอกาสนี้ไป จะได้ไม่คุ้มเสีย”
อีกอย่างถ้ามองราชสำนัก ขอเพียงอ๋องเฉิงตรวจสอบการลอบสังหารเขาจนรู้แน่ชัดได้แล้ว เขาก็ไม่น่าเป็นศัตรูของกู้โม่หานอีก
องค์ชายสิบซื่อ องค์ชายสิบสามยังเยาว์ ดูแล้วไม่มีความทะเยอทะยานอะไร ตอนนี้คนที่เป็นไปได้มากที่สุดว่าจะเป็นศัตรูของกู้โม่หานก็คือท่านอ๋องเจ็ด
ทำงานลับๆ ล่อๆ พูดจาไม่มีช่องโหว่ ทำงานมีไหวพริบ ไม่ล่วงเกินผู้ใดทั้งนั้น คนประเภทนี้แผนร้ายยิ่งนัก จะประมาทไม่ได้
แต่ก็เป็นแค่การคาดเดาของนางเท่านั้น ยังไม่มีหลักฐาน
กู้โม่หานมองหนานหว่านเยียนแบบตาไม่กะพริบอยู่อย่างนี้ แววตาเย็นลึก มืดมน
“เจ้ารู้เยอะเหมือนกันนี่”
หนานหว่านเยียนเลิกคิ้ว รู้สึกเหมือนว่าเขาจะไม่ค่อยพอใจ แต่นางก็คร้านจะสนใจอารมณ์ของเขา
“พวกเราคือผู้ร่วมงานกัน การที่ข้ารู้จักสถานการณ์ก็เป็นเรื่องดีกับเจ้า ไม่อย่างนั้นก็เป็นตัวถ่วงนะสิ?”
ถ้านางไม่เป็นอะไรเลย แล้วจะช่วยเขาชิงอำนาจได้อย่างไร และถ้าชิงอำนาจไม่ได้ เช่นนั้นจะไปจากที่แย่ๆ นี่ได้อย่างไร
อันที่จริงหนานหว่านเยียนพูดถูกมาก แต่จู่ๆ กู้โม่หานก็อารมณ์ไม่ดียิ่งกว่าเดิม
เขาเกลียดท่าทางที่หนานหว่านเยียนเอาแต่คิดจะแยกทางกับเขา พาลูกไปไกลสุดหล้าฟ้าเขียว ทุกครั้งที่เห็นจึงอดเกิดโทสะไม่ได้
แต่พอนึกถึงเสด็จแม่ นึกถึงความทรมานที่เสด็จแม่ได้รับในหลายปีนี้เกี่ยวข้องกับบิดาของนาง เขาก็หักห้ามอารมณ์ปั่นป่วนของตัวเองเสีย เอ่ยเสียงเย็น “เรื่องในราชสำนัก ข้าย่อมรู้จักความพอดี ไม่ต้องให้เจ้าพูดมาก…”