ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 463 ฆ่าอย่างไร้ความปรานี
ทันทีที่คำพูดของเขาออกมา สีหน้าของทุกคนก็เต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย
เฟิ่งจงฉวนไม่กล้าแม้แต่จะพ่นลมหายใจ และก้มหน้าลงต่ำ
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ข่าวการลอบสังหารเจ้าหน้าที่หลายคนได้แพร่ไปในวังไม่มีเว้น และแม้ว่าคนเหล่านี้จะไม่ใช่คนสนิทของฮ่องเต้ แต่พวกเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังอันมากมายของฮ่องเต้
การกระทำการอย่างโอ่อ่าผ่าเผยเช่นนี้ เท่ากับกำลังท้าทายอำนาจสวรรค์ของข้าอย่างเห็นได้ชัด!
คิ้วของกู้โม่เฟิงขมวดแน่น และเหลือบมองไปยังกู้โม่หานอย่างใจเย็น
กู้โม่หานยืนอยู่โดยไม่เปลี่ยนสีหน้าของเขา ดวงตาเรียวยาวที่ลึกและเย็นชาของเขาทำให้ยากที่ใครจะมองทะลุและเข้าใจได้
ทันใดนั้นเสนาบดีกรมขุนนางก็เปลี่ยนสีหน้าและคุกเข่าลงทันที
“กราบทูลฝ่าบาท กระหม่อมและปิงปู้(กระทรวงยุทธนาการ รับผิดชอบการแต่งตั้ง อวยยศ เลื่อนยศ ลดยศ และถอดยศข้าราชการทหาร รวมถึงกิจการทหารต่าง ๆ)และ(กระทรวงราชทัณฑ์) รับผิดชอบกระบวนการยุติธรรมและราชทัณฑ์ แต่ไม่รวมถึงการตรวจสอบหรือทัดทานราชการร่วมกันสอบสวนคนที่อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารเจ้าหน้าที่ทางการ แต่นักฆ่าเหล่านั้นกระทำการแปลกประหลาดและดำเนินอย่างระมัดระวัง เลยไม่พบเบาะแสใด ๆพะยะค่ะ”
เขาไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองกู้จิ่งซาน และพูดขึ้นอีกครั้งอย่างสั่นๆ ” อีกทั้งมีสมาชิกในครอบครัวของขุนนางหลายคนที่ยังคงยืนยันว่าขุนนางเหล่านั้นฆ่าตัวตาย กระหม่อมเองก็ … ”
“ก็อะไร?!” กู้จิ่งซานจ้องมองด้วยสายตาที่เฉียบคมราวกับคมมีดและชี้ไปยังลี่ปู้ซ่างซู “ลี่ปู้ ปิงปู้ สิงปู้ พวกเจ้าทำงานไม่ได้เรื่อง หรือจะต้องให้ข้าจัดการปัญหานี้?”
“กระหม่อมมิกล้า!” ลี่ปู้ซ่างซูกระแทกศีรษะลงกับพื้นในทันทีและเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นคลอน “ฝ่าบาท กระหม่อมจะรีบสืบหาผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้ให้ได้!”
กู้จิ่งซานมองไปยังกู้โม่หานอย่างสงบนิ่งและเปล่งเสียงออกมา “ตรวจสอบ! และเรื่องนี้ไม่เพียงแต่จะต้องตรวจสอบ เท่านั้น แต่ยังต้องตรวจซ้ำอีกด้วย!”
“คนผู้นี้กล้าได้กล้าเสีย ร้ายกาจและเจ้าเล่ห์ ส่งศาลราชกฤษฎีกาของข้าออกไปจากนี้ไปให้ศาลต้าหลี่ช่วยพวกเจ้าในการสืบสวน เมื่อพบบุคคลนี้แล้วก็ให้ฆ่าอย่างไร้ความปรานีเสีย!”
“กระหม่อมรับพระบัญชา!” ลี่ปู้ซ่างซูและคนอื่น ๆ กล่าวด้วยความเคารพ
กู้โม่หานยังคงดูเย็นชาและไม่พูดอะไรสักคำ
กู้จิ่งซานอยู่บนเก้าอี้มังกร ศักดิ์ศรีที่เหลืออยู่ของเขายังคงอยู่ที่นั่น
ดวงตาของเขาสอดส่องผู้คนในท้องพระโรงและสุดท้ายก็หยุดที่กู้โม่หาน ดวงตาของเขาค่อยๆ เฉียบคมและไร้ความปรานี
แม้ว่าจะไม่มีหลักฐาน แต่เขารู้ว่าทั้งหมดนี้กระทำโดยกู้โม่หาน
เขาไม่คาดคิดเลยว่ากู้โม่หานจะเล่นตลกกับเขาในตอนนี้ โดยรู้ว่าเงานั้นกำลังคืบคลานมา
ด้วยเหตุนี้กู้จิ่งซานจึงเริ่มรู้สึกเสียใจ มีเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะเขาเลือกเดินแผนผิดแทบจะทั้งสิ้น
การปล่อยให้คนเหล่านั้นลงมือต่อไทเฮา ดังนั้นมันจึงส่งผลย้อนไปแก่กู้โม่หานและยังบังคับให้เขาต้องกระทำการเหล่านี้
ลี่ปู้ซ่างซูคุกเข่าเป็นเวลานาน จนรู้สึกถึงความโกรธของชายบนเก้าอี้มังกรค่อยๆ บรรเทาลง
ถึงจะกล้าที่จะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ฝ่าบาท ฮู่ปู้จะขาดนาใหญ่ไม่ได้แม้ซักวัน กระหม่อมขอบังอาจแนะนำให้รีบจัดการเลือกตั้งฮู่ปู้ช่างชูในเร็ววัน ”
ฮู่ปู้ที่มีหน้าที่ดูแลเรื่องที่ดินและทะเบียนราฎ และยังมีอำนาจทางด้านภาษีและการเงินในแคว้นซีเหย่ทั้งหมด เมื่อได้ยินเช่นนี้แววตาของหลายๆคนส่องเป็นประกายขึ้น
ขนมอันหอมหวานชิ้นนี้ ใคร ๆ ต่างก็อยากต่อสู้เพื่อมัน
ทันใดนั้น ก็เริ่มทยอยพูดกันทีละคน “เสนาบดีช่วย! ยังมีตำแหน่งอื่นว่างอยู่ และควรหาคนมาแทนแต่โดยด่วน”
เมื่อเผชิญกับเสียงเหล่านี้ทำให้กู้จิ่งซานขมวดคิ้วขึ้นอย่างมีอารมณ์โกรธ แต่ในใจของเขาเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่ จะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา
“แล้วท่านเสนาบดี มีคนที่เหมาะสมแล้วหรือไม่?”
ในขณะนี้ เจิ้งซือเย่ที่ไม่ได้พูดอะไร ซึ่งยืนอยู่สองแถวหลังข้าราชการดวงตาก็ส่องเป็นประกายขึ้น แต่ใบหน้าของเขาก็ยังคงสงบเหมือนปกติ “เกล้ากระหม่อมบังอาจที่จะทูลแนะนำเวินเฉิน แก่ฝ่าบาทในฐานะฮู่ปู้ช่างชู”
” ข้ากระหม่อมขอแนะนำท่านกัวซื่อเฉิงต่อฝ่าบาทสำหรับ…”
หลายคนพูดติดต่อกันและพวกเขาทั้งหมดแนะนำเสนาบดีที่ใกล้ชิดกับกู้โม่หาน
กู้โม่หานยังคงเงียบ ไม่พูดอะไรสักคำ ยิ่งกู้จิ่งซานฟังมากเท่าไหร่ ใบหน้าของเขาก็ยิ่งแย่มากขึ้นเท่านั้น ดวงตาของเขามองไปยังกู้โม่หานที่ยืนเงียบสงบท่ามฝูงชนโดยไม่รู้ตัว
กู้จิ่งซานหรี่ตาของเขาและมองไปที่อ๋องเฉิงที่กำลังเม้มริมฝีปากของเขาอยู่ “อ๋องเฉิง แล้วเจ้าล่ะ?”
ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา เมื่อใดก็ตามที่กู้โม่เฟิงต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้เขาจะต้องท้าทายกู้โม่หานอย่างแน่นอน และวันนี้ก็จะไม่มีข้อยกเว้น
กู้โม่เฟิงเงยหน้าขึ้น “กราบทูลเสด็จพ่อ ลูกรู้สึกว่าสิ่งที่ใต้เท้าพูดนั้นมีเหตุผลแต่ตำแหน่งที่ว่างของฮู่ปู้นั้นหรือไม่เราก็ให้ลูกของเจิ้งซือเย่ขึ้นมารับตำแหน่ง ”
เจิ้งซือเย่เป็นคนของกู้โม่หานไม่ใช่หรือ?
นี่อ๋องเฉิงกลับจะพูดเพื่อช่วยอ๋องอี้? !
ไม่เคยเห็นมาก่อน!
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะมองไปยังกู้โม่เฟิง ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
แม้แต่กู้โม่หานเองก็ไม่คาดคิดเช่นกันว่ากู้โม่เฟิงจะพูดแทนเขาในเวลานี้
เขามองไปยังอ๋องเฉิงซึ่งยังคงนิ่งเฉย ดวงตาสีเข้มของเขาขยับเล็กน้อย
สีหน้าของกู้จิ่งซานกลับยิ่งดูแย่ลง ในสายตาของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจและโกรธแค้นที่มีต่อกู้โม่เฟิง ใบหน้าของเขาสงบนิ่งและน่ากลัว “ยังมีข้อเสนอแนะใด ๆอีกหรือไม่? ”
เขามองทุกคนออกมาด้วยสายตาเย็นชา และสุดท้ายดวงตาของเขาก็ตกอยู่ที่กู้โม่หาน “อ๋องอี้ เจ้าละว่าเยี่ยงไร?”
ข้าราชบริพารทั้งหมดเงียบลง
กู้โม่หานเงยหน้าขึ้นอย่างช้า ๆ และมองไปยังกู้จิ่งซานที่นั่งอยู่บนเก้าอี้มังกร “กราบทูลเสด็จพ่อ ลูกรู้สึกว่าสิ่งที่ใต้เท้าพูดนั้นสมเหตุสมผล เสด็จพ่อสามารถที่จะลองดูได้”
ประโยคนี้ ทำให้ฮ่องเต้ไม่สามารถพูดอะไรออกได้ โกรธจนอยากที่จะด่าสาปแช่ง
เมื่อถามกู้โม่หาน เขาก็ไม่รู้วิธีที่จะเจียมเนื้อเจียมตัว ช่างน่าด้านจริง ๆ!
หากตำแหน่งที่ว่างอยู่ตอนนี้ตกเป็นของคนของกู้โม่หานทั้งหมดแล้ว จะให้เขาอยู่เป็นฮ่องเต้ไปเพื่ออะไร?
หรือไม่ก็หลีกทางให้กู้โม่หานไปเลยเสียยังจะดีกว่า!
“ดูเหมือนว่าคนที่พวกเจ้าแนะนำจะเหมือนกันหมด ข้าคิดว่าก็ค่อนข้างเหมาะสมดี ข้าจะพิจารณา” ฮ่องเต้ตรัสภายใต้แรงกดดัน “อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ใหญ่เช่นนี้เกิดขึ้นในวัง เจ้าสามและเจ้าหกก็อยู่ที่นี่แล้ว ทำไมเจ้าเจ็ดถึงไม่เข้าวัง ช่างไม่รู้วิธีแบ่งปันความกังวลของข้าเลย!”
“ไม่ว่าเขากำลังจะทำอะไร เฟิ่งจงฉวนจงประกาศตามให้เขาเข้ามาในวังทันที!”
เขาสมความปรารถนาของกู้โม่หานได้อย่างไรตอนนี้กู้โม่เฟิงก็กลายเป็นขยะไปแล้ว เขาจะต้องสร้างคนที่มีประโยชน์อีกคนขึ้นมา เพื่อสร้างความสมดุลให้กับกู้โม่หานถึงจะถูก!
ดวงตาของเฟิ่งจงฉวนลึกขึ้นเล็กน้อย และไม่กล้าที่ดูแคลน “ขอรับ ฝ่าบาท”
ทุกคนที่ยืนอยู่ในท้องพระโรงมีความคิดที่แตกต่างกัน และการแสดงออกของพวกเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
ในเวลานี้ ที่ฮ่องเต้กล่าวคำเช่นนั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นการยกย่องท่านอ๋องเจ็ด…