ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ – บทที่ 499 เขาปล่อยมือไปไม่ได้แล้ว

ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้

ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 499 เขาปล่อยมือไปไม่ได้แล้ว

หนานหว่านเยียนวางมือลงบนจุดชีพจรของหยีเฟย ตรวจสอบสภาพร่างกายของนางดูอีกครั้ง จากนั้นก็หันหน้าไปมองกู้โม่หาน ในดวงตาที่ใสกระจ่างคู่นั้นไม่มีความรู้สึกใด ๆ ปรากฏให้เห็นมากมายนัก “ชีพจรของเสด็จแม่อยู่ในสภาวะคงที่ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ทั้งจะไม่ตกอยู่ในภาวะหมดสติเป็นเวลานานอีกแล้ว”

“แต่เพราะท่านแม่นอนอยู่บนเตียงมานานหลายปี กล้ามเนื้อส่วนใหญ่เกิดอาการแข็งเกร็งและอ่อนแอ ต้องใช้เวลาระยะหนึ่งในการฟื้นฟูร่างกาย รวมถึงความสามารถทางภาษาก็จำเป็นต้องใช้เวลาฟื้นตัวอีกระยะด้วยเช่นกัน จากนี้ก็ค่อย ๆ ชี้นำอย่างช้า ๆ แบบค่อยเป็นค่อยไปก็พอ ”

เพราะจะอย่างไรนางก็หมดสติมานานถึงสิบกว่าปีแล้ว อุปสรรคด้านภาษาก็จะกลายเป็นปัญหาใหญ่เช่นกัน เรื่องแบบนี้จะรีบร้อนไม่ได้

“อื้ม” กู้โม่หานตอบรับเบา ๆ เห็นแววตาของหยีเฟยที่มองมา หว่างคิ้วก็พลันถูกย้อมด้วยความวิตกกังวลจนเห็นได้ชัด

หนานหว่านเยียนหันหน้าไปพูดกับหวังหมัวมัวว่า “หวังหมัวมัว จากนี้ประคบร้อนให้เสด็จแม่วันละสามครั้ง ระหว่างนั้นให้คอยนวดกล้ามเนื้อของเสด็จแม่เป็นครั้งคราวเพื่อช่วยในการผ่อนคลายด้วยล่ะ”

“หลังจากนี้ไป ข้าจะตรวจและติดตามอาการให้เสด็จแม่ซ้ำเป็นระยะ จะพยายามทำให้อาการของท่านดีขึ้นได้โดยเร็ว”

หวังหมัวมัวตอบอย่างรวดเร็วว่า “เจ้าค่ะ ข้าน้อยเข้าใจแล้ว”

หยีเฟยจ้องมองหนานหว่านเยียนด้วยสายตาที่เป็นประจายเจิดจ้า ปฏิกิริยาทางอารมณ์ของนางไม่ได้ดูตื่นเต้นเหมือนครั้งก่อนแล้ว แต่ในแววตายังคงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีเจตนาร้ายใด ๆ เช่นกัน

หนานหว่านเยียนใช้มือสัมผัสไปตามบริเวณหลังคอของหยีเฟย ในขณะที่หยีเฟยพยายามเบิกตากว้างอย่างเต็มที่ กระพริบตาใส่หนานหว่านเยียนไม่หยุด ริมฝีปากสั่นเทาน้อย ๆ ทั้งพยายามเงยหน้าขึ้นอย่างสุดกำลัง แต่เพราะนางยังอ่อนแอเกินไป จึงไม่อาจทำได้ตามที่ต้องการ

หนานหว่านเยียนไม่เข้าใจว่าหยีเฟยต้องการจะทำอะไร จึงขมวดคิ้วมุ่น

แต่นางรู้สึกได้ว่า หยีเฟยดูเหมือนมีอะไรที่อยากจะพูดกับนาง…..

ส่วนหวังหมัวมัวก็จ้องมองไปที่หยีเฟยตลอดเวลาเช่นกัน เมื่อเห็นว่านางแสดงท่าทีแบบนั้น ก็อดหันไปมองกู้โม่หานด้วยความคิดอันหนักอึ้งในใจไม่ได้ “ท่านอ๋อง…… ”

หยีเฟยเหนียงเหนียงมีท่าทางร้อนรนกังวลใจเช่นนี้….. จะเป็นไปได้หรือไม่ว่านางยังทำใจรับไม่ได้ที่พระชายามีสถานะเป็นลูกสาวของจวนเฉิงเซี่ยง เลยอยากจะไล่พระชายาไปให้พ้น ๆ หน้า ?

เมื่อกู้โม่หานเห็นท่าทางของหยีเฟย ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้เช่นกัน

หรือว่าเสด็จแม่ อาจจะยังรู้สึกกลัวหนานหว่านเยียนอยู่?

ในตอนนั้น เสด็จแม่ถูกจวนเฉิงเซี่ยงทำร้ายอย่างน่าอนาถขนาดนั้น อีกทั้งหนานหว่านเยียนก็เป็นคนของจวนเฉิงเซี่ยงด้วย…..

เขามองไปที่หนานหว่านเยียน นัยน์ตาหงส์เรียวยาวฉายแววเย็นชา พูดด้วยน้ำเสียงอึมครึมว่า: “เสด็จแม่มีหวังหมัวมัวเป็นธุระดูแลให้อยู่ที่นี่แล้ว เจ้ากลับไปก่อนเถอะ”

หนานหว่านเยียนเองก็พอจะรู้ว่าคนเหล่านี้กำลังคิดอะไรอยู่ พูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า : “ข้าจะพยายามทำให้เสด็จแม่พูดได้โดยเร็วที่สุด”

พูดจบ นางก็หันหลังเดินกลับออกไปก่อน

กู้โม่หานมองตามเงาแผ่นหลังที่ค่อย ๆ ห่างออกไปของหนานหว่านเยียน นัยน์ตาหงส์ที่เย็นชาและเฉียบคมหรี่ลงเล็กน้อย มีอารมณ์สับสนปั่นป่วนซ่อนอยู่ในดวงตาลึก ๆ เป็นความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายออกมาได้อย่างชัดเจน

หยีเฟยยังคงจ้องมองหนานหว่านเยียนไม่หยุด จนกระทั่งเงาร่างของหนานหว่านเยียนหายลับไป นางถึงค่อย ๆ หลับตาลง สายตาดูว่างเปล่าเลื่อนลอย

ในเวลานี้เอง หวังหมัวมัวก็หันไปเปิดบทสนทนากับกู้โม่หานเบา ๆ ว่า “ท่านอ๋อง ข้าน้อยมีอะไรที่อยากจะพูดกับท่านสักหน่อยเจ้าค่ะ”

กู้โม่หานขมวดคิ้ว ก่อนจะเดินตามหวังหมัวมัวออกไปที่มุมหนึ่ง

สายตาของหวังหมัวมัวยังคงมองไปที่หยีเฟย สีหน้าดูเป็นทุกข์เล็กน้อย

“ท่านอ๋อง แม้ว่าข้าน้อยจะรู้อยู่ว่าเรื่องแบบนี้พูดออกมาแล้วมันคงจะไม่สมควรนัก แต่เพื่อหยีเฟยเหนียงเหนียงแล้ว ข้าน้อยก็ต้องขอบังอาจพูดสักสองสามประโยคเถิดเจ้าค่ะ”

“ในที่สุดหยีเฟยเหนียงเหนียงก็ตื่นขึ้นมาได้ ความดีความชอบของพระชายาครั้งนี้ย่อมไม่อาจมองข้าม แล้วข้าน้อยก็ยังรู้ด้วยว่า พระชายาแตกต่างจากคนในจวนเฉิงเซี่ยงกลุ่มนั้น แต่สองครั้งที่ผ่านมา ท่าทางของหยีเฟยเหนียงเหนียงที่มีต่อพระชายาเป็นเช่นไร เชื่อว่าท่านอ๋องก็ได้เห็นด้วยตาตัวเองแล้วนะเจ้าคะ”

หวังหมัวมัวสังเกตสีหน้าของกู้โม่หานอย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้โกรธ จึงพูดต่อด้วยความรู้สึกวางใจว่า “ข้าน้อยเห็นใจหยีเฟยเหนียงเหนียง ไม่อยากให้นางถูกกระตุ้นอยู่ตลอดเวลา เพราะถึงอย่างไรหากพูดกันตามตรงแล้ว พระชายาก็เป็นคนของจวนเฉิงเซี่ยงอยู่ดี”

“ความทุกข์ทรมานที่เหนียงเหนียงได้รับในตอนนั้น มันโหดร้ายเหนือกว่าจินตนาการของคนทั่วไปที่จะคาดคิดได้ มาตอนนี้นางอุตส่าห์ตื่นขึ้นมาได้อย่างยากลำบาก นับจากนี้ก็อย่าให้พระชายามาปรากฏตัวต่อหน้าเหนียงเหนียงบ่อย ๆ เลยนะเจ้าคะ”

“ยังมีอีกนะเจ้าคะ ท่านโปรดให้ความสนใจพระชายารองหยุนมากขึ้นอีกหน่อยเถอะเจ้าค่ะ เพราะจะอย่างไรนางก็เป็นผู้หญิงของท่าน ทั้งยังจิตใจโอบอ้อมอารีมีความกตัญญู เมื่อครู่หยีเฟยเหนียงเหนียงเห็นนาง ก็ไม่มีท่าทีปฏิเสธนางด้วย”

พูดจบ หวังหมัวมัวก็มองไปที่กู้โม่หานด้วยสายตาเปี่ยมความกังวล ในแววตาลึก ๆ เต็มไปด้วยความคาดหวัง

นิ้วเรียวยาวของกู้โม่หานกำแน่นจนกระดูกข้อต่อเปลี่ยนเป็นสีขาว ไม่มีร่องรอยของอารมณ์ใด ๆ ปรากฏบนใบหน้าอันหล่อเหลานั้นเลย

เขารู้ว่าสิ่งที่หวังหมัวมัวพูดมานั้นล้วนถูกต้อง แต่เขากลับไม่อยากทำอย่างนั้น

เขาไม่อาจปล่อยมือจากหนานหว่านเยียนได้แล้ว…..

เขาพูดอย่างเย็นชา น้ำเสียงที่ใช้ไม่อนุญาตให้ใครสอดปากสอดคำได้ “เรื่องในบ้านของข้า ข้าย่อมมีการตัดสินใจที่เหมาะสมของตัวเองอยู่ จากนี้ไปหวังหมัวมัวแค่ตั้งใจดูแลเสด็จแม่ให้ดีก็พอ เรื่องอื่นใดจงอย่าได้ยื่นมือเข้ามาสอด”

“เรื่องของชายารองหยุนก็เช่นกัน ถ้าหลังจากนี้นางยังคิดจะมาที่เรือนจิ้งฉานอีกล่ะก็ ให้ปฏิเสธนางอย่างเด็ดขาด เสด็จแม่ต้องการเวลาพักฟื้นร่างกายอย่างสงบ อย่าให้ใครที่ไม่เกี่ยวข้องย่างเท้าเข้ามาในเรือนของท่านแม่ได้แม้แต่ก้าวเดียว”

ร่างกายของชายหนุ่มเต็มไปด้วยปราณอำมหิต หวังหมัวมัวพอเห็นท่าทางอันตรายก็เกิดความหวาดกลัว รู้ตัวขึ้นมาทันทีว่านางคงพูดอะไรผิดไปแน่ ๆ จึงรีบคุกเข่าลงแล้วพูดว่า “ข้าน้อยปากพล่อย จากนี้ไปข้าน้อยจะไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีกเจ้าค่ะ”

“คำสั่งของท่านข้าน้อยฟังเข้าใจแล้ว ต่อจากนี้ไป จะไม่ปล่อยให้พระชายารองหยุนเข้ามาในเรือนจิ้งฉานได้อีก”

กู้โม่หานหันไปมองหยีเฟยบนเตียงแวบหนึ่ง ตอนนี้นางยังไม่สามารถพูดได้ ต่อให้ตัวเองอยู่เรือนจิ้งฉาน ก็ไม่มีอะไรที่เขาจะทำเพื่อนางได้สักอย่าง

“ลุกขึ้นเถอะ ดูแลปรนนิบัติเสด็จแม่ตามคำสั่งของพระชายาให้ดี ๆ ล่ะ”

พูดจบ เขาก็หันหลังแล้วเดินจากไป

“เจ้าค่ะ” หวังหมัวมัวลุกขึ้นยืนในสภาพตัวสั่นงันงก มองตามแผ่นหลังของกู้โม่หานไป อดรู้สึกใจสั่นหวั่นระทึกไม่ได้ นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแค่กล่าวเตือนกู้โม่หานไปแค่ไม่กี่คำ ก็จะทำให้เขาโกรธได้ขนาดนี้แล้ว

ดูเหมือนว่า ความรู้สึกที่ท่านอ๋องมีต่อพระชายา จะเป็นความห่วงใยใส่ใจอย่างแท้จริงแน่แล้ว….

กู้โม่หานกลับไปดูอาการเสิ่นอี่ว์ที่เรือนซีเฟิง เมื่อเห็นว่าเขายังคงไม่ฟื้น จึงหันหลังเดินตรงไปที่ห้องหนังสือ

ที่หน้าประตูห้องหนังสือ เซียวลี่มารออยู่นานมากแล้ว เมื่อเห็นกู้โม่หานก็เดินขึ้นหน้าไปพบเขาทันที สีหน้าดูเคร่งขรึมหนักอึ้งอย่างยิ่ง

“ท่านอ๋อง มีข่าวแล้วขอรับ…”

ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้

ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้

Status: Ongoing
หนานหว่านเยียน อัจฉริยะแห่งวงการแพทย์ ข้ามภพมาเป็นพระชายาอัปลักษณ์ผู้ถูกทอดทิ้งแห่งจวนอ๋องอี้ แต่ด้วยมันสมองของอัจฉริยะ และความแข็งแกร่งฉบับสาวยุคใหม่ เธอจะพลิกเกมกลับมาแก้แค้นไอ้พวกเศษสวะให้สิ้นซาก!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท