ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 494 ใจเต้น
กู้โม่หานมองไปที่หนานหว่านเยียน แววตาแฝงความสงสัยใคร่รู้
หนานหว่านเยียนพูดแบบขอไปทีว่า “ไม่ได้เป็นอะไรหรอก แค่รองเท้าเล็กเกินไป เลยเดินได้ช้า”
แต่ในความเป็นจริง นางรู้สึกอึดอัดทรมานไปทั้งตัว รู้สึกเจ็บปวดไปทั่วทุกที่
แต่ก็ไม่สามารถกลับบ้านไปนอนพักได้
กู้โม่หานดูไม่ออกว่าหนานหว่านเยียนต่างไปจากปกติตรงไหน แต่หลังจากปรายตาดูรองเท้าของนางอีกสองสามครั้ง ก็เก็บสายตากลับมา
กู้โม่หลิงก็ไม่พูดอะไรอีก แต่ดวงตากลับทอประกายคมปลาบ!
ทุกคนขึ้นไปบนเรือจนครบแล้ว ขุนนางคนสำคัญล้อมรอบคณะทูตของเทียนเซิ่ง คอยแนะนำทิวทัศน์ทุกจุดของแคว้นซีเหย่ที่เรือแล่นผ่าน
กู้โม่หานเป็นไท่จื่อเตี้ยนเซี่ยอย่างเป็นทางการ แน่นอนว่าต้องพูดคุยกับฉินอี้หรานบ่อย ๆ เป็นธรรมดา
ฉินมู่ไป๋ไม่สามารถหาโอกาสพูดคุยกับกู้โม่หานได้เลย
นางทำแก้มพองลมอย่างไม่พอใจ พยายามเอาตัวเองไปอยู่ในสายตาของกู้โม่หานชนิดไม่ได้ดั่งที่หวังก็จะไม่ยอมเลิกรา “ไท่จื่อเตี้ยนเซี่ย ท่านเอาแต่พูดถึงทิวทัศน์อันงดงาม แต่กลับไม่พูดถึงอาหารเลิศรสเลย ไม่ทราบว่าที่แคว้นซีเหย่ของท่านมีอาหารอะไรที่อร่อย ๆ เป็นพิเศษบ้างหรือไม่ ท่านช่วยแนะนำให้มู่ไป๋สักหน่อยเถอะ”
หนานหว่านเยียนปรายตามองไปที่ฉินมู่ไป๋แวบหนึ่ง ความเลื่อมใสศรัทธาในดวงตาองค์หญิงฮั่นเฉิงมันแทบจะล้นทะลักออกมาอยู่แล้ว นางแอบเยาะเย้ยในใจไปประโยคนึงว่า องค์หญิงน้อยนี่คงจะคิดว่าพิษของนางมันแนบเนียนไร้ที่ติแล้ว ขฌ แถมยังมีหน้าวิ่งแจ้นมาแสดงการมีอยู่ของตัวเองต่อหน้ากู้โม่หานอีกแหน่ะ
เฮอะ!
กู้โม่หานก็ไม่ใช่คนดีอะไรนักหรอก แค่เรื่องวางยาพิษนั่น มันก็ทำให้เขาไม่สบอารมณ์อย่างเห็นได้ชัดแล้ว ต่อให้เขาต้องคำนึงถึงสถานะของฉินมู่ไป๋ คงจะไม่จู่โจมนางแบบซึ่ง ๆ หน้า แต่เรื่องแอบสั่งสอนแบบลับ ๆ คงมีให้เห็นไม่น้อยเลยเชียวล่ะ
เป็นดั่งที่คิด กู้โม่หานไม่มีแม้แต่สีหน้าดี ๆ ให้ด้วยซ้ำ แค่เอียงหน้าไปมองฉินมู่ไป๋ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ นัยน์ตาหงส์สาดประกายเย็นชาบาดลึกถึงกระดูก
“วันนี้หัวข้อหลักคือเที่ยวชมทะเลสาบ ข้าย่อมพูดถึงทิวทัศน์อันงดงามเป็นธรรมดา ถ้าองค์หญิงชอบอาหารเลิศรส น้องเจ็ดของข้าก็เป็นผู้ที่มีความรู้กว้างขวาง ให้เขาแนะนำเจ้าสักหน่อยก็ได้”
ฉินมู่ไป๋ถึงกับสำลักจนพูดอะไรไม่ออก
ใครจะไปอยากคุยกับน้องเจ็ดของเขากันล่ะ นางอยากคุยกับเขาต่างหาก ดูไม่ออกเลยรึ?
ฉินอี้หรานรู้ว่าน้องสาวของเขากำลังคิดอะไรอยู่ แววตาทอประกายลึกล้ำ พูดด้วยรอยยิ้มว่า: “มู่ไป๋ เรื่องนี้เป็นเจ้าเองที่ถามไม่ถูก เรื่องอาหารเลิศรสจะถามไท่จื่อเตี้ยนเซี่ยได้อย่างไรกัน? ไท่จื่อเตี้ยนเซี่ยเก่งกาจในเรื่องการรบ ถ้าถามเกี่ยวกับเรื่องศึกสงคราม เขาย่อมรู้ทุกอย่างเหมือนดั่งหลังมือตัวเอง แต่ถ้าจะถามถึงอาหารเลิศรส เขาจะรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไรกัน เจ้าควรไปถามไท่จื่อเฟยต่างหาก”
พูดจบ เขาก็มองไปทางหนานหว่านเยียน แววตาลุกโชนเป็นประกายวาววับ
เขารู้สึกสนใจในตัวหนานหว่านเยียนเป็นพิเศษ เพราะว่ากันตามจริง ทักษะทางการแพทย์ที่นางแสดงให้เห็นเมื่อวาน มันแพรวพราวจนสะกดสายตาเกินไป หากแคว้นเทียนเซิ่งของพวกเขาสามารถใช้ประโยชน์จากความเก่งกาจนี้ได้ จะต้องเป็นดั่งเสือติดปีกแน่
น่าเสียดายที่เมื่อคืนมันดึกเกินไป ไม่สะดวกที่จะรบกวนนาง เพื่อจะหลีกเลี่ยงไม่ให้นางเกิดความรู้สึกต่อต้าน ตอนนี้ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะดึงนางมาเป็นพวก…..
หนานหว่านเยียนเหลือบตามองฉินอี้หรานแวบหนึ่งจฌ ขณะที่กำลังจะพูด ญบ กู้โม่หานกลับชิงเป็นฝ่ายบอกปัดขึ้นมาเสียก่อน
“อ๋องผิงเซวียน หว่านเยียนเก่งกาจในศาสตร์การแพทย์ แต่ไม่ค่อยรู้เรื่องอาหารเลิศรสอะไรนัก อย่าให้นางต้องแนะนำให้ลำบากใจเลยจะดีกว่า”
น้ำเสียงของเขาราบเรียบมาก แต่กลับแฝงความน่าเกรงขามที่ไม่ยอมให้ปฏิเสธได้ราง ๆ
หนานหว่านเยียนชำเลืองมองกู้โม่หานแวบหนึ่ง พูดอย่างให้ความร่วมมือว่า “อื้ม ข้าไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้จริง ๆ นั่นแหล่ะ ต้องขออภัยอ๋องผิงเซวียนด้วย”
นางไม่มีความประทับใจอันดีต่อคู่พี่น้องฉินอี้หราน ต่อให้นางรู้จักอาหารเลิศรส ก็คงจะไม่พูดอะไรกับสองคนนี้ให้มากมายนัก
เมื่อฉินมู่ไป๋เห็นว่ากู้โม่หานปกป้องหนานหว่านเยียนขนาดนี้ ก็รู้สึกทำใจรับไม่ได้
แต่เมื่อคิดถึงความทุกข์ทรมานที่หนานหว่านเยียนได้รับอยู่ตอนนี้ ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก
ฉินอี้หรานพูดด้วยท่าทางเสียดายว่า “ถ้าอย่างนั้นก็น่าเสียดายเหลือเกินแล้วจริง ๆ”
พูดพลาง เขาก็พยายามหาหัวข้ออื่นเพื่อเริ่มการสนทนากับหนานหว่านเยียนอีก แต่ก็ถูกกู้โม่หานยับยั้ง หรือไม่ก็พูดเบี่ยงประเด็นไปจนหมดทุกเรื่อง
หลังผ่านกระบวนการทั้งหมดที่ว่ามา ฉินอี้หรานจึงไม่ได้พูดอะไรกับหนานหว่านเยียนเลยสักคำ เขารู้สึกหงุดหงิดไม่น้อย จ้องกู้โม่หานด้วยแววตามืดทะมึน
ความรู้สึกเป็นเจ้าข้าวเจ้าของรุนแรงเกินไปแล้วจริง ๆ ดูเหมือนจะเป็นเหมือนข่าวลือที่ว่า ความสัมพันธ์ของเทพแห่งสงครามกับพระชายานั้นดีมาก เรียกได้ว่าอยู่ยงคงกระพัน แข็งแกร่งดั่งกำแพงเหล็กก็ไม่ปาน
กู้โม่หลิงที่อยู่อีกด้านหรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง เอนตัวพิงขอบหน้าต่าง โบกพัดในมือเป็นระยะ ๆ ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ทันใดนั้น กลุ่มคนชุดดำที่สวมหน้ากากปิดบังใบหน้าก็กระโดดขึ้นมาจากน้ำ บุกเข้ามาด้วยเจตนาหมายสังหาร เงื้อกระบี่แทงเข้าใส่พวกกู้โม่หานโดยตรง
นักฆ่าบุกเข้ามาอย่างรวดเร็วและรุนแรง เห็นได้ชัดว่ามีการเตรียมพร้อมมาแล้ว กู้โม่หานตอบสนองทันที เอื้อมมือออกไปคว้าตัวหนานหว่านเยียนให้มาหลบอยู่ข้างหลัง ก่อนจะตวัดดาบสังหารนักฆ่าไปสองคนอย่างไม่มีสะดุดจังหวะ
สีหน้าของเขาหนักแน่นจริงจัง ปกป้องอ๋องผิงเซวียนกับองค์หญิงฮั่นเฉิงให้ดี!”
หนานหว่านเยียนถูกเขาคว้าตัวกะทันหันจนโซเซไปชั่วขณะ ทั้งร่างปวดแปลบขึ้นมาอีกคำรบ นางขมวดคิ้วมุ่นขณะที่ยืนอยู่ข้างหลังกู้โม่หาน แต่สีหน้ากลับดูแปลกเล็กน้อย
ทว่าสีหน้าของฉินมู่ไป๋กลับดูแปลกยิ่งกว่า
กู้โม่หานนี่ก็เกินไปหน่อยแล้วไหม มีนักฆ่าบุกมาลอบสังหาร ไม่ใช่ว่าควรจะคุ้มครองนางกับพี่ชายก่อนหรอกรึ? พวกเขาเป็นถึงแขกบ้านแขกเมืองผู้ทรงเกียรติเชียวนะ!
หนานหว่านเยียนถูกพวกเขาล้อมอยู่ตรงกลาง มีอะไรต้องคุ้มครองด้วยล่ะ!
ส่วนฉินอี้หรานไม่สนใจเรื่องหยุมหยิมแบบนั้น เขากล้าหาญเชี่ยวชาญการต่อสู้ จึงเป็นเรื่องง่ายที่จะรับมือกับนักฆ่าเหล่านี้ กระโจนเข้าสู่การต่อสู้โดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนเลยสักนิด
ขุนนางที่อยู่บนเรือตกใจจนหน้าซีดเผือด “มีนักฆ่าบุกมาแล้ว! คุ้มครอง!คุ้มครอง!”
ราชองครักษ์ที่เฝ้าระวังรอบทะเลสาบเนี่ยอยู่นานแล้วได้ยินเสียงร้องตะโกน ก็รีบเคลื่อนไหวบุกเข้าโต้กลับทันที แววตาของเซียวลี่เครียดเขม็งยิ่งขึ้น รีบนำพี่น้องทหารจากค่ายเสินเชื่อบุกเข่นฆ่าขึ้นไปอย่างไม่คิดชีวิต
“คุ้มครองท่านอ๋องกับพระชายาให้ดี!”
ชั่วอึดใจนั้น บนเรือก็เกิดความโกลาหลขนานใหญ่ เสียงคมดาบกระทบกันดังสนั่นเสียดหูไม่รู้จบ
กู้โม่หานส่งตัวหนานหว่านเยียนไปข้าง ๆ เซียวลี่ “คุ้มครองพระชายาให้ดี”
เซียวลี่นำกลุ่มทหารฝีมือเยี่ยมจัดขบวนเป็นวงกลม ปกป้องหนานหว่านเยียนไว้ตรงกลางอย่างแน่นหนา ในขณะที่กู้โม่หานยังคงต่อสู้พัวพันอยู่กับพวกมือสังหาร
นักฆ่าเหล่านี้ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี แต่ละกระบวนท่าที่ใช้อันตรายถึงชีวิต การเคลื่อนไหวเหล่านั้นทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยอย่างยิ่ง เป็นกระบวนท่าที่เหมือนกับกลุ่มนักฆ่าแห่งสำนักอู๋หยิ่งอย่างไรอย่างนั้น
แต่ก็ยังมีคนกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่ง ที่กระบวนท่าของเพลงดาบที่ใช้แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง รวมทั้งไอสังหารก็ไม่รุนแรงมาก…..
กู้โม่หานหรี่ตา แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงตะโกนของฉินอี้หรานดังขึ้นมาประโยคหนึ่ง
“ฮั่นเฉิง!”
กู้โม่หานเอียงหน้าไปมอง ก็เห็นว่าฉินมู่ไป๋ที่หลุดสายตาไปจนเหลือตัวคนเดียว กำลังต่อสู้กับชายชุดดำหลายคนเพียงลำพัง
ฉินอี้หรานอยู่ห่างจากนางมาก อีกทั้งมีศัตรูที่บุกเข้ามาต่อสู้พัวพันกับเขาไม่ขาดสาย ชั่วเวลานั้น เขาโกรธจนสองตาเบิกกว้าง เงื้อดาบฟาดฟันศัตรูดาบแล้วดาบเล่า กู่ร้องคำรามพลางบุกฆ่าขึ้นไปแบบไม่สนทิศทางแล้ว
กู้โม่หานขมวดคิ้ว แม้ว่าเขาจะไม่สบอารมณ์ก็จริง แต่เนื่องจากสองแคว้นมีสัมพันธไมตรีที่ดีต่อกัน เขาจึงเหินร่างขึ้นไปช่วยฉินมู่ไป๋ แต่ฝ่ายฉินมู่ไป๋ก็ดื้อรั้น ต้องการจะสู้กลับให้จงได้ จนถูกนักฆ่าแทงเข้าไปหนึ่งดาบ
“อ๊า! เจ็บ….”
คมดาบเฉือนเข้าที่ไหล่ของฉินมู่ไป๋ แววตาของกู้โม่หานเปลี่ยนไปทันที เงื้อเท้าขึ้นเตะนักฆ่าอย่างแรง ดึงตัวฉินมู่ไป๋มาคุ้มครองไว้ด้านหลัง
ไหล่ของฉินมู่ไป๋ได้รับบาดเจ็บ เพียงแต่บาดแผลไม่ได้ร้ายแรงนัก
นางเห็นกู้โม่หานปกป้องตัวเองด้วยสีหน้าจริงจัง หัวใจของนางถึงกับเต้นกระหน่ำ ญด สั่นสะท้านจนแทบจะกระเด็นออกมาจากทรวงอกให้ได้แล้ว…..