ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 444 อย่าอยู่ใกล้ข้ามากขนาดนี้
เมื่อคืนเหนื่อยหรือ?
ก็เป็นคู่สามีภรรยากันจะทำอะไรได้บ้างในตอนกลางคืน?
ร่างกายของหนานหว่านเยียนแข็งทื่อ ไม่รู้ว่าตอนนี้ก็จะกลับบ้านแล้ว ทำไมกู้โม่หานถึงตั้งใจพูดแบบนี้ แต่ก็ไม่สามารถพูดอะไรได้อีก นางจึงแค่แสร้งทำเป็นเขินอายและฝังหัวของเขาไว้ในแขกอกของเขา
กู้โม่หลิงก็เพิ่งเห็นว่ามีรอยจูบที่ชัดเจนตรงที่กระดูกไหปลาร้าของหนานหว่านเยียน คิ้วของเขาขมวดลงไปเล็กน้อย แต่เขายิ้มและพูดว่า “ถ้านั้นน้องเจ็ดก็ส่งถึงที่นี่แล้ว เสด็จพี่หกและพี่สะใภ้หก เวลากลับระวังด้วยนะครับ”
“อืม” ใบหน้าของกู้โม่หานสงบนิ่ง แต่แววตามืดมนและร้ายกาจ เขาอุ้มหนานหว่านเยียนขึ้นไปที่รถม้าแล้วพูดว่า “กลับจวน”
กู้โม่หลิงมองไปที่รถม้าที่วิ่งอยู่ข้างหน้าด้วยดวงตาที่มีรอยยิ้มและโบกมือ “ไว้คราวหน้าถ้ามีโอกาส ขอโปรดเชิญเสด็จหกและพี่สะใภ้หกมาเยี่ยมอีกครั้ง!”
รถม้าหายไปในสายตาของกู้โม่หลิง รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาดูยิ่งมากขึ้น แต่ทำให้หลินเซี่ยวเย่รู้สึกหวาดกลัว
ยิ่งเจ้านายยิ้มสดใสเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้สยองขวัญมากขึ้นเท่านั้น
เขาขมวดคิ้วและถามกู้โม่หลิงอย่างจริงจัง
“เจ้านาย อ๋องอี้และพระชายาอี้สองคนช่างรัดกุมจริงๆ ปิดปากได้แน่นจริง ๆ ไม่ได้ถามข้อมูลออกสักหน่อย และก็ไม่ได้ทำให้คู่นี้แยกใจกัน เราจะต้องทำอย่างไรต่อ”
กู้โม่หลิงค่อยๆ หยิบด้ามจิ้วออกมาเขย่า จากนั้นหันหลังกลับเดินเข้าไปในจวน “ไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลย”
เขารู้อยู่แก่ใจแล้ว
ในรถม้า หลังจากที่หนานหว่านเยียนถูกเขาอุ้มขึ้นไปในรถม้า นางก็รีบกระโดดลงจากตัวกู้โม่หาน
นางนั่งตรงข้ามกับกู้โม่หาน แล้วขมวดคิ้วมองเขาด้วยความ สงสัย “เมื่อกี้จู่ ๆเจ้ามากอดข้าทำไม”
พวกเขาออกไปไกลแล้ว จึงไม่ต้องกังวลว่าคนอื่นจะได้ยิน
กู้โม่หานชำเลืองมองที่นาง ดวงตาสีเข้มของเขาเต็มไปด้วยความเย็น “เจ้าไม่ได้ยินหรือว่าเมื่อกี้กู้โม่หลิงพูดอะไร”
“เขาสงสัยอย่างเปิดเผยแล้ว เขาคิดว่าคู่เราไม่ถูกกัน หากเราทำตัวดูไม่เหมือนเลย และแค่พูดชวนให้เขาเชื่อ เกรงว่าเจ้ากับข้าคงจะให้เขาดูออกแล้ว”
หนานหว่านเยียนจ้องที่กู้โม่หานที่เหมือนภูเขาน้ำแข็งซึ่งอยู่ตรงข้ามกันอย่างสงสัย “ก็เชื่อเจ้าละกัน”
กู้โม่หานพูดอย่างลวก ๆ อีกว่า “ต่อไป เจ้ากับข้าอยู่ในจวนก็ต้องแสร้งทำตัวแล้ว”
“ทำไมพูดแบบนี้?”
กู้โม่หานชำเลืองมองที่หนานหว่านเยียนและพูดด้วยอย่างมีเหตุมีผล
“คนทั้งใต้หล้าต่างก็รู้ว่าเมื่อก่อนข้าเข้ากับเจ้าไม่ได้ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นรักใคร่มากพอสมควร ถ้ากู้โม่หลิงไม่เชื่อ คนอื่นก็ไม่มีทางที่จะเชื่อ นอกจากนี้ ยังมีการเรื่องเกิดขึ้นในจวนเฉิงเซี่ยงด้วยเมื่อเร็วๆ นี้เอง ถึงอย่างไรเจ้าก็ยังเป็นลูกสาวของเฉิงเซี่ยง ข้ากับเฉิงเซี่ยงหมางเมินกันอยู่เสมอ และพวกเขาจะคอยจับตาดูพวกเราเพื่อจับว่าเรามีอะไรผิดปกติหรือไม่”
หนานหว่านเยียนขมวดคิ้ว “จะถึงขนาดไหน? อย่ามากเกินไป ข้าจะไม่ยอมนอนเตียงเดียวกับเจ้าแน่!”
ทันใดนั้นดวงตาสีดำของกู้โม่หานก็ส่องแสงสีเข้ม
“นั่นไม่จำเป็น แต่ข้าต้องเข้ามาในเรือนของเจ้า” เขามองไปที่หนานหว่านเยียน พร้อมลูบนิ้วเรียวของเขา “อย่าลืม เรื่องการได้รับบาดเจ็บของเสิ่นอี่ว์ ยังไม่ได้เจอคนที่อยู่เบื้องหลังเลย”
“คนนั้นไม่ได้ฆ่าเสิ่นอี่ว์ซึ่งหมายความว่าเขามีความมั่นใจมากพอว่าความจริงจะไม่ถูกเปิดเผย และเขาจะส่งคนมาติดตามเราอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นในจวน เจ้าก็ต้องร่วมมือกับข้าในระดับหนึ่ง”
“เวลาแบบนี้จะอยู่ได้ไม่นาน แค่รอที่เสิ่นอี่ว์สามารถฟื้นตัวขึ้นมาได้”
เมื่อพูดถึงเสิ่นอี่ว์ แววตาของหนานหว่านเยียนก็มืดมนลง
เรื่องที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการจะให้เสิ่นอี่ว์ตื่นให้เร็วที่สุด
“ในจวน ข้าร่วมทำตัวกับเจ้าได้ แต่คำพูดที่ไม่น่าฟังต้องมาก่อน”
นางมองไปที่กู้โม่หานด้วยแววตาเย็นชา
“กู้โม่หาน เจ้ามาท้าทายเส้นของข้ามาหลายครั้งแล้ว ข้าหวังว่าเจ้าจะรักษาสัญญาไว้และถ้าไม่จำเป็นก็อย่ามาแตะต้องข้า ข้ามีวิธีอยู่เยอะถ้าอยากให้ผู้ชายไม่มีสมรรถภาพทางเพศได้ ถ้าเจ้ากล้าที่จะทำอะไรกับข้าอีก ข้าก็จะให้เจ้าเป็นขันทีตลอดไป”
กู้โม่หานยกหางตาที่บอบบางขึ้น “เจ้านี่สมกับชื่อว่าผู้หญิงห้าวดุจริงๆ”
หนานวานยิ้มอย่างมีเลศนัย “ขอบคุณสำหรับคำชมด้วย”
กู้โม่หานจ้องที่ใบหน้าสวยและตาคมของนาง และลดสายตาลงรับข้อเสนอของนาง
“ถ้าไม่จำเป็น ข้าจะไม่แตะต้องเจ้าเหมือนเมื่อคืนนี้… เวลาข้าเสียสติ ข้าจะควบคุมตัวเองไม่ได้ ข้าอยากขอโทษเจ้าด้วย ต่อไป ข้าจะไม่เมาอีกและจะไม่รังแกเจ้าอีกด้วยเช่นกัน”
เสียงของเขาทุ้มและไพเราะ เขาก็ยิ่งดูน่ารักและสุภาพดี หนานหว่านเยียนมึนงงเล็กน้อยอยู่ครู่หนึ่งโดยสงสัยว่าเรื่องที่เขาพูดเป็นความจริงหรือไม่
อย่างไรก็ตาม แต่การกล่าวขอโทษของเขา ใบหน้าของเขาดูเหมือนจริงใจอยู่ แต่คำพูดกลับทำให้นางรู้สึกว่าเขาไม่ได้สำนึกผิดจริง ๆ “จำที่เจ้าพูดไว้”
หนานหว่านเยียนไม่อยากพูดเยอะเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ เมื่อใดก็ตามที่พูดถึง ก็สามารถนึกถึงแววตาที่ร้อนแรงของเขา และคำพูดที่ทรงพลังและสื่อการครอบครองของเขา
นางเล่นกับห่วงหยกที่ผูกรอบเอวของนางและเปลี่ยนเรื่อง “หลังจากวันนี้ที่ได้โต้ตอบกับกู้โม่หลิง เจ้าคิดอย่างไรกับอ๋องเจ็ดคนนี้”
“ความคิดยากที่คาดเดาได้ จ้องมองที่หนานหว่านเยียน “ไม่ใช่คนดีเลย”
ครั้งที่แล้ว หลังจากที่เขาและหนานหว่านเยียนเข้าร่วมงานเลี้ยงของวันเทศกาลดอกไม้ที่จัดขึ้นในวัง พอเขากลับบ้านมาและพบว่าเจ้าตัวน้อยทั้งสองโดนการลอบสังหาร ตอนนั้น เขาก็คิดว่าน่าจะเป็นคนที่อยู่ในวัง แต่ยังไม่ได้คิดดี ๆว่าจะเป็นใครกันแน่
ถ้าคิดตอนนี้ ชีกุ้ยเฟยพูดเยอะที่สุดในคืนนั้น และนางพุ่งเป้าไปที่เขาและหนานหว่านเยียนเกือบทุกเรื่อง และกู้โม่หลิงก็เป็นลูกชายของชีกุ้ยเฟย จึงยากที่จะไม่เอามาโยงร่วมกัน
แถมเขาถูกลอบสังหารโดยคนจากสำนักอู๋หยิ่งระหว่างทางกลับจวนอ๋องหลังจากที่เขาขึ้นเป็นมกุฎราชกุมาร
ข่าวกระจายไวมาก ต้องมีคนแอบบอกไปแน่ๆ
มีข้อสงสัยมากมายในตัวกู้โม่หลิง
หนานหว่านเยียนก็พยักหน้าซึ่งเป็นที่ไม่ค่อยได้เห็นว่าจะมีความคิดเห็นตรงกัน และเอนหลังเปลี่ยนท่าที่สบายกว่า “ข้าก็คิดว่ากู้โม่หลิงคนนี้ไม่ใช่คนที่ไม่แยแสเลย”
“แม้ว่าจวนเขาจะมีแต่ดอกไม้กอหญ้าต่าง ๆ แต่พุ่มหนามผืนนั้นน่าสงสัยเกินไป แม้ว่าจะถูกเขาและองครักษ์ของเขาปกปิดไว้ แต่ข้าก็ยังคิดว่ามีความจำเป็นต้องตรวจสอบที่นั่นอีก และ…”
ทันใดนั้น ร่างกายของกู้โม่หานเอนไปข้างหน้าเข้าหานางหน่อยหนึ่งโดยมีบางอย่างถูกระงับในดวงตาของเขา
เขาอยู่ใกล้นางในทันใด หนานหว่านเยียนรู้สึกกลัวเล็กน้อยโดยสัญชาตญาณ นางลุกขึ้นนั่งตรงตัวอย่างกะทันหัน ทำให้ห่วงหยกรอบเอวของเขาสองคนชนกัน เสียงคมชัดดังขึ้นมา ฟังกุ๊กกิ๊ก
เขาไม่ถอยแม้แต่นิดเดียวเลย ลมหายใจของสองคนสัมพันธ์กัน ถ้าจะอยู่ใกล้อีกหน่อยหนึ่งก็จะจูบกันได้ละ
แววตาของหนานหว่านเยียนมีความตื่นตระหนกปรากฏขึ้นมา นางผลักเขาออกโดยไม่รู้ตัวและป้องกันปิดกั้นตัวเองไว้
“กู้โม่หาน จู่ๆ เจ้าเข้าใกล้กับข้าขนาดนี้ทำไม”