ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 476 ปรนนิบัติ
เสียงพูดจบลง สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
หนานหว่านเยียนกระแอมเบาๆ แล้วแอบถอนหายใจสมกับเป็นองค์หญิงแห่งแคว้นที่กล้าหาญจริงๆ สารภาพรักออกมาได้อย่างองอาจอย่างยิ่ง
อันที่จริงนางก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้วว่ากู้โม่หานจะแต่งงานกับใคร
เพราะอย่างไรเสียหากองค์หญิงผู้สง่างามของแคว้นแต่งงานกับกู้โม่หานจริงๆ ย่อมต้องไม่ยินยอมเป็นนางสนมเป็นแน่ เมื่อถึงตอนที่ทะเลาะกัน บางทีนางอาจจะไม่จำเป็นต้องยึดอำนาจก็สามารถฉวยโอกาสนี้มาหย่าได้
อีกอย่าง หากต้องใช้เส้นทางแห่งการยึดอำนาจ กำลังของแคว้นเทียนเซิ่งก็มองข้ามไปไม่ได้เลย หากกู้โม่หานแต่งงานกับฉินมู่ไป๋ ในมือก็จะมีไพ่ลับมากมาย การยึดอำนาจก็จะยิ่งได้รับชัยชนะ
คิ้วรูปดาบที่งดงามและทรงพลังของกู้โม่หานก็ลดต่ำลงทันที มองดูฉินมู่ไป๋ ริมฝีปากบางก็คลี่ออก
“องค์หญิงฮั่นเฉิง ข้าไม่เพียงแต่มีพระชายาเท่านั้น ที่จวนยังมีเสี่ยวจวิ้นจู่อีกสองคนด้วย เด็กทั้งสองคึกคักร่าเริงมีชีวิตชีวาชอบหยอกล้อเล่นกัน และได้ยินมาว่าองค์หญิงฮั่นเฉิงไม่ชอบเด็ก ดังนั้นไม่จำเป็นทำให้ตัวเองลำบากดอก”
ใบหน้าหล่อเหลาของกู้โม่หานเย็นเยือกอย่างยิ่ง และรอบตัวเขาก็พรั่งพรูความโกรธออกมา อยากเห็นฉินมู่ไป๋สะดุ้งตกใจ แต่นางกลับยิ่งกล้าหาญมากยิ่งขึ้น นางไม่เคยถูกปฏิเสธมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือตอนที่นางสารภาพรักครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นนี้ สมกับเป็นเทพสงครามจริงๆ กล้าหาญยิ่งนัก
นาง……ยิ่งชอบมากขึ้นเรื่อยๆ เลย!
ฉินมู่ไป๋มองกู้โม่หานไม่ละสายตา สายตาเปล่งประกายความดีอกดีใจ
“ผู้ใดบอกว่าข้าไม่ชอบเด็ก? เด็กนั้นน่ารักน่าเอ็นดูเฉลียวฉลาด ข้าชอบอย่างมาก จักต้องสามารถปฏิบัติกับพวกเขาด้วยความรักราวกับลูกแท้ๆ ได้เป็นแน่!”
ได้ยินเช่นนั้น หนานหว่านเยียนก็ขมวดคิ้ว องค์หญิงผู้นี้สามารถพลีชีพได้จริงๆ เพียงแต่ลูกของนาง ไม่มีความจำเป็นที่ต้องมีแม่เพิ่ม
กู้จิ่งซานมองดูองค์หญิงฮั่นเฉิงค่อยๆ ต้อนกู้โม่หาน สายตาเย็นชาเล็กน้อย
นัยน์ตาหงส์ของกู้โม่หานหรี่ลง เห็นหนานหว่านเยียนเงียบกริบ แต่องค์หญิงมายืนอยู่เบื้องหน้าแล้ว เขายังไม่สามารถพูดอะไรกับหนานหว่านเยียนได้ เพื่อจะไม่ได้ไม่ถูกคนดูออกว่าหนานหว่านเยียนไม่ชอบเขา
เขาเอ่ยเสียงเย็นชา “องค์หญิงฮั่นเฉิง ข้าบอกแล้ว ว่าไม่มีทางสมรสกับท่าน แต่น้องเจ็ดของข้าเองก็อายุมากพอที่จะแต่งงานได้แล้ว แต่ถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้แต่งงาน หากท่านประสงค์จริงๆ สามารถคบกับน้องเจ็ดดูก่อนก็ได้”
ฉินมู่ไป๋กำหนดชัดเจนแล้ว “ข้าไม่เอา ข้าชอบท่าน!”
กู้โม่หลิงวีพัดดอกท้อไปมา สายตาเย็นชาผ่านไปรวดเร็ว แต่ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“พี่หกไม่ต้องพูดชมเชยน้องเจ็ดดอก ในเมื่อองค์หญิงฮั่นเฉิงชอบท่าน แล้วจะมาชอบน้องเจ็ดได้อย่างไรกันเล่า?”
กู้โม่หานเอ่ยอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด: “น้องเจ็ดก็อย่าถ่อมตนนักเลย ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันเจ้ายังพูดอยู่เลยไม่ใช่หรือ ว่าอยากแต่งภรรยาและอยากมีลูกแล้ว?”
กู้โม่หลิงหน้าสั่นเล็กน้อย มือที่จับด้ามพัดไหวติง “อันนั้นน้องเจ็ดแค่ล้อเล่นเอง”
“เอาล่ะ!” จู่ๆ กู้จิ่งซานก็เอ่ยขึ้นเสียงหนักแน่น ทันใดนั้น บริเวณรอบๆ ก็เงียบสงัด “องค์หญิงฮั่นเฉิง เจ้าหยุดตื่นเต้นก่อน แล้วนั่งลงพูดเถิด”
ฉินมู่ไป๋ไม่ยอมเล็กน้อย แต่พอมองไปยังกู้จิ่งซาน จึงคำนับอย่างนอบน้อม “มู่ไป๋เสียมารยาทไปแล้ว”
ขณะที่พูด นางก็กลับไปที่นั่งเดิม แล้วนั่งลง
องค์หญิงจากไป สีหน้าของกู้โม่หานในที่สุดก็อ่อนโยนขึ้นมาเล็กน้อย เขาเห็นท่าทางของหนานหว่านเยียนยังคงเมินเฉย ความโกรธในใจเขาก็มีมากยิ่งนัก เลยใช้แรงหยิกเอวนางไปอย่างอดไม่ได้ แล้วเอ่ยเสียงเบา
“หนานหว่านเยียน หากเจ้าไม่ช่วยข้าปฏิเสธเรื่องการแต่งงาน คืนนี้เจ้าก็รอปรนนิบัติข้าเถิด”
อะไรนะ?!
ปรนนิบัติ!
ภายในใจของหนานหว่านเยียนสะดุ้งโหยง ถลึงตามองกู้โม่หาน “ท่านข่มขู่ข้าหรือ?!”
“คนที่ข่มขู่คือเจ้าต่างหาก” ใบหน้าหล่อเหลาของกู้โม่หานดูไม่ดียิ่งนัก มองหนานหว่านเยียนด้วยแววตาเย็นเยือก โกรธที่นางทำเป็นทองไม่รู้ร้อนอย่างยิ่ง
“หนานหว่านเยียน อย่าคิดว่าเจ้าสามารถหนีไปได้แล้วจะไม่เป็นไร ที่ข้าพูดก่อนหน้านี้ องค์หญิงฮั่นเฉิงแค่มองดูแวบเดียวก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนนิสัยดี เป็นความเอาแต่ใจไม่ยอมคน หากนางแต่งงานกับข้าจริงๆ เจ้าคิดว่านางจะญาติดีกับลูกทั้งสองคน? ญาติดีกับเจ้าได้หรือ?”
หนานหว่านเยียนเป็นเพียงลูกสาวของเฉิงเซี่ยงเท่านั้น เพลานี้เฉิงเซี่ยงเองก็ถูกเขาทำให้หมดอำนาจแล้ว นางจะเทียบกับองค์หญิงที่เป็นเชื้อพระวงศ์ได้อย่างไร?
จักต้องถูกรังแกเป็นแน่
หนานหว่านเยียนได้ยินเช่นนั้น ก็ขมวดคิ้วแน่น
กู้โม่หานจะสมรสกับผู้ใดนางไม่สน แต่หากความปลอดภัยของหนูน้อยทั้งสองของนางได้รับการคุกคาม นางทนไม่ได้เด็ดขาด!
ไม่กลัวสิ่งที่คาดไว้แต่กลัวสิ่งที่ไม่คาดคิด หนานหว่านเยียนเองก็ขี้เกียจคิดเล็กคิดน้อยแล้วว่าสิ่งที่กู้โม่หานพูดนั้นจริงหรือเท็จ เลยทำให้ตัวเองรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา
ยิ่งไปกว่านั้นนางจะไปปรนนิบัติเขาไม่ได้ กู้โม่หานก็ฝันไปเถอะ อีกเดี๋ยวนางก็ไปแล้ว จะให้เขาเอาเปรียบไม่ได้เด็ดขาด!
“ข้าเข้าใจแล้ว”
เดิมทีฉินมู่ไป๋ก็ไม่ยอมอยู่แล้ว เมื่อเห็นนางเดินมา กู้โม่หานกับหนานหว่านเยียนก็ใกล้ชิดสนิทสนมกันขึ้นมาทันที ซึ่งก็ยิ่งทำให้นางรู้สึกน้อยใจ และอดไม่ได้ที่จะดึงแขนเสื้อของฉินอี้หรานไปมา
ฉินอี้หรานเห็นเช่นนั้นก็หรี่ตา จากนั้นก็ยกจอกเหล้าขึ้น แล้วหันหน้าไปเอ่ยกับกู้จิ่งซาน “ฝ่าบาท เมื่อครู่นี้มู่ไป๋ละเมิดทำนองคลองธรรม ซึ่งมู่ไป๋นั้นมักเลินเล่อมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ทำอันใดตรงไปตรงมาเยี่ยงบุรุษ เมื่อครู่นี้กังวลว่าจะล่วงเกินไท่จื่อมากยิ่งนัก ข้าข้ออภัยแทนนางด้วย และขอความกรุณาให้ฝ่าบาท ไท่จื่อและไท่จื่อเฟย โปรดเข้าใจและให้อภัยด้วย”
กู้จิ่งซานไม่ได้มีสีหน้าพิเศษอะไร สายตาที่เฉียบคมของเขาเหลือบมองไปยังกู้โม่หาน หลังจากนั้นก็มองไปยังน้องสาวของฉินอี้หราน
“องค์หญิงมีนิสัยตรงไปตรงมา ชอบผู้ใดก็ไม่ปิดบัง นี่คือคุณสมบัติที่หาได้ยากยิ่งนัก มีอันใดที่ต้องการให้อภัยกัน?”
หนานหว่านเยียนกับกู้โม่หานเพียงฟังคำพูดเสียดสีของฮ่องเต้เท่านั้น ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา
ฮ่องเต้กลัวกู้โม่หาน จึงไม่สามารถยอมให้องค์หญิงแต่งงานกับกู้โม่หานได้จริงๆ และข้อนี้ ภายในใจของทั้งสองคนรู้ดียิ่งนัก
ทุกคนเงียบกริบ แม้ภายในใจจะมีความคิดมากมาย แต่ก็ไม่มีผู้ใดแสดงออกมา
ฉินอี้หรานยิ้ม “ขอบพระคุณฝ่าบาทที่ทรงเข้าใจและให้อภัย แต่มู่ไป๋นั้นเลินเล่อจริงๆ ข้าจักว่ากล่าวนางเป็นแน่ แต่น้องสาวคนนี้ ถูกเลี้ยงดูแบบเอาอกเอาใจมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เลยมีนิสัยชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่ไปหน่อย”
“สำหรับเรื่องงานแต่งของนาง เสด็จพ่อเสด็จแม่ก็คิดใคร่ครวญอย่างละเอียดรอบคอบยิ่งนัก เพลานี้เป็นเรื่องยากที่มู่ไป๋จะพบเจอกับคนที่หมายปอง หากสามารถอยู่เคียงคู่กันได้ เช่นนั้นก็คงจะเป็นเรื่องน่ายินดีให้กับทุกคน”
ฮ่องเต้ยังไม่ได้เอ่ยตอบ หนานหว่านเยียนก็เอ่ยขึ้นก่อน “……”