ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 491 อย่ามาแตะต้องข้า
ทั้งสามคนในเรือนต่างหันมามองหน้าประสานสายตากัน หนานหว่านเยียนตอบอย่างเย็นชาไปประโยคหนึ่งว่า “ไม่พบ”
ชั่วขณะนั้น ไฟโทสะในใจของกู้โม่หานก็ยิ่งลุกโหมหนักขึ้นกว่าเดิมแล้ว
หนานหว่านเยียนไม่แค่บอกพวกเซียงอวี้เซียงเหลียนว่าพวกเขาจะหย่ากันเท่านั้น แต่ตอนนี้นางยังถึงกับกีดกันเขาไว้นอกประตูเรือนอีกด้วย?!
เขายังไม่ได้มาคิดบัญชีหนานหว่านเยียน เรื่องที่นางทิ้งเขาเมื่อคืนเลยแท้ ๆ แต่หนานหว่านเยียนกลับเป็นฝ่ายโกรธเขาแทนซะแล้ว?
เขาเพิ่งคิดว่าจะเดินเข้าไปในเรือน คาดไม่ถึงว่าพวกเซียงอวี้เซียงเหลียนจะผลักเปิดประตูออกมา ในสภาพที่ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำพอดี
“ท่านอ๋อง” เซียงอวี๋มองกู้โม่หานแวบหนึ่ง ก่อนจะรีบทำความเคารพ แล้วเดินจากไปทันที
แม้ว่านางจะเคารพยำเกรงกู้โม่หาน แต่ในใจก็ยังรู้สึกเจ็บแค้นแทนหนานหว่านเยียนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม
อวี๋เฟิงแอบเหลือบมองกู้โม่หานแวบหนึ่ง จากนั้นก็หันหลังแล้วไล่ตามเซียงอวี้ไป
เซียงอวี้เห็นว่าสีหน้าของกู้โม่หานน่าเกลียดจนแทบดูไม่ได้แล้ว จึงพูดขึ้นเบา ๆ ประโยคหนึ่งว่า “ท่านอ๋อง เหตุผลที่พระชายาพูดแบบใช้อารมณ์เป็นใหญ่เช่นนั้น ก็เพราะนางรู้เรื่องที่ท่านกับชายารองหยุนร่วมหอกันแล้ว ถึงได้……”
นางพูดแบบตรงประเด็นสำคัญ หลังจากทำความเคารพแล้ว ก็ออกจากเรือนไปเช่นกัน
นางมีฐานะเป็นแค่บ่าว ย่อมไม่อาจเข้าไปก้าวก่ายเรื่องของเจ้านายได้ แต่จะดีจะชั่วอย่างไร ก็ขออย่าให้ความขัดแย้งระหว่างท่านอ๋องกับพระชายา มันยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นไปกว่านี้เลย
ชั่วขณะนั้น ไฟโทสะในใจของกู้โม่หานพลันถูกสยบลงไปไม่น้อย
ไม่เพียงแค่เขาจะไม่ค่อยรู้สึกโกรธมากเท่าไหร่แล้ว แต่ยังถึงกับรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมานิดหน่อยด้วย
ในเมื่อหนานหว่านเยียนรู้เรื่องนี้แล้ว เป็นไปได้หรือที่นางจะไม่มีอะไรที่อยากพูดกับเขาบ้างเลย?
ริมฝีปากบางของเขาเม้มแน่น แต่ก็รั้นผลักประตูอย่างแรงแล้วเดินเข้าไป
“ก็บอกแล้วไงว่าข้าไม่อยากพบหน้าเจ้า!”
เสียงของหนานหว่านเยียนแฝงความเย็นชาที่ไม่คิดจะรับคำทัดทานใด ๆ ตามด้วยถ้วยชาใบหนึ่งที่ลอยหวือมาตามลมพุ่งทะยานมาทางเขาอย่างแรง
กู้โม่หานตาดีมือไวรับเอาไว้ได้อย่างรวดเร็ว ขมวดคิ้วมุ่น แล้ววางมันกลับลงไปบนโต๊ะในสภาพที่เหมือนเดิมไม่มีรอยบุบสลาย
สีหน้าของหนานหว่านเยียนดูไม่ค่อยดีนัก แต่ทางด้านกู้โม่หานก็รู้สึกหวั่นวิตกอยู่ในใจไม่แพ้กัน เขาเดินเข้าไปหานาง น้ำเสียงอ่อนลงไปไม่น้อย
“หนานหว่านเยียน ข้าขออธิบายให้เจ้าฟังอย่างชัดเจนนะ ว่าเมื่อคืนนี้ข้าถูกวางอาคมกู่พิษ”
“เมื่อคืนนี้ หลังจากที่เจ้าออกจากตำหนักหย่างซิน องค์หญิงฮั่นเฉิงนั่นก็มาคารวะเหล้าข้า ในตอนนั้นหลังจากที่ข้าดื่มเข้าไปแล้วก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ แต่ใครจะรู้ล่ะว่าพอลงจากรถม้า ผลของยาก็ออกฤทธิ์ทันที”
“บางทีอาจเป็นเพราะข้าปฏิเสธนางเรื่องแต่งงาน นางจึงวางยาพิษข้าด้วยเจตนาร้าย หมอจวนบอกว่ายาตัวนี้จำเป็นต้องหาคนมาช่วยแก้ให้เท่านั้น ไม่อย่างนั้นจะทำให้เกิดความร้อนจนร่างระเบิดตายได้ ต่อจากนั้นข้าก็ไม่มีสติ ทั้งไม่รู้ด้วยว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น รวมทั้ง….. ไม่รู้จริง ๆ ว่าหยุนอี่ว์โหรวเข้ามาในเรือนได้อย่างไร”
จนร่วมหอกันแล้วแท้ ๆ ยังมีหน้ามาบอกนางอีก ว่าไม่รู้ว่าหยุนอี่ว์โหรวเข้าไปในเรือนได้ยังไง?
แววตาที่เย็นชาของหนานหว่านเยียนสาดประกายคมกริบดั่งใบมีด ชายหางตามองกู้โม่หานแวบหนึ่ง แล้วพูดเอื่อย ๆ เหมือนไม่ยี่หระว่า
“อ๋อ เจ้าไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรกับข้าหรอก ทุกคนต่างก็โตเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว ในเมื่อเจ้าทำไปแล้ว ก็ควรรับผิดชอบต่อคนอื่นด้วย มาถึงตอนนี้จะวิ่งโร่มาหาข้าทำไมกัน?”
ในใจของกู้โม่หานรู้สึกหดหู่เหลือเกินแล้วจริง ๆ แต่เขาก็รู้ว่าตัวเองผิด จึงไม่อาจไม่ระงับความรู้สึกไม่พอใจและขุ่นเคืองเอาไว้ พยายามอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้ตัวเองมีท่าทางก้าวร้าว ดูแล้วคุกคามคนอื่นมากจนเกินไป
เขากำหมัดแน่น เม้มริมฝีปากบางแล้วพูดเบา ๆ ว่า “ที่ข้ามาหาเจ้า เพราะมีเรื่องบางอย่างที่อยากจะยืนยันให้แน่ใจ”
“เมื่อคืนนี้ ข้าบุกเข้ามาพาเจ้าออกไป แล้วจากนั้นพวกเราสองคนก็เกิดเรื่องทะเลาะกันที่นอกเรือนใช่หรือไม่? เจ้ายังจำเหตุการณ์ในตอนนั้นได้อยู่หรือเปล่า?”
เขายังคงไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้
แม้ว่าคำพูดของหวังหมัวมัวจะฟังดูน่าเชื่อถือมาก แต่เขาก็ไม่อยากยอมรับอยู่ดี ว่าหนานหว่านเยียนจะทิ้งให้เขาอยู่คนเดียวทั้งแบบนั้นจริง ๆ
ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าเมื่อคืนเขาจะสูญเสียสติรู้คิด แต่เขาก็แน่ใจมากว่าอีกฝ่ายคือหนานหว่านเยียน เขาถึงได้ใช้นางเป็นยาแก้พิษ
เขายังถึงขั้นสารภาพความในใจกับนางด้วยซ้ำ…..
หนานหว่านเยียนแค่เงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างเฉยเมย พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ใช่แล้วจะทำไมรึ? เพราะถึงยังไงข้าไปไม่นานก็กลับมาแล้ว”
ไปไม่นาน?
รูม่านตาของกู้โม่หานพลันหดเกร็ง ถามเพิ่มขึ้นอีกคำถามหนึ่งว่า “ถ้าอย่างนั้นแล้ว…..เจ้าตื่นมาเช้านี้ รู้สึกว่าร่างกายมีอะไรผิดปกติไปบ้างหรือไม่?”
คำถามนี้ กระแทกโดนจุดสงสัยในใจของหนานหว่านเยียนเข้าอย่างจัง
แต่นางจำไม่ได้ว่าเมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้น มาตอนนี้ยิ่งพอได้ยินข่าวที่ว่ากู้โม่หานกับหยุนอี่ว์โหรวร่วมหอกันแล้ว แม้ว่านางจะนึกสงสัย แต่ก็ยังแค่นเสียงหัวเราะเย็นชา ตอบด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันว่า
“โชคไม่ดีเลยนะ ร่างกายของข้าปกติดีมาก ไม่รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติเลยซักนิด ในทางกลับกันข้าได้ยินมาว่า หยุนอี่ว์โหรวถูกเจ้าเคี่ยวกรำจนร้องไห้อยู่ตั้งนานไม่ใช่รึ เจ้าควรไปถามนางถึงจะถูก”
คิ้วของกู้โม่หานเริ่มจะขมวดแน่นเป็นปม แววตาก็คล้ำทะมึนขึ้นมาแล้ว ปลายนิ้วซีดขาวของเขาดูจะสั่นเทาน้อย ๆ แต่ก็ยังอดกลั้นเอาไว้ได้
“ข้าขอถามเจ้าอีกข้อ เมื่อคืนนี้พอเจ้าจากไปแล้ว แต่ไม่ใช่ว่าเดินไปได้แค่ครึ่งทาง ก็กลับมาที่เรือนของข้าอีกครั้งหรอกหรือ?”
เขาจำได้อย่างชัดเจน คือหนานหว่านเยียนแน่ ๆ
แต่ถ้านางปฏิเสธอีกละก็ นั่นย่อมแปลว่า…..
แต่หนานหว่านเยียนกลับหลุดเสียงหัวเราะเย้ยหยันออกมา ราวกับว่านางได้ยินเรื่องน่าขำระดับสะท้านฟ้าสะเทือนดินก็ไม่ปาน “ข้าอยู่ในเรือนของเจ้าหรือไม่ หยุนอี่ว์โหรวจะไม่รู้เลยเชียวรึ?”
นี่สรุปว่าเขาต้องการอะไรกันแน่? ทำเรื่องแบบนั้นกับหยุนอี่ว์โหรว แล้วทำไมต้องเอาแต่มารบเร้าตอแยถามถึงเรื่องพวกนี้กับนางอยู่ได้?
นางดูแล้วเหมือนคนที่อยากรู้ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาเมื่อคืนนี้อย่างนั้นรึ? !
ยิ่งเขาถาม นางก็ยิ่งหงุดหงิด
หัวใจของกู้โม่หานบีบรัดจนเครียดเขม็ง ถูกคำพูดของหนานหว่านเยียนจู่โจมจนสำลักพูดอะไรไม่ออก นางปัดมันทิ้งอย่างขาวสะอาด ราวกับว่าไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขาสักนิด หัวใจที่เดิมทียังพอจะมีความหวังอยู่บ้างริบหรี่ ก็เริ่มจะมอดไหม้กลายเป็นเถ้าธุลีไปทีละเล็กทีละน้อย
เขาถึงกับเริ่มสงสัยตัวเองแล้วด้วยซ้ำ ว่าบางทีเขาอาจจะสูญเสียสติยั้งคิดไปหมดแล้ว จนเข้าใจผิดคิดว่าหยุนอี่ว์โหรวเป็นหนานหว่านเยียนจริง ๆ
แต่เขาอดนึกโกรธไม่ได้ ในเมื่อตอนนั้นหนานหว่านเยียนเคยไปที่เรือนซีเฟิงจริง ๆ แล้วทำไมนางถึงไม่….กับเขาล่ะ?
นางเกลียดเขามากขนาดนั้นเลยจริง ๆ น่ะหรือ?
ใบหน้าหล่อเหลาได้รูปของกู้โม่หานเผือดซีดลงเล็กน้อย อารมณ์ก็เริ่มจะซับซ้อนขึ้นมา
นี่เป็นครั้งแรกที่ถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกโกรธเคืองมากแค่ไหน แต่ก็ไร้วิธีแก้ปัญหา เพราะทุกอย่างที่มันเกิดขึ้น ล้วนเป็นความผิดของเขาตั้งแต่แรก
เขาคว้าข้อมือของหนานหว่านเยียน มองเข้าไปในดวงตาของนาง “เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน เรื่องทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความผิดของข้าเอง ในเวลานั้นข้า….. ข้าเข้าใจผิดคิดว่านางเป็นเจ้า ถึงได้หน้ามืดตามัวไม่สนใจอะไรทั้งนั้น”
“เจ้าไม่รู้หรอกว่า พิษกู่ชนิดนั้นไม่ใช่พิษที่หาได้ทั่วไป มันทำให้ข้าคุมสติไม่ได้ ถึงขั้นไร้สติยั้งคิดถึงเหตุและผลอันควร ส่งผลให้ควบคุมตัวเองไม่ได้ สิ่งเดียวที่ข้ามั่นใจได้อย่างชัดเจนก็คือก่อนที่ข้าจะสูญเสียสติยั้งคิดไป ข้าได้มาหาเจ้า”
เขาคิดว่าหยุนอี่ว์โหรวเป็นนาง ถึงได้หลับนอนด้วย?
เขาต้องการจะพูดอะไรกันแน่? คนที่เขาอยากหลับนอนด้วยคือนางอย่างนั้นรึ?
หนานหว่านเยียนรู้สึกแค่ว่า เรื่องนี้มันน่าขบขันสิ้นดี
นางหัวเราะหยัน ชักมือออกด้วยท่าทางรังเกียจ ในดวงตาเต็มไปด้วยความขยะแขยง “อย่ามาแตะต้องตัวข้า สกปรกแทบตายแล้ว——”