ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 487 คนโง่เง่า
ส่วนหยุนอี่ว์โหรวที่รีบตาลีตาเหลือกมาจนถึงนอกเรือน ก็หลั่งน้ำตาแทบเป็นสายเลือดไปนานแล้ว
ไม่นานก่อนหน้านี้ หลังจากที่นางคุยกับหมอจวนเสร็จ นางก็ออกไปหาหวังหมัวมัวก่อน
นางเสแสร้งแกล้งทำเป็นอ่อนแอ แล้วเล่าเรื่องที่กู้โม่หานถูกพิษในลักษณะที่ดูจะร้ายแรงมาก ๆ หวังหมัวมัวได้ฟังแล้วพลันรู้สึกเป็นทุกข์ ทั้งยังกังวลใจเกี่ยวกับสถานการณ์ของกู้โม่หาน จึงอนุญาตให้นางมาที่เรือนซีเฟิงได้ ทั้งยังบอกด้วยว่าถ้ามีปัญหา หวังหมัวมัวจะขอเป็นคนรับผิดชอบทุกอย่างเอง
นางรีบมาที่นี่ด้วยความตื่นเต้นยินดี แต่คิดไม่ถึงว่า พอมาถึงหน้าเรือนกลับได้ยินเสียงกู้โม่หานกล่าวสารภาพความในใจต่อหนานหว่านเยียน
ความรู้สึกที่เขามีต่อหนานหว่านเยียนนั้นสัมผัสได้ถึงความจริงใจ ชวนให้ซาบซึ้ง ถึงขั้นลดตัวเองให้ต่ำต้อยลงมาเล็กน้อยเลยด้วยซ้ำ เป็นเพราะเขาอยากให้หนานหว่านเยียนมาอยู่เคียงข้างเขา
ชั่วอึดใจนั้น หัวใจของนางเหมือนร่วงตกลงไปในธารน้ำแข็งก็ไม่ปาน เหมือนนกที่โบยบินอยู่บนท้องฟ้า แล้วพลัดตกลงมาในอุโมงค์น้ำแข็งอันเย็นเฉียบ
นางไม่ได้จากไป แค่ยืนรออยู่นอกประตูเรือนทั้งอย่างนั้น ฟังเสียงที่ดังลอดออกมา หัวใจแตกสลายจนไม่เหลือชิ้นดี
เสียงความเคลื่อนไหวในเรือน ยิ่งนานไปก็ยิ่งดังขึ้นเรื่อย ๆ หยุนอี่ว์โหรวยกมือขึ้นอุดปากไม่ยอมให้ตัวเองส่งเสียงร้องไห้จนใครมาได้ยิน ร่างกายสั่นสะท้านท่ามกลางสายลมเย็นยามค่ำ อาการหายใจติดขัดรบเร้าพัวพันจนหัวใจแทบทนไม่ไหว แต่ก็ไม่อาจกำจัดมันออกไปได้
นางเกลียดชัง อิจฉา ทั้งยิ่งรู้สึกไม่ยินยอม
เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าหลายปีที่ผ่านมานี้ นางคือคนที่อยู่เคียงข้างกู้โม่หานมาโดยตลอด แต่แล้วทำไมพอมาถึงตอนนี้ คนที่กู้โม่หานรัก กลับกลายเป็นหนานหว่านเยียนไปเสียได้?
นางอาศัยอะไร?!
หนานหว่านเยียนอาศัยอะไร ถึงได้รับความชื่นชอบรักใคร่จากกู้โม่หาน? !
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ในที่สุดเสียงความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ภายในเรือนก็หยุดลง
กู้โม่หานหลับสนิทไปแล้ว ในขณะที่จุดเคลื่อนไหวที่ถูกสกัดของหนานหว่านเยียนก็คลายออกแล้วเช่นกัน บนใบหน้าอันงดงามของนางยังคงมีน้ำตาไหลนองออกมาไม่หยุด
กระดูกทั่วทั้งร่างของนางเหมือนจะแตกละเอียดไปหมดแล้วก็ไม่ปาน นางถูกกู้โม่หานเคี่ยวกรำอย่างน่าอนาถ ฝืนกัดฟันดันตัวเองลุกขึ้นจากเตียง ก่อนจะเงื้อมือขึ้นตบเขาอย่างโหดเหี้ยม แต่ก็ยังไม่หายโกรธ จึงออกแรงชกใส่ลำตัวกู้โม่หานไปอีกหลายหมัด
“ไอ้สารเลว! ไอ้สัตว์เดรัจฉาน!”
แต่กำปั้นของนางนุ่มนิ่มไม่ต่างจากก้อนสำลี ชกยังไงอีกฝ่ายก็ไม่สะเทือนเลยสักนิด
หนานหว่านเยียนโกรธแทบตายแล้ว นางรู้สึกเหมือนย้อนกลับไปเมื่อห้าปีที่แล้ว นางเกือบต้องตายในเงื้อมมือของเขา นางจับข้างเตียงเพื่อพยุงตัว พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะเอื้อมเก็บเสื้อผ้าของตัวเอง
เก็บขึ้นมา ใส่เรียบร้อย ตั้งแต่ต้นจนจบในแววตาของหนานหว่านเยียนลุกโชนไปด้วยไฟโทสะ ชั่วขณะนี้ นางไม่อาจอธิบายความโกรธแค้นที่มีต่อกู้โม่หานได้เลย รู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นแค่คนโง่เง่าคนหนึ่งก็ไม่ปาน
พวกเขากำลังจะแยกทางกันอยู่แล้ว แต่กลับมาทำกับนางแบบนี้ อีกทั้งยัง…. พูดแบบสรุปใจความสั้น ๆ ก็คือรังแกกันเกินไปแล้ว ผู้ชายแบบนี้ สมควรแล้วที่ต้องอยู่ตัวคนเดียวไปจนตาย
หนานหว่านเยียนเดินช้า ๆ ไปที่หน้าประตู รู้สึกว่าตัวเองคงจะได้รับบาดเจ็บแน่แล้ว จึงกัดฟันพลางออกแรงผลักเปิดประตู ตั้งใจจะออกไปใส่ยา
ที่ด้านนอก หยุนอี่ว์โหรวร้องไห้จนดวงตาบวมเป่งไปหมดแล้ว ในขณะที่คิดจะจากไป กลับได้ยินเสียงก่นด่าสาปแช่งของหนานหว่านเยียนดังแว่วมา จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงผลักเปิดประตู จึงรีบวิ่งไปซ่อนตัว
หยุนอี่ว์โหรวแอบดูอยู่เงียบ ๆ ก็เห็นหนานหว่านเยียนเดินตุปัดตุเป๋ออกไปจากเรือน
นี่หนานหว่านเยียนออกไปทั้งอย่างนี้เลยน่ะหรือ? นางไม่อยู่รอท่านอ๋องตื่นมาสาธยายความรักอันหวานชื่นให้ฟังหรืออย่างไร?
ดวงตาของหยุนอี่ว์โหรวเต็มไปด้วยความไม่ยินยอม ความอิจฉาริษยา รวมถึงความสงสัย สุดท้ายก็เปิดประตูเข้าไปอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเดินเข้าไปในห้อง แล้วไปหยุดอยู่ข้างเตียงของกู้โม่หาน
เตียงนอนในเรือนดูยับเยินเละเทะอย่างยิ่ง
บนซีกหน้าด้านข้างอันหล่อเหลาของกู้โม่หาน มีรอยฝ่ามือสีแดงที่เด่นชัดประทับอยู่ รวมถึงบริเวณหลังคอที่มีรอยถูกเล็บข่วนจนเป็นรอยแผลยาวอีกหลายรอย
ทันใดนั้น หยุนอี่ว์โหรวพลันรู้สึกว่าเลือดลมพลุ่งพล่านไปหมด แต่สีหน้าซีดราวกับคนตายก็ไม่ปาน สมองสับสนมึนงงจนยืนให้มั่นคงไม่ได้ สองตาหลับแน่น
หยุนอี่ว์โหรวเจ็บปวดจนใจแทบขาด แต่ที่เจ็บยิ่งกว่าก็คือ นางรู้แก่ใจดีว่ากู้โม่หานเป็นฝ่ายรุกไล่ชี้นำ นั่นแปลว่าเขาชอบหนานหว่านเยียนมากจริง ๆ
หลังผ่านไปครู่ใหญ่ หยุนอี่ว์โหรวก็ลืมตาขึ้น แววตาเต็มไปด้วยความอึมครึมชวนสยดสยอง หลังจากนั้นนางก็ฉีกทึ้งชุดของตัวเองจนขาดแล้วโยนลงบนพื้น จากนั้นก็เอนตัวเข้าไป ยื่นมือออกมา…..
ทันใดนั้น มือของนางก็อาบย้อมไปด้วยเลือดสีแดงสด หยุนอี่ว์โหรวร้องไห้แบบไม่มีเสียง แต่กลับหัวเราะสะท้านสะเทือนจนเสียงแทบจะเสียดแทงทะลุหัวใจ
นางไม่เคยคิดเลยว่า ตัวเองจะต้องเสียตัวแบบนี้ ไม่ได้ร่วมหอกับกู้โม่หาน แต่ต้องจัดฉากเสียตัวเอง
เฮอะ! ช่างเป็นเรื่องที่น่าขบขันจนฟ้าถล่ม แผ่นดินสะเทือนซะจริง ๆ
นางมองกู้โม่หานที่กำลังหลับสนิทอยู่ แล้วปีนขึ้นไปบนเตียง นอนลงข้าง ๆ เขา จับมือของกู้โม่หานแล้วเอามาข่วนหนัก ๆ ลงบนบาดแผลที่ยังไม่หายดีของตัวเองจนปากแผลเปิดเลือดไหลอาบ
ความเจ็บปวดนั้นแทบจะทำให้นางเป็นลม นางกัดริมฝีปากซีดเผือดของตัวเองจนแน่น แต่ดวงตากลับฉายแววอำมหิตขึ้นมาสายหนึ่ง
หนานหว่านเยียนไม่อยากได้กู้โม่หาน แต่นางอยากได้!
นางไม่สนหรอกว่า พรุ่งนี้ตื่นเช้ามาหนานหว่านเยียนจะมาโต้เถียงอะไรกับนางหรือไม่ แต่คืนนี้ นางจะแสร้งทำว่าเรื่องหลอก ๆ นี้มันเป็นความจริง ทำให้กู้โม่หานเชื่อว่า เมื่อคืนนี้เขาได้ร่วมหอกับนางแล้วจริง ๆ!
วันรุ่งขึ้น กู้โม่หานก็ตื่นขึ้นจากความฝันอันแสนสุข
จู่ ๆ ดวงตาหงส์ที่ลึกล้ำและเย็นชาของเขาก็เปิดขึ้น หลังสังเกตเห็นร่องรอยแปลก ๆ บนร่างกาย คิ้วเรียวยาวก็ขมวดมุ่นขึ้นมาทันที
นี่เขายังไม่ตาย?
ถ้าอย่างนั้นแล้ว เมื่อคืนนี้เขากับหนานหว่านเยียนก็…..
ทันใดนั้น เสียงที่อ่อนแอระคนออดอ้อนของหยุนอี่ว์โหรว ก็ดึงเอาความคิดของเขากลับมา
“ท่านอ๋อง ท่านตื่นแล้วหรือเจ้าคะ…”
เสียงนี้มัน?
หยุนอี่ว์โหรว? !
ดวงตาของกู้โม่หานสั่นไหวอย่างรุนแรง หันขวับไปมองไปข้าง ๆ ด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
เห็นเพียงหยุนอี่ว์โหรวนั่งอยู่ที่หัวเตียงด้วยสีหน้าขาวซีด เห็นได้ชัดว่าดูผิดธรรมชาติอยู่บ้าง นางคลุมร่างกายที่เปลือยเปล่าของตัวเองด้วยผ้าห่มนวม กัดริมฝีปากอย่างเขินอาย พลางมองมาที่เขา
ชั่วพริบตานั้น กู้โม่หานก็ทะลึ่งตัวผุดลุกขึ้นนั่ง ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมหัวของหยุนอี่ว์โหรว ก่อนจะสวมเสื้อคลุมของเขาทับอีกชั้น แต่กลับเห็นคราบสีแดงบาดตา เลอะเทอะเปื้อนเปรอะอยู่บนเตียง
จู่ ๆ หัวใจของเขาก็เย็นเฉียบ
หรือว่าเมื่อคืนเขากับหยุนอี่ว์โหรวจะ…..
เป็นไปไม่ได้!
รัศมีรอบตัวกู้โม่หานเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกอย่างน่าสะพรึงกลัว เขาถามด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง กดเสียงลงจนต่ำว่า “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”
หยุนอี่ว์โหรวดึงผ้าห่มที่คลุมหัวของนางออก จู่ ๆ ก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นน้อยเนื้อต่ำใจขึ้นมา ดวงตาดั่งลูกกวางน้อยจ้องมองเขาในสภาพอาบรื้นไปด้วยน้ำตา “ท่านอ๋อง หรือท่านจำไม่ได้แล้วเจ้าคะ ว่าเมื่อคืนท่านกับโหรวเอ๋อร์…”
“ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่เมื่อคืนนี้ท่านไม่ทะนุถนอมโหรวเอ๋อร์เลย บาดแผลเหล่านี้….. ล้วนเป็นเพราะถูกท่านข่วนจนเป็นรอย นี่ท่านอ๋องจะไม่สนใจใยดีโหรวเอ๋อร์บ้างเลยหรือเจ้าคะ?”
“ตอนนี้โหรวเอ๋อร์เป็นคนของท่านอย่างแท้จริงแล้ว ท่านอ๋อง….”
“หุบปาก!” ดวงตาของกู้โม่หานเต็มไปด้วยแววตกใจและสับสนงงงัน บนใบหน้าซีกซ้ายยังมีรอยฝ่ามือตบเป็นปื้นใหญ่อีกรอยหนึ่งด้วย
ความคิดของเขาสับสนยุ่งเหยิงไปหมด ความทรงจำของเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก็วุ่นวายมาก เขาก้มลงมองคราบเลือดที่เปียกอยู่บนมือ รู้สึกว่าสมองยิ่งวุ่นวายเละเทะขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว
“หรือว่าเมื่อคืนนี้ คนที่ข้าพากลับมา จะไม่ใช่พระชายาอย่างนั้นรึ?….”