ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 457 เอาใจนาง
แต่ทางตำหนักหลวนเฟิ่ง พอหนานหว่านเยียนกับกู้โม่หานรอให้ฮ่องเต้จากไปแล้ว กู้โม่หานก็ออกไปตรวจสอบดูอีกรอบ พอแน่ใจว่าไม่มีคนสอดแนมอะไรที่น่าสงสัยแล้ว ถึงกลับมาที่ตำหนักบรรทมของไทเฮา
เขามองไปด้านในทีหนึ่ง ก็พบว่าหนานหว่านเยียนกำลังเช็ดหน้าและแขนขาให้กับไทเฮาอยู่ หลี่หมัวมัวยืนช่วยเป็นลูกมืออยู่ข้าง ๆ
กู้โม่หานไม่ได้เดินเข้าไป แต่มายืนพิงอยู่ตรงทับหลังของประตู ดวงตาคมหรี่ลงเล็กน้อย ความลึกในดวงตาทำให้มองไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่
ผ่านไปพักหนึ่ง เขาก็ได้ยินหนานหว่านเยียนที่อยู่ในห้องพูดกับหลี่หมัวมัวขึ้นเบา ๆ ว่า “ตอนนี้ถึงแม้อาการของเสด็จย่าจะคงที่แล้ว แต่ก็ยังไม่พ้นขีดอันตราย อาจจะเกิดอาการชักเกร็ง หรืออาเจียนขึ้นมาได้ทุกเมื่อ”
“ช่วงเวลานี้ให้เสด็จย่านอนหลับพักผ่อนและคอยรักษาความอบอุ่นเอาไว้ ข้าจะคอยอยู่ดูแลที่นี่เอง หลี่หมัวมัว ท่านออกไปพักผ่อนก่อนเถอะ”
ตอนนี้แม้แต่ตำหนักหลวนเฟิ่งของไทเฮาก็ไม่ปลอดภัยอีกต่อไปแล้ว
หนานหว่านเยียนคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าทั้งในวังและนอกวังมันมีที่ไหนที่ปลอดภัยบ้าง ขนาดไทเฮายังเป็นเช่นนี้ แล้วลูกของนางเป็นหนามทิ่มแทงใจของทุกคน อยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายเป็นอย่างมาก……
จะต้องรีบหาโอกาสให้ได้ แล้วรีบจากไปซะ
หลี่หมัวมัวมองเห็นหนานหว่านเยียนตรงหน้าที่มีใบหน้าอิดโรย ในดวงตาแวววาวยังมีแววที่พักผ่อนไม่เพียงพอ
นางขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วส่ายหน้าและพูดขึ้นว่า “ขอบคุณพระชายามาก แต่เรื่องดูแลปรนนิบัติไทเฮาเหนียงเหนียง มอบให้เป็นหน้าที่ของบ่าวดีกว่า บ่าวว่าตอนนี้ท่านดูมีทาทีที่ไม่ค่อยดีนัก ระวังอย่าให้เหนื่อยมากไปนะเจ้าค่ะ”
หนานหว่านเยียนถอนหายใจออกมาคำหนึ่ง “ไม่เป็นไรหรอก ให้ข้าทำก็พอแล้ว ฤทธิ์ของพิษแบบนี้ ถ้าจะกำเริบขึ้นมา ก็เป็นเรื่องแค่ไม่กี่นาที ระยะทางไป ๆ กลับ ๆ อาจจะทำให้สูญเสียโอกาสที่ดีที่สุดในการรักษาไปก็ได้”
ทีแรกกู้โม่หานไม่ได้อยากจะพูดอะไร แต่พอได้ยินหนานหว่านเยียนไม่ยอมไปพักผ่อนสักที ในที่สุดก็อดไม่ได้ จึงหมุนตัวเดินเข้าไปข้างใน
คิ้วเรียวราวดาบของเขาเคร่งขรึมลงเล็กน้อย จ้องมองไปที่ใบหน้าเรียวของหนานหว่านเยียน “ถ้าร่างกายเจ้าทรุดไป ก็จะไม่มีคนช่วยชีวิตเสด็จย่าแล้วนะ”
หลี่หมัวมัวจ้องมองกู้โม่หานทีหนึ่ง แล้วรีบพูดอย่างเห็นด้วยขึ้นว่า “ใช่ พระชายา ถ้าท่านไม่สบายไปด้วย งั้นพอไทเฮาเหนียงเหนียงฟื้นขึ้นมา จะต้องปวดใจแน่นอน”
“ตอนนี้ไม่มีปัญหาใหญ่แล้ว บ่าวอยู่เองก็ได้ ท่านกับอ๋องอี้ไปพักผ่อนที่ตำหนักข้าง ๆ ดีกว่า ตำหนักข้าง ๆ ใกล้กับที่นี่มาก ถึงจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา ก็ไม่มีทางทำให้เสียเวลามากนักหรอก”
ทั้งสองคนต่างก็เกลี้ยกล่อมนาง หนานหว่านเยียนมองไปที่ไทเฮาที่นอนอยู่บนเตียงด้วยสายตาซับซ้อน แล้วยื่นมือไปช่วยตรวจชีพจรให้นางดู พอมั่นใจว่าจะไม่มีโอกาสอาการกำเริบแล้ว นางจึงพยักหน้าเล็กน้อย “ก็ได้ งั้นรบกวนหลี่หมัวมัวด้วยนะ”
“ถ้าเสด็จย่าฟื้นขึ้นมาแล้ว ช่วยมารายงานข้ากับท่านอ๋องเป็นอันดับแรกด้วยนะ”
“บ่าวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” หลี่หมัวมัวคำนับให้ทั้งสองท่านอย่างนอบน้อม
หนานหว่านเยียนไม่ได้พูดอะไรอีก พอมองไปที่กู้โม่หานทีหนึ่งแล้ว ก็เดินตามนางกำนัลไปที่ตำหนักข้างเคียงเลย
กู้โม่หานจ้องมองไทเฮาเล็กน้อย จากนั้นก็เดินตามไปด้วย
ตำหนักข้างเคียงใกล้กับตำหนักบรรทมของไทเฮามากจริง ๆ แค่ห่างกันประมาณหนึ่งร้อยเมตรเท่านั้น
พอกู้โม่หานเข้าห้องมาแล้ว ก็ปิดประตูลงด้วย
เขาหันหน้าไปก็เห็น หนานหว่านเยียนกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะ ข้อศอกเท้าโต๊ะเอาไว้ แล้วนวดขมับไปอย่างไร้เรี่ยวแรง
ภายใต้แสงเทียนส่องสว่าง เงาของหนานหว่านเยียนดูบอบบางและผอมแห้ง ใจของเขารู้สึกจี๊ดขึ้นมา และไปนั่งลงที่โต๊ะด้วย
“ยังไม่ไปนอนพักอีก หรือจะให้ข้ามากล่อมเจ้าหรือ?”
หนานหว่านเยียนกลับไม่ได้เงยหน้ามองเขา แค่ขมวดคิ้วแล้วพูดอย่างเรียบเฉยไปประโยคหนึ่ง “ใครใช้ให้ท่านมากล่อมกัน วันนี้ท่านนอนเตียงเถอะ ข้าจะฟุบนอนตรงนี้ เผื่อว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเสด็จย่า จะได้วิ่งได้เร็วหน่อย”
นางไม่กะจิตกะใจจะไปแย่งเตียงกับกู้โม่หาน ยิ่งไม่มีเรี่ยวแรงจะไปโต้เถียงกับเขา
เมื่อไม่มีคนแย่งกับเขาแล้ว กู้โม่หานก็น่าจะไม่ต้องเบื่อนางแล้ว
“คนขาสั้นไม่ว่าจะนอนหรือนั่งอยู่ ก็วิ่งช้าเหมือนกันทั้งนั้น”
กู้โม่หานขมวดคิ้วขึ้นมาเงียบ ๆ เหล่มองหนานหว่านเยียนทีหนึ่ง “ถือโอกาสตอนที่ข้ายังไม่ได้เปลี่ยนใจ เจ้าสามารถไปนอนบนเตียงได้”
คนคนนี้นี่ตกลงมีหัวใจหรือเปล่านะ?
หนานหว่านเยียนแทบจะกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง
แต่พอลองคิดดูแล้ว นี่มันมีประโยชน์ต่อนาง นางจ้องมองไปที่กู้โม่หาน “นี่ท่านเป็นคนไม่เอาเตียงเองนะ ถึงเวลาอย่ามาหาว่าข้าแย่งเตียงท่านไม่หยุดล่ะ”
พูดจบ หนานหว่านเยียนก็เดินไปนั่งลงบนเตียง แล้วยื่นเท้าออกไปวาดเส้นตรงข้างเตียงเส้นหนึ่ง แล้วยิ้มแฉ่งและพูดกับกู้โม่หานขึ้นว่า “ตรงนี้ ถ้าท่านกล้าเหยียบเข้ามาก้าวหนึ่ง ข้าก็จะทำให้ขาท่านพิการไปเลย”
กู้โม่หานคลี่ยิ้มเล็กน้อย แล้วหัวเราะออกมาคำหนึ่งอย่างดูถูก “เจ้าวางใจเถอะ ข้าไม่มีอารมณ์ต่อผู้หญิงน่าเกลียดที่มีขอบตาดำคล้ำอย่างหนักราวกับคนไปขุดถ่านหินหรอก”
พูดจบ เขาก็ลุกขึ้นไปเอาผ้านวมผืนหนึ่งในตู้ออกมาปูบนพื้น โดยไม่ได้สนใจเลยว่าสีหน้าของหนานหว่านเยียนที่อยู่บนเตียงจะแปลกประหลาดมากแค่ไหน แล้วก็นอนลงไปเองเลย
“ท่านต่างหากที่เหมือนคนขุดถ่านหิน! ข้าไม่มีทางมีขอบตาดำที่หนักขนาดนี้หรอก!” หนานหว่านเยียนถูกคำพูดของกู้โม่หานทำให้จุกอกไปเลย แต่ก็เพราะด้วยเหตุนี้ ความตื่นเต้นและความกังวลที่ก่อตัวอยู่ในใจนางจึงได้ลดลงไปไม่น้อย
พอร่างกายผ่อนคลายลง นางก็รู้สึกว่าหนังตาหนักอึ้งมาก
หนานหว่านเยียนค้อนใส่ผู้ชายอย่างแรงทีหนึ่ง แล้วดึงผ้าห่มออกและนอนลง ไม่นาน ก็นอนหลับไปเลย
กู้โม่หานไม่รู้สึกง่วงเลยสักนิด เขานอนอยู่บนพื้นร่างกายแข็งทื่อ พอผ่านไปพักหนึ่งก็ได้ยินเสียงคนด้านหลังหายใจเบา ๆ อย่างสม่ำเสมอไป แล้วถึงค่อย ๆ ผ่อนคลายลง
เขาลุกขึ้นมานั่ง จ้องมองใบหน้าสงบนิ่งและงดงามที่กำลังนอนหลับของหนานหว่านเยียนไป แล้วก็เหม่อลอยเล็กน้อย
ผ้าห่มบนตัวนางไม่รู้ว่าตกลงมาที่พื้นตั้งแต่เมื่อไหร่ กู้โม่หานขมวดคิ้วขึ้น แล้วถอนหายใจออกอย่างรังเกียจเล็กน้อย “ขนาดนอนก็ยังไม่นอนให้นิ่ง ๆ”
เขาเก็บผ้าห่มขึ้นมา จากนั้นก็ลุกขึ้นไป โน้มตัวแล้วห่มผ้าให้หนานหว่านเยียนอย่างระมัดระวังไป
เสื้อผ้าตรงหน้าอกของหนานหว่านเยียนหลุดเปิดออกเล็กน้อย ทำให้รอยจูบที่เด่นชัดโผล่ออกมา กู้โม่หานตั้งใจไม่ไปมอง แต่นิ้วมือแตะผ่านหน้านางไปอย่างไม่ได้ตั้งใจ อ่อนนุ่มและลื่นไหล อยู่ ๆ ม่านตาดำของเขาก็หดตัวลงทีหนึ่ง
ภาพสถานการณ์ที่เขาไม่สนใจอะไรในค่ำคืนที่เมาเหล้า เหมือนจะปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง สายตาของเขาลุกเป็นไฟ ซึ่งอาจจะร้อนยิ่งกว่าเปลวเทียนด้วยซ้ำ
นิ้วมือหยุดอยู่ตรงเรียวปากของหนานหว่านเยียน เขากำลังจะสัมผัส ในสมองก็เกิดภาพที่เสด็จแม่ฟื้นขึ้นมาแล้วตกตะลึงจนหมดสติไปปรากฏขึ้นมา
กู้โม่หานขมวดคิ้วขึ้นอย่างแรง แล้วก็ชักมือเก็บไปอย่างเด็ดขาด
สายตาของเขาละไปจากร่างกายของหนานหว่านเยียน แล้วหมุนตัวกลับไปนอนบนพื้น หันหลังไปแล้วหลับตาทั้งคู่ลง
แต่หัวคิ้วยังไงก็ยังขมวดกันแน่น ราวกับกำลังอดกลั้นอะไรไว้
เป็นแบบนี้ไปไม่รู้นานเท่าไหร่ กู้โม่หานเองก็ค่อย ๆ นอนหลับไป
ตำหนักกว้างเงียบเหงาไร้เสียง แต่ประสาทการฟังของกู้โม่หานนั้นดีมาก อยู่ในความฝัน ก็เหมือนกับได้ยินเสียงฝีเท้าเร่งด่วนระลอกหนึ่งเดินมาทางตำหนักข้าง ๆ
เสียงฝีเท้านั่นไม่เป็นระเบียบ น่าจะเป็นของหลี่หมัวมัว แต่ว่ายังมีเสียงเคลื่อนไหวที่บางเบาอีกเสียงหนึ่ง ซึ่งเบามาก และถูกเสียงฝีเท้าของหลี่หมัวมัวบดบังไปพอดี
เขาลืมตาขึ้นมากะทันหัน ดวงตาราวหงส์ที่เย็นชา พออยู่ท่ามกลางความมืดกลับยิ่งเยือกเย็นและเฉียบคม……