ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ – บทที่ 496 เบื้องหลังคนร้ายตัวจริง

ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้

ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 496 เบื้องหลังคนร้ายตัวจริง

แต่ฉินมู่ไป๋ก็ไม่ใช่คนที่จะยอมรับความพ่ายแพ้แบบง่าย ๆ นางฝืนกัดริมฝีปากล่าง ทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกฉินอี้หรานจ้องกลับมาตาเขม็ง

ฉินอี้หรานจ้องหนานหว่านเยียนด้วยสายตาแฝงนัยซับซ้อนบางอย่าง ” ไท่จื่อเฟย จะอย่างไรน้องเล็กของข้าก็ได้รับบาดเจ็บที่แคว้นซีเหย่ ต้องรบกวนไท่จื่อเฟยช่วยรักษามู่ไป๋ให้หายดีด้วยเถอะ”

ความหมายชัดเจนมาก นั่นคือไม่ว่ายังไงวันนี้หนานหว่านเยียนก็ต้องรักษาฉินมู่ไป๋ให้หายดีให้ได้

แน่นอนว่าหนานหว่านเยียนย่อมเข้าใจความหมายของเขา นางหัวเราะเบา ๆ “อ๋องผิงเซวียนไม่ต้องกังวลไป ข้าจะต้องรักษาองค์หญิงฮั่นเฉิงให้หายดีได้แน่”

พูดจบ นางก็ล้วงหยิบเข็มเงินออกมาอีกหลายเล่ม บังคับคลายมือของฉินมู่ไป๋ออกอย่างแรง ก่อนจะฝังลงบนจุดฝังเข็มที่ถูกต้องหลายจุดอย่างแม่นยำ

“อ๊า—” ชั่วพริบตานั้น ฉินมู่ไป๋เจ็บจนหน้าเปลี่ยนสี กัดฟันพลางจ้องเขม็งไปที่หนานหว่านเยียนด้วยแววตาเจ็บแค้น

นางแน่ใจแล้วว่า หนานหว่านเยียนกำลังอาศัยอำนาจส่วนรวมมาแก้แค้นเรื่องส่วนตัว!

แผลเล็กกะจิดริดแค่นี้ ถึงกับต้องใช้กระบวนการรักษาที่ลงแรงตั้งมากมาย ทั้งยังลงมือหนักหน่วงซะขนาดนี้ แทบจะทำให้นางเจ็บปางตายให้ได้แล้ว!

เวลานี้เอง เซียวลี่ที่เพิ่งเก็บกวาดศพนักฆ่าเสร็จ ก็เดินขึ้นมาบนเรือของกู้โม่หาน ก่อนจะกล่าวรายงาน

“ท่านอ๋อง กระหม่อมตรวจค้นตามศพของนักฆ่าเหล่านี้แล้ว แต่ตรวจค้นไม่พบเบาะแสร่องรอยใด ๆ เลย มีนักฆ่าหลายคนฆ่าตัวตายด้วยการกินยาพิษ ยังไม่พบเบาะแสที่เป็นประโยชน์ต่อการสืบสวนในเวลานี้ขอรับ”

กู้โม่หานหรี่ตานัยน์ตาหงส์จนเรียวเล็ก “มือสังหารกลุ่มนี้ ข้าเคยเผชิญหน้ากับพวกเขามาก่อน ทั้งหมดล้วนเป็นนักฆ่าที่อยู่ในองค์กรหนึ่ง ซึ่งมีชื่อว่าสำนักอู๋หยิ่ง”

“นักฆ่าของสำนักอู๋หยิ่งล้วนได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี แต่ละคนต่างมีทักษะวรยุทธ์ที่สูงส่ง ลึกลับยากจะคาดเดา คิดจะจับพวกเขาทั้งเป็น นับได้ว่าเป็นเรื่องที่ยากมากจริง ๆ”

ที่แท้ก็เป็นคนของสำนักอู๋หยิ่งอย่างนั้นรึ? !

เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไปทันที สีหน้าของกู้โม่หลิงก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ดวงตาหรี่ลง รูม่านตามืดทะมึนลงไปหลายส่วน

ลี่ปู้ซ่างซูสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ ไปเฮือกใหญ่ ลองถามหยั่งเชิงว่า “กระหม่อมเคยได้ยินชื่อของสำนักอู๋หยิ่งที่ว่านั้นมาบ้าง แต่คิดหาเหตุผลไม่ออกจริง ๆ ว่าทำไมพวกเขาถึงเลือกมาลอบสังหารเอาวันนี้”

วันนี้ที่ทะเลสาบเนี่ย ไม่ได้มีเพียงขุนนางชั้นผู้ใหญ่ของซีเหย่เท่านั้น แต่ยังมีคณะทูตและบุคคลสำคัญจากแคว้นเทียนเซิ่งด้วย สำนักอู๋หยิ่งนั่นเป็นองค์กรหนึ่งที่อยู่ในยุทธภพ แต่กลับลงมือลอบสังหารสมาชิกราชวงศ์และขุนนางคนสำคัญอย่างโจ่งแจ้ง นี่ไม่เท่ากับว่าเป็นการจงใจยั่วยุราชวงศ์อย่างชัดเจนหรอกหรือ?

โชคยังดีที่วันนี้มีการวางกำลังป้องกันอย่างแน่นหนา ทั้งยังมีเทพแห่งสงครามรับผิดชอบสอดส่องรอบด้าน ไม่อย่างนั้นแล้ว หากนักฆ่าของสำนักอู๋หยิ่งลอบสังหารได้สำเร็จ ผลที่ตามมาจะเป็นหายนะที่ไม่อาจคาดเดาเลยทีเดียว!

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากคนของแคว้นเทียนเซิ่งได้รับบาดเจ็บ แล้วมีการรายงานกลับไปถึงหูของฮ่องเต้แคว้นเทียนเซิ่ง น่ากลัวว่าฮ่องเต้แคว้นเทียนเซิ่งอาจคิดว่าเหล่าราชวงศ์ของแคว้นซีเหย่มีเจตนาร้ายแอบแฝง จนอาจส่งผลกระทบต่อมิตรภาพระหว่างสองแคว้นได้อีกด้วย

เรื่องที่เหล่าขุนนางฉุกคิดได้ แน่นอนว่ากู้โม่หานย่อมต้องฉุกคิดได้เช่นกัน

เขายังถึงขั้นจับได้ถึงความเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าที่ผุดขึ้นมาแล้วหายวับไปของกู้โม่หลิงได้ด้วยซ้ำ เขาไม่ได้ดูกังวลหรือตกใจกลัว ทั้งไม่ได้สับสนหรือสงสัยเหมือนคนอื่น ๆ เลย แต่กลับสงบนิ่งเย็นชาจนดูราวกับว่าโดนใครสักคนมาสะกิดถูกเรื่องที่เก็บซ่อนอยู่ภายในใจก็ไม่ปาน

เดิมทีกู้โม่หานก็สงสัยอยู่แล้วว่ากู้โม่หลิงอาจมีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับสำนักอู๋หยิ่ง มาตอนนี้เขาก็ยิ่งสงสัยขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว แม้ว่าจะมีปัญหาบางจุดที่เขาไม่สามารถอธิบายได้ เช่น กลุ่มคนห้าหกคนที่หนีไปในตอนสุดท้ายนั่น เขาเอาแต่รู้สึกว่ากระบวนท่าที่พวกนั้นใช้ มันให้ความรู้สึกไม่ค่อยเหมือนกลุ่มนักฆ่าของสำนักอู๋หยิ่งที่เคยประมือกับเขาก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้กู้โม่หลิงคือคนที่น่าสงสัยที่สุด ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเคาะกะโหลกอีกฝ่ายให้รู้สำนึกสักหน่อยแล้ว

ชั้นน้ำแข็งอันเย็นเยียบค่อย ๆ รวมตัวกันในดวงตาดำทะมึนของกู้โม่หาน เขาพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า: “ไม่ว่าพวกนั้นจะมีเจตนาอะไร แต่การลอบสังหารสมาชิกราชวงศ์ของแคว้นซีเหย่และแคว้นเทียนเซิ่ง ก็เป็นอาชญากรรมร้ายแรงที่ไม่อาจยกโทษให้ได้!”

กู้โม่หานพูดไปพลาง ก็มองสำรวจสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปของกู้โม่หลิงไปด้วย “นับจากวันนี้ไป จงประกาศคำสั่ง มอบรางวัลจับกุมกองกำลังนักฆ่า รวมถึงสำนักอู๋หยิ่งที่แฝงตัวอยู่ในจุดต่าง ๆ ของแคว้นซีเหย่ ใครก็ตามที่จับคนของสำนักอู๋หยิ่งได้ ให้ส่งมาถึงมือของข้าเป็นอันดับแรก ถ้ามอบให้เป็นหน้าที่ข้าจัดการ คนร้ายตัวจริงที่แฝงตัวอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ จะต้องถูกลากคอออกมาแล้วนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอย่างแน่นอน!”

กู้โม่หลิงหรี่ตาอย่างหนัก แต่บนใบหน้าไม่มีความเปลี่ยนแปลงใด ๆ ผุดขึ้นมาให้เห็นแม้แต่น้อย เซียวลี่ประสานมือแล้วตอบรับทันที “ขอรับ ท่านอ๋อง”

หลังจากที่เขาตอบรับคำสั่ง ก็ค้อมกายประสานมือคารวะ แล้วถอยกลับออกไปอย่างเงียบ ๆ

กู้โม่หานจับพิรุจอะไรจากใบหน้าของกู้โม่หลิงไม่ได้ แววตาของเขาเย็นชาลงเล็กน้อย จากนั้นก็มองไปที่ฉินอี้หราน

“วันนี้เป็นเพราะการต้อนรับของข้าทำได้ไม่รัดกุมพอ ทำให้แขกผู้มีเกียรติของแคว้นเทียนเซิ่งต้องตื่นตระหนกตกใจ ข้าจะสั่งให้คนไปส่งทุกท่านกลับวังก่อน จากนั้นจะจัดงานเลี้ยงใหญ่ เพื่อเป็นการชดเชยให้กับทุกท่าน”

“รบกวนไท่จื่อเตี้ยนเซี่ยแล้ว” ฉินอี้หรานไม่มีความเห็นคัดค้านใด ๆ หันไปมองหนานหว่านเยียนกับฉินมู่ไป๋ “ไท่จื่อเฟย บาดแผลของมู่ไป๋รักษาไปถึงไหนแล้วรึ?”

หนานหว่านเยียนตอบกลับเบา ๆ ว่า “จัดการเรียบร้อยหมดแล้ว”

เมื่อครู่นางแอบฟังบทสนทนาของทุกคนอย่างเงียบ ๆ แล้วแอบจดจำเอาไว้

แต่ฉินมู่ไป๋กลับไม่เป็นเช่นนั้น นางรู้สึกว่าตอนที่หนานหว่านเยียนพันผ้าพันแผลให้ อีกฝ่ายจงใจรัดหัวไหล่ของนางจนแน่นเปรี๊ยะ นางเจ็บจนต้องสูดเอาลมหายใจเย็น ๆ เข้าปอดเฮือกใหญ่

นางยืนขึ้น มองไปที่ฉินอี้หราน จากนั้นก็บ่นในทำนองฟ้องทันที

“พี่ชาย ข้าเจ็บแทบตายแล้ว! ไท่จื่อเฟยดูแล้วเหมือนจะเป็นคนอ่อนโยนใจดี แต่ตอนพันแผลกลับพันเสียเต็มแรงไม่รู้จักเบามือ ไม่รู้ว่าข้าไปยั่วโมโหอะไรนางเข้า นางถึงได้ทำกับข้าแบบนี้!”

หนานหว่านเยียนยังไม่ทันได้พูดอะไร กู้โม่หานก็เป็นฝ่ายพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้นมาเสียก่อนว่า

“องค์หญิงฮั่นเฉิง ข้าช่วยชีวิตเจ้า พระชายาของข้าก็ช่วยรักษาเจ้า ตัวเจ้าไม่รู้จักตอบแทนน้ำใจก็ช่างเถอะ แต่ทำไมต้องพูดจาเพ้อเจ้อ กล่าวหาว่าพระชายาของข้ารังแกเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบนี้ด้วย?”

ฉินมู่ไป๋กำลังคิดจะโต้กลับ แต่ถูกฉินอี้หรานตวาดห้ามไว้ “ฮั่นเฉิง! หยุดทำตัวไร้มารยาทได้แล้ว!”

“ปกติข้ากับเสด็จพ่อสอนเจ้าว่าอย่างไร? เจ้าจะทำตัวเย่อหยิ่งเอาแต่ใจในแคว้นเทียนเซิ่งก็นับว่าแล้วกันไปเถอะ แต่ตอนนี้เจ้ามาทำเรื่องชวนให้อับอายขายหน้าจนถึงแคว้นอื่นเขาแล้ว ข้าจะไม่ยอมตามใจเจ้าอีกแล้วนะ!”

ชั่วขณะนั้น ฉินมู่ไป๋ก็ดูเหมือนลูกแมวที่ท้อแท้หมดกำลังใจไปทันที ที่ผ่านมานางเกรงกลัวฉินอี้หรานมาโดยตลอด จึงทำได้แค่ต้องยอมแพ้ ก่อนจะพูดอย่างไม่ค่อยเต็มใจว่า “เข้าใจแล้ว ข้าขอโทษ เป็นข้าเองที่คิดเล็กคิดน้อยเกินไป พูดจาหยาบคายไม่คิดถึงใจคนอื่น มู่ไป๋ต้องขออภัยไท่จื่อเฟยด้วย”

ประโยคนี้พูดออกมาในสภาพกัดฟันกรอด ๆ เลยทีเดียว หนานหว่านเยียนไม่เชื่อหรอกว่าฉินมู่ไป๋จะขอโทษด้วยความจริงใจ

แต่นางเองก็ไม่ได้ช่วยคนอย่างจริงใจแต่แรกอยู่แล้ว นอกจากนี้ นางยังต้องไว้หน้าฉินอี้หรานบ้าง “วันนี้องค์หญิงก็ตกใจมามากแล้ว อ๋องผิงเซวียนรีบพานางกลับไปพักผ่อนเถอะ”

“นั่นนับเป็นเรื่องธรรมดา” ดวงตาของฉินอี้หรานกระตุกน้อย ๆ เขาเอาแต่รู้สึกอยู่เสมอเลยว่าพระชายาของเทพสงครามนั้นช่างสงบและเยือกเย็นมาก ๆ ทั้งเรื่องที่ถูกลอบสังหารเมื่อครู่ กับเรื่องที่มู่ไป๋พูดจาให้ร้ายตอนนี้ หนานหว่านเยียนก็ยังดูสงบได้อย่างเหนือความคาดหมาย

เขายังคิดอยู่ว่า พวกผู้หญิงแคว้นซีเหย่แต่ละคน ๆ จะมีแต่พวกบอบบางเหลือจะทน แต่กลับมีคนที่กล้าหาญอยู่เหมือนกัน ดวงตาของเขายิ่งฉายแววชื่นชมมากขึ้นเรื่อย ๆ

แต่เขาก็ไม่ได้มองหนานหว่านเยียนนานนัก แค่หันไปพูดกับกู้โม่หานว่า “หวังว่าไท่จื่อเตี้ยนเซี่ยจะจับตัวพวกมือสังหารเหล่านั้นได้ในเร็ววัน นั่นคงทำให้ข้ารู้สึกสบายใจขึ้นได้มากทีเดียว”

“แน่นอน” ริมฝีปากบางของกู้โม่หานตอบรับประโยคหนึ่ง แล้วส่งกองกำลังทหารบางส่วนไปคอยคุ้มกันสองพี่น้องฉินอี้หรานกลับไปยังสถานีพักม้า

คนของเทียนเซิ่งกลับไปแล้ว หนานหว่านเยียนก็ไม่อยากจะเสแสร้งอะไรให้มากมายอีก นางปรายตามองกู้โม่หานแล้วพูดว่า “ท่านอ๋อง ข้าจะไปรอเจ้าอยู่บนรถนะ”

พูดจบ นางก็หันหลังแล้วเดินลงจากเรือ ยกมือข้างซ้ายขึ้นมาป้องมือข้างขวา พลางขมวดคิ้ว…..

ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้

ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้

Status: Ongoing
หนานหว่านเยียน อัจฉริยะแห่งวงการแพทย์ ข้ามภพมาเป็นพระชายาอัปลักษณ์ผู้ถูกทอดทิ้งแห่งจวนอ๋องอี้ แต่ด้วยมันสมองของอัจฉริยะ และความแข็งแกร่งฉบับสาวยุคใหม่ เธอจะพลิกเกมกลับมาแก้แค้นไอ้พวกเศษสวะให้สิ้นซาก!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท