ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 497 เจ้าได้รับบาดเจ็บแล้ว
กู้โม่หานส่งคนไปจัดการเรื่องที่เหลือจากนั้น เพิ่งคิดว่าจะกลับไปพร้อมหนานหว่านเยียน กู้โม่หลิงก็โบกพัดลายดอกท้อ เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ชื่นชมยกย่องเป็นอย่างยิ่งว่า
“พี่หก วันนี้เกิดเรื่องไม่คาดฝันเช่นนี้ขึ้น นับว่าต้องลำบากพี่หกเหลือเกินแล้ว หวังว่ากลุ่มคนชั่วช้าอำมหิตของสำนักอู๋หยิ่งนั่น จะถูกจับและนำตัวมาดำเนินคดีได้ในเร็ววัน ”
“นี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว วันนี้มีคนพยายามจะใช้ประโยชน์จากสำนักอู๋หยิ่งมาบังหน้า หมายลอบสังหารคนของแคว้นเทียนเซิ่ง เห็นได้ชัดว่าคนร้ายอยากให้ซีเหย่ตกอยู่ในที่นั่งลำบาก ข้าจะไม่มีวันยอมให้พวกทรยศที่หมายทำลายชาติทำได้สำเร็จแน่”
กู้โม่หานมองอีกฝ่ายด้วยสายตาคาดเดาลึกล้ำ พูดเสียงเรียบเรื่อยมาประโยคหนึ่ง ว่า “นอกจากนี้ เสด็จพ่อยังส่งข้ามาต้อนรับดูแลคณะทูตของแคว้นเทียนเซิ่งด้วย เรื่องคุ้มครองความปลอดภัยให้พวกเขาอย่างรอบด้าน ถือเป็นหน้าที่รับผิดชอบของข้าอยู่แล้ว”
กู้โม่หลิงเลิกคิ้ว ยิ้มละไมพลางโบกพัดเบา ๆ “พี่หกพูดได้ถูกต้องแล้ว”
“พี่หกรีบกลับจวนเร็วสักหน่อยเถอะ ช่วงนี้สถานการณ์ดูไม่ค่อยสงบ”
“ได้”
สองพี่น้องไม่พูดอะไรมากมายอีก กู้โม่หานเดินลงจากเรือไปเลยตรง ๆ เสี้ยววินาทีที่หันหน้ากลับไป ความอบอุ่นในดวงตาก็สูญสลายกลายเป็นชั้นน้ำแข็งเย็นเยียบขึ้นมาทันที เดินตรงดิ่งไปที่รถม้าของจวนอ๋อง
ส่วนกู้โม่หลิงที่อยู่ข้างหลัง แววตาขณะที่มองไปที่เขาก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นมืดทะมึนลงไปทุกที…..
ในรถม้า หลังจากที่หนานหว่านเยียนขึ้นรถมาแล้ว ก็หยิบขวดยาทาขวดหนึ่งออกมา เลิกชายแขนเสื้อข้างขวาของตัวเองขึ้น เผยให้เห็นบาดแผลที่เป็นรอยเลือดเปื้อนเปรอะรอยหนึ่ง
ตอนแรกนางได้รับการปกป้องจากกู้โม่หานก่อน ต่อมาก็ได้รับการปกป้องจาก ทหารค่ายเสินเชื่อต่อ มือสังหารไม่ได้ทำร้ายโดนนางแต่อย่างใด แต่เพราะนางอยู่ในสถานะเตรียมพร้อมต่อสู้ตลอดเวลา ในมือเลยถือเข็มเงินไว้แน่น
ตอนที่กู้โม่หานช่วยองค์หญิงฮั่นเฉิง นางก็เผลอเกิดอาการฟุ้งซ่านเล็กน้อย
นางถึงกับไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเข็มเงินทิ่มใส่ตัวเองไปแล้วเต็มรัก แต่เพราะเข็มเงินของนางทุกเล่มจะเคลือบยาไว้ จนกระทั่งมือของนางเริ่มรู้สึกชานั่นแหล่ะ นางถึงค่อยรู้ตัว
ดังนั้นเมื่อรอจนคนของเทียนเซิ่งกลับไป นางจึงหาข้ออ้างปลีกตัว แล้วหนีขึ้นรถม้าเพื่อมาล้างแผลแล้วรักษาให้เรียบร้อย
หนานหว่านเยียนขมวดคิ้วมุ่น ตอนที่พับแขนเสื้อขึ้น นางถึงเห็นว่าที่มือขวาของตัวเองเป็นสีดำสนิทไปทั้งแถบ นางกินยาแก้พิษ แต่ต้องทำความสะอาดแผล ติดที่ร่างกายของนางตอนนี้เจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหว ส่วนมือซ้ายก็ออกแรงไม่ค่อยได้
นางหงุดหงิดงุ่นง่าน สูดหายใจเข้าลึก ๆ เฮือกใหญ่ “ทำอะไรไม่ได้ดั่งใจเลยจริง ๆ!”
ชั่วขณะนี้เอง ม่านรถก็ถูกคนเปิดออก แสงแดดสายหนึ่งสาดส่องเข้ามา
หลังจากนั้น นางก็ได้ยินเสียงเจือความตื่นตระหนกที่ซ่อนอยู่ในน้ำเสียงทุ้มต่ำของกู้โม่หาน “หนานหว่านเยียน เจ้าได้รับบาดเจ็บเข้าแล้วรึ?!”
หนานหว่านเยียนคิดไม่ถึงว่ากู้โม่หานจะกลับมาเร็วขนาดนี้ นางรีบลดแขนเสื้อลงอย่างรวดเร็ว ใช้ลำตัวปิดบังรอยยาชนิดครีมที่ทาบนแผล แต่ก็ยังถูกชายหนุ่มพบเข้าจนได้
นางพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เจ้าไม่ต้องมายุ่ง”
“ไม่ต้องให้ข้ายุ่ง หรือเป็นเพราะว่ายังโกรธอยู่กันแน่?” กู่โม่หานขึ้นรถม้า นั่งลงข้าง ๆ หนานหว่านเยียนแบบไม่เสียเวลาพิรี้พิไรใด ๆ แล้วสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดว่า “ส่งมือมาให้ข้าดูเร็วเข้า”
หนานหว่านเยียนขมวดคิ้ว ดวงตาใสกระจ่างจ้องชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้าง ๆ แบบตาไม่กะพริบ ก่อนจะกระเถิบตัวไปอีกด้าน “ข้าไม่อยากให้เจ้าดู”
เพิ่งจะพูดจบนางก็ถูกกู้โม่หานดึงเข้าไปในอ้อมแขนแบบไม่ทันตั้งตัว
แต่ครั้งนี้ชายหนุ่มใช้แรงน้อยมาก จึงไม่ทำให้ร่างกายของนางรู้สึกเจ็บปวดแต่อย่างใด
เดิมทีหนานหว่านเยียนคิดจะขัดขืน แต่พบว่าถูกเขาตรึงไว้ในอ้อมแขนจนแน่น จนนางดิ้นเท่าไหร่ก็ดิ้นไม่หลุด
“ปล่อยนะ”
กู้โม่หานไม่สนใจการดิ้นรนของนางอย่างสิ้นเชิง จ้องไปที่มือข้างขวาซึ่งเป็นสีดำคล้ำของนาง แล้วถามว่า “เจ้าไปได้บาดแผลนี้มาได้อย่างไรกัน?”
กู้โม่หานจับมือของหนานหว่านเยียนขึ้นมา ยิ่งสังเกตดูบาดแผลของนางมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งดูเหมือนรอยเข็มเล็ก ๆ ทิ่มมากเท่านั้น แต่เมื่อครู่ก็เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าพวกนักฆ่าล้วนใช้ดาบ
เขาเหลือบมองนางแวบหนึ่ง “หนานหว่านเยียน นี่เจ้าคงไม่ได้ทำตัวเองบาดเจ็บเองหรอกนะ?”
หนานหว่านเยียนยังคงเงียบ สีหน้าเริ่มจะดูน่าเกลียดขึ้นมาแล้ว
มีไฟลุกโชนในดวงตาสีเข้มของกู้โม่หาน มีท่าทางที่ดูไม่สบายใจอยู่หลายส่วน แต่เจ้าตัวฝืนระงับมันลงไปอย่างอดกลั้น “ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไรจนได้แผลมา ตัวเจ้าเป็นหมอเจ้าจะไม่รู้เลยเชียวหรือ? ช่วยตัวเองให้รอดก่อนมันถึงจะช่วยคนอื่นได้เจ้าก็น่าจะรู้ดี มือข้างนี้เจ้าไม่ต้องการแล้วหรืออย่างไร? ช่างแปลกดีแท้ที่เจ้ามีช่วงเวลาที่ทำอะไรตามอำเภอใจได้ถึงขนาดนี้”
หนานหว่านเยียนสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เฮือกหนึ่ง แม้ว่านางจะไม่อยากฟังคำพูดของกู้โม่หาน แต่นางก็ไม่อาจไม่ยอมรับ ว่าสิ่งที่เขาพูดมามันมีเหตุผลจริง ๆ
แต่เพราะนางเป็นหมอ นางเองย่อมรู้ดีว่าฤทธิ์ของยาส่งผลในระดับไหน สถานการณ์เป็นอย่างไร นางมีหนทางรับมือกับมันได้ นางย่อมไม่ทำอะไรเลอะเลือน อย่างการเอาชีวิตตัวเองมาล้อเล่นแน่ๆ
นางคิดจะใช้มือซ้ายเอื้อมไปหยิบขวดยา แต่กลับออกแรงไม่ได้
เมื่อกู้โม่หานเห็นดังนั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย โน้มกายลงไปครึ่งช่วงเอว ใช้แขนอ้อมตัวหนานหว่านเยียน ก็พอจะเอื้อมมือไปหยิบยาที่มือซ้ายของนางมาได้แล้ว “เป็นถึงขนาดนี้แล้ว ยังจะทำเป็นเก่งอีก ข้าช่วยเจ้าเอง ”
พูดจบ เขาก็ยกแขนเสื้อข้างขวาของนางขึ้นตรง ๆ จึงเห็นว่าแขนของนางเป็นสีดำไปทั้งแถบ คิ้วคมพลันขมวดมุ่นขึ้นมาทันที
เขาถึงกับไม่สังเกตเห็นด้วยซ้ำว่านางได้รับบาดเจ็บ ยังจะให้นางไปตรวจวินิจฉัยอาการกับรักษาบาดแผลให้ฉินมู่ไป๋อีก…..
ชั่วขณะหนึ่ง อารมณ์อันสับสนซับซ้อนก็แผ่ซ่านอยู่ในใจของกู้โม่หาน
เขาชะงักไปชั่วครู่ ปลายนิ้วเรียวยาวบีบยาครีมออกมาเล็กน้อย แตะลงบนนิ้วของหนานหว่านเยียนด้วยความระมัดระวัง “เจ็บหรือไม่? อดทนหน่อยนะ”
“จะทายาก็ทายาไปสิ พูดพล่ามอะไรมากมาย” หนานหว่านเยียนรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจ แต่จนใจที่ตอนนี้นางไม่มีเรี่ยวแรงจะต่อต้าน เขาอยากจะทายาก็ทายาไปสิ ไม่ได้อยากจะคุยด้วยสักหน่อย ก็ยังจะหาเรื่องมาด่านางสักคำสองคำให้จงได้
มันน่าด่าซะจริง ๆ เลย!
เมื่อเห็นว่าหนานหว่านเยียนยังมีเรี่ยวแรงปะทะฝีปากกับเขาไหวอยู่ กู้โม่หานก็แค่ขมวดคิ้ว แต่ไม่ได้พูดอะไรอีก ตั้งใจทายาให้นางอย่างจริงจังและพิถีพิถันเป็นที่สุด
บางทีอาจเป็นเพราะยาเม็ดแก้พิษเริ่มออกฤทธิ์ มือของนางนอกจากบริเวณบาดแผลแล้ว ก็ไม่ได้ดำคล้ำอะไรมากมายขนาดนั้น ค่อย ๆ ดีขึ้นมาทีละน้อย
เพียงอึดใจเดียว เขาก็เห็นว่าบริเวณข้อมือของหนานหว่านเยียนเป็นรอยจ้ำสีแดง ๆ เขียว ๆ น้ำเสียงของเขาเจือความสงสัยขึ้นมาทันที
“รอยช้ำเป็นจ้ำ ๆ พวกนี้เจ้าไปได้มาจากไหน ?”
เขารู้สึกอย่างคลุมเครือว่าเมื่อคืนนี้ ดูเหมือนว่าเขาจะคว้าข้อมือผู้หญิงคนนั้นอย่างแรง หรือว่าบางทีอาจจะเป็น…..