ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ – บทที่ 484 ทำไมถึงไม่รอข้า

ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้

ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 484 ทำไมถึงไม่รอข้า

เขามองตามเงาแผ่นหลังของฉินมู่ไป๋ที่ค่อย ๆ ห่างออกไปทุกที คิ้วคมของกู้โม่หานขมวดน้อย ๆ แต่ก็รีบระงับความคลางแคลงใจ แล้วชักเท้าเดินออกไปนอกโถงพระตำหนัก

หนานหว่านเยียนแม่ผู้หญิงตัวดีคนนี้ ทุกครั้งจะเอาแต่สลัดเขาทิ้งไว้ข้างหลังเสมอ ไม่เคยมองเขาคนนี้ที่เป็นสามีว่ามีความสำคัญอะไรบ้างเลยจริง ๆ น่ะรึ?

เขาเดินออกจากตำหนักไปราว ๆ สิบก้าว ก็เห็นหนานหว่านเยียนยืนอยู่ข้างภูเขาหินเทียม กำลังเล่นหยกพกที่ห้อยอยู่ข้างเอวด้วยท่าทางเบื่อหน่าย

ชั่วขณะนั้น ในใจของกู้โม่หานพลันรู้สึกหดหู่ขึ้นมาเล็กน้อย รีบเดินตรงไปหานาง “เมื่อครู่นี้เจ้าไปไหนเสียแล้ว? ทำไมถึงไม่รอข้าล่ะ?”

หนานหว่านเยียนปรายตามองเขาแวบหนึ่ง “เป็นเจ้าที่เดินช้าเกินไปเองต่างหาก อืดอาดยืดยาดไม่รู้ว่ามัวทำอะไรอยู่ ถ้าเสียเวลาไปรับยัยหนูทั้งสองจนต้องกลับจวนล่าช้าเกินไปล่ะก็ ข้าจะไม่ยอมปล่อยเจ้าไปง่าย ๆ แน่”

พูดจบ นางก็หันหลังแล้วเดินไปทางตำหนักหลวนเฟิ่ง

แววตาของกู้โม่หานสั่นไหวเล็กน้อย เขามองตามเงาแผ่นหลังของนาง ไม่รู้ว่าทำไม แต่ความโกรธเคืองเมื่อครู่มันได้สลายหายไปแล้วไม่น้อย

อย่างน้อยหนานหว่านเยียนก็ยังรอเขา ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ที่มักจะเดินจากไปโดยไม่เหลียวหลัง

มุมปากของเขายกโค้งขึ้นโดยไม่รู้ตัว รีบสาวเท้าเดินตามนางไปอย่างรวดเร็ว

ระหว่างทาง หนานหว่านเยียนเอียงหัวไปถามว่า “ทำไมเจ้าถึงได้ออกมาช้าขนาดนี้ล่ะ?”

ฉินอี้หรานเดินออกจากประตูพระตำหนักมาพร้อม ๆ นางมายืนรอกู้โม่หานอยู่ข้างนอกครู่ใหญ่เลยทีเดียว

กู้โม่หานพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบมาประโยคหนึ่งว่า “คนเยอะ ข้ารู้สึกหนวกหูน่ะ”

ฉินมู่ไป๋แค่มาพูดกับเขาสองสามประโยค ไม่จำเป็นต้องบอกหนานหว่านเยียนก็ได้

หนานหว่านเยียนกระพริบตาปริบ ๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น

กู้โม่หานไม่พูด แต่นางก็พอจะเดาได้ว่าองค์หญิงน้อยนั่นจะต้องแสดงอำนาจอะไรใส่กู้โม่หานแน่

องค์หญิงน้อยนั่น แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนดีมีเมตตาอะไรหรอก

เมื่อทั้งสองมาถึงตำหนักหลวนเฟิ่ง เกี๊ยวน้อยกับซาลาเปาน้อย กำลังแสดงความสามารถในสิ่งที่พวกตนเพิ่งได้เรียนมาให้ไทเฮาดู

ไทเฮาถูกสองหนูน้อยที่แสนจะร่าเริง ทั้งยังฉลาดหลักแหลมหยอกเย้าจนหัวเราะไม่หยุด เรียกได้ว่ายิ้มจนปากหุบไม่ลงเลยทีเดียว

นางหันหน้าไปเห็นหนานหว่านเยียนกับกู้โม่หาน จึงรีบยื่นมือออกไปทักทายทันที

“อั้ยโยว พวกเจ้ากลับมากันแล้วรึ ข้าไม่ได้มีความสุขแบบนี้มานานมากแล้ว วันหน้าพวกเจ้าต้องพาเหลนสาวที่ทั้งน่ารักว่าง่าย ทั้งยังรู้ความทั้งสองเข้าวังมาเยี่ยมข้าบ่อย ๆ ด้วยล่ะ”

หนานหว่านเยียนยิ้มพลางพยักหน้า “เพคะ ข้ากับท่านอ๋องจะต้องพายัยหนูทั้งสองมาเยี่ยมเสด็จย่าบ่อย ๆ แน่นอนเพคะ”

กู้โม่หานจ้องมองทุกคนโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า แววตาดูอบอุ่นอ่อนโยนขึ้นมาก

เกี๊ยวน้อยกับซาลาเปาน้อยเห็นหนานหว่านเยียนและกู้โม่หาน ทั้งสองรีบลุกขึ้นแล้วพุ่งเข้ามา ตรงเข้าไปคลอเคลียออดอ้อนอยู่ข้าง ๆ หนานหว่านเยียน

“ท่านแม่ เสด็จย่าทวดทางนี้มีขนมอร่อย ๆ เยอะแยะเต็มไปหมดเลย เมื่อครู่นี้หลี่หมัวมัวยังเอาขนมมาให้พวกเราด้วย อยากให้พวกเราเอากลับจวนเจ้าค่ะ”

หนานหว่านเยียนลูบหัวสองพี่น้องด้วยความเอ็นดู “แล้วพวกเจ้าขอบคุณเสด็จย่าทวดแล้วหรือยัง?”

ไทเฮายิ้มจนตาหยี “เหลนของข้าทั้งฉลาดทั้งรู้ความเช่นนี้ แน่นอนว่าต้องขอบคุณแล้วน่ะสิ”

จากนั้น นางก็เอ่ยถามอย่างพอเป็นพิธีว่า “งานเลี้ยงในวังวันนี้ มีเรื่องอะไรหรือไม่ล่ะ?”

สิ้นเสียง สองสามีภรรยาก็มองหน้ากัน

หนานหว่านเยียนหันไปมองสองหนูน้อย พูดแบบละใจความสำคัญว่า “องค์หญิงแห่งแคว้นเทียนเซิ่งมีพระประสงค์จะแต่งงานกับท่านอ๋อง แต่ถูกเสด็จพ่อระงับไว้ชั่วคราวเพคะ”

แต่งงาน?

ไทเฮาสีหน้ามืดมนลงทันที อดตบ ๆ ที่หลังมือของหนานหว่านเยียนเพื่อปลอบใจไม่ได้ แต่เพราะตระหนักถึงความรู้สึกของยัยหนูทั้งสอง นางจึงไม่ได้พูดอะไรมาก

แค่คนในจวนนั่นคนเดียวก็วางใจไม่ลงมากพออยู่แล้ว ยังจะมีพวกไม่ควรไปมีเรื่องด้วยจากนอกจวนเพิ่มมาอีก แบบนี้เยียนเอ๋อร์ของนางจะทำอย่างไรดีล่ะ?

เกี๊ยวน้อยกับซาลาเปาน้อยลอบมองประสานสายตากันแวบหนึ่ง ต่างก็มองเห็นความคิดของอีกฝ่าย

ทำไมพ่อเฮงซวยคนนี้ไปที่ไหน ก็มักจะถูกคนตามวอแวพัวพันไปทุกที่เลยล่ะเนี่ย!

กู้โม่หานลูบหัวของสองหนูน้อย ไม่รู้ว่ายัยหนูทั้งสองพอได้ยินว่าองค์หญิงฮั่นเฉิงคิดจะแต่งงานกับเขา จะนึกนินทาว่าร้ายเขาในใจอีกหรือไม่

เขาหันไปมองไทเฮา “นี่มันก็ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้หลานกับพระชายายังต้องไปล่องเรือชมทะเลสาบเนี่ยกับคณะทูตของแคว้นเทียนเซิ่งอีก เสด็จย่าก็รีบพักผ่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ วันนี้พวกเราขอตัวกลับก่อนแล้ว”

“ก็ดีเหมือนกัน ข้าเองก็รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อยแล้ว พวกเจ้ารีบกลับจวนก่อนเถอะ” ไทเฮาพยักหน้า ก่อนจะมองหนานหว่านเยียนด้วยสายตาที่แฝงความหมายแวบหนึ่ง

กู้โม่หานพยักหน้าเล็กน้อย “พ่ะย่ะค่ะ”

พูดจบ เขาก็คุกเข่าลง ยื่นแขนออกไปอุ้มสองหนูน้อยขึ้นมาข้างละคนตรง ๆ แล้วเดินออกไป

หนานหว่านเยียนกำลังจะยกส้นเท้าขึ้นแล้ว แต่ไทเฮากลับคว้ามือของนางไว้

“เสด็จย่า?” หนานหว่านเยียนหันหน้ากลับมามองด้วยความสงสัย ก็เห็นว่าไทเฮามีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาเล็กน้อย

เมื่อไทเฮาเห็นว่า กู้โม่หานพาสองหนูน้อยเดินจากไปไกลพอสมควรแล้ว ค่อยจงใจลดเสียงลงแล้วกำชับนางไปประโยคหนึ่งว่า

“เยียนเอ๋อร์ แคว้นเทียนเซิ่งมาเยือนครั้งนี้ จะต้องมีเรื่องที่ยากจะรับมือตามมาแน่ ๆ เจ้าต้องจำไว้นะว่าต้องปกป้องอ๋องอี้ให้ดี”

หนานหว่านเยียนรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่หลังจากนั้นนางก็สงบใจลงได้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “ขอบพระทัยเสด็จย่าที่เตือน หลานสะใภ้เข้าใจแล้วเพคะ”

ที่งานเลี้ยงในวังวันนี้ แค่ดูจากทัศนคติและวิธีการทำเรื่องต่าง ๆ ของฉินอี้หรานสองพี่น้อง ก็รู้แล้วว่าพวกเขาเป็นคนประเภทที่ไม่ควรจะไปมีเรื่องด้วย

คืนนี้ยังไม่นับว่าเป็นการประจันหน้ากันตรง ๆ แต่ท้ายที่สุดแล้ว ฝ่ายนางก็ถือได้ว่ากดข่มฝ่ายฉินมู่ไป๋ให้ต้องเสียหน้า นางก็ควรจะระมัดระวังให้มากขึ้นหน่อยก็ดี

ไทเฮาพยักหน้า หนานหว่านเยียนก็ไม่ได้รั้งอยู่นาน หันหลังแล้วเดินตามกู้โม่หานไป

ครู่ต่อมา สี่คนพ่อแม่ลูกก็นั่งรถม้ากลับจวนอย่างพร้อมหน้า

กู้โม่หานนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของพวกนางสามแม่ลูก ข้อศอกของเขาท้าวอยู่ตรงขอบหน้าต่าง นิ้วมือเรียวยาวท้าวที่ปลายคาง นัยน์ตาหงส์จ้องมองหนานหว่านเยียนสามแม่ลูกแบบไม่กะพริบ แววตาอ่อนโยนอย่างยิ่ง…..

ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้

ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้

Status: Ongoing
หนานหว่านเยียน อัจฉริยะแห่งวงการแพทย์ ข้ามภพมาเป็นพระชายาอัปลักษณ์ผู้ถูกทอดทิ้งแห่งจวนอ๋องอี้ แต่ด้วยมันสมองของอัจฉริยะ และความแข็งแกร่งฉบับสาวยุคใหม่ เธอจะพลิกเกมกลับมาแก้แค้นไอ้พวกเศษสวะให้สิ้นซาก!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท