ตอนที่ 667 สมคบคิดกับศัตรูเพื่อขายชาติ
ตอนเช้าของวันต่อมา หลายวันติดต่อกันมานี้เมฆฝนที่ปกคลุมอย่างหนาในที่สุดก็ฟ้าเปิด เฝิงเยี่ยไป๋เก็บกวาดเป็นระเบียบเรียบร้อยตั้งแต่เช้า หอมไปที่แก้มเฉินยางทีหนึ่ง ทำให้นางรู้สึกตัวตื่น ยิ้มอย่างมีเลศนัยแล้วพูดว่า “ข้าต้องไปแล้ว ประเดี๋ยวจะเข้าวังไม่ทัน”
เฉินยางหาวคดอยู่ในผ้าห่ม มือยื่นออกมาจากผ้าห่มแล้วจับไปที่เสื้อผ้าของเขา “ซั่งเหมยเป็นคนของข้า เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานอย่าไปกล่าวโทษนางเลย เว้นโทษนางเถอะ”
แท้ที่จริงแล้วเป็นความผิดของนาง ทำให้คนอื่นเดือดร้อนทำให้นางเสียใจยิ่งนัก ทั้งยังนางเองก็ไม่เป็นอะไร ซั่งเหมยคุกเข่าตั้งแต่เมื่อวานตอนเที่ยงจนถึงตอนนี้ ระยะเวลานานมากแล้ว ฤดูหนาวแบบนี้ พื้นก็เย็น คุกเข่าจนทำให้เขาได้รับบาดเจ็บจะเป็นปัญหาตลอดชีวิต นางผู้หญิงคนเดียว ยังไม่ทันได้ออกเรือนก็จะกลายเป็นคนพิการ วันข้างหน้าจะต้องทำอย่างไร
เฝิงเยี่ยไป๋เขี่ยปลายจมูกนาง “ก็เป็นเพราะว่าเจ้าปล่อยให้พวกเขากระทำผิดโดยไม่ขัดขวางเป็นปกติอยู่แล้ว จึงทำให้พวกนางกล้ากำเริบเสิบสานได้ถึงเพียงนี้ ไม่รู้จักว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ ครั้งก่อนทำนายน้อยหายไป ครั้งนี้ก็ทำนายใหญ่หายไปอีก ถ้าไม่ทำโทษให้หนัก พวกนางก็คงไม่หลาบจำ”
เฉินยางพลิกหันหลังให้เขา “ได้ ท่านจะพูดอะไรก็ดูเหตุผลไปหมด” คนก็เป็นคนของนาง ที่ถามแบบนี้ไปก็เพราะว่าเห็นแก่หน้าเขา รอให้เขาออกไปก่อน นางอยากจะทำโทษใครไม่ทำโทษใคร ก็เป็นแค่เรื่องสั่งไปประโยคเดียว
เฝิงเยี่ยไป๋รู้ดีว่านางคิดอะไรอยู่ จับไหล่นางหันมา จูบไปที่ริมฝีปากของนาง พูดสาบานเป็นคำมั่นสัญญาขึ้นว่า “เจ้าสบายใจได้ อีกไม่กี่วันเดี๋ยวข้าจะอุ้มลูกชายกลับมาให้เจ้า จะต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน เจ้าอย่างเป็นกังวลใจไปเลย”
เฉินยางคลุมผ้าห่มหลับตาลง “ท่านรีบไปราชสำนัก ประเดี๋ยวจะสาย” ไม่ใช่ว่านางไม่อยากลุกขึ้นมา แต่ว่านางลุกขึ้นมาไม่ไหวจริงๆ เมื่อคืนนางเจอหายนะอย่างหนักเหมือนไปรบอย่างนั้น วันนี้ตื่นขึ้นมาปวดไปทั้งเนื้อทั้งตัว อย่าว่าแต่ลุกขึ้นมาเลย แค่จะขยับแขนก็ทำไม่ได้ จะมีแรงที่ไหนไปรับมือกับเขา
เฝิงเยี่ยไป๋ก็เข้าใจว่านางลำบาก ก็ไม่กวนใจนางมากนัก วันนี้ยังมีธุระอีกมากมายที่ต้องสะสาง ถ้าฮ่องเต้ทราบว่าเขากลับมาแล้ว ก็ไม่แน่ว่าจะมีเรื่องอะไรทะเลาะกันอีก เขาเองก็เหนื่อยแล้ว เหลือแรงเหล่านี้ไปจัดการกับคนอื่นดีกว่ามาใช้กับคนที่แข็งแกร่งกว่าตัวเอง
เมื่อวานฮ่องเต้เพิ่งจะตอบกลับจดหมายของเฝิงเยี่ยไป๋ไป คิดไม่ถึงว่าวันนี้เช้าจะได้เจอหน้าเขาที่ราชสำนัก ตัวเองโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แต่เขากลับยังเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เดินไปยืนอยู่ตรงนั้น ทำมือคำนับทำความเคารพ ทำเหมือนมาก สายตาเขามองออกอย่างชัดเจนว่าดูถูกเหยียดหยามเขา เห็นได้ชัดว่ากำลังดูถูกเขาที่เป็นฮ่องเต้
ไม่มีใครรู้ว่าเขากลับมา คนทั้งราชสำนัก ตอนที่เห็นว่าเขากลับมาแล้วล้วนตกใจมาก ฮ่องเต้ประทับนั่งอยู่บนบัลลังก์ ภายในพระตำหนักไท่เหอดูเงียบสงบ เสียงหายใจของฮ่องเต้กระแทกเข้าหูของขุนนางในราชสำนักเป็นระลอกๆ และยังประคองแบบสุขุมรอบคอบมีประสบการณ์ ทำไมถึงไม่มีคนสนใจก็พอกันที ชี้ไปอวี่เหวินลู่ด่าขึ้นว่า “ไม่ใช่เจ้าต้องอยู่ที่เมืองฉุยหรอกหรือ ใครให้เจ้ากลับมา ข้ามีราชโองการให้เจ้ากลับมาตอนไหนกัน”
เฝิงเยี่ยไป๋ทำมือคำนับ พูดขึ้นอย่างช้าๆ ว่า “ฝ่าบาทบอกแค่เพียงว่าให้กระหม่อมไปทำให้ความวุ่นวายในเมืองฉุยสงบลง ตอนนี้ความวุ่นวายในเมืองฉุยก็ได้สงบลงไปแล้วเรียบร้อย กระหม่อมจึงต้องกลับมารายงานผลการปฏิบัติงานให้ราชสำนัก มิเช่นนั้นจะเท่ากับเป็นการไม่ให้เกียรติพระราชโองการของฝ่าบาทมิใช่หรือ”
ไม่ให้เกียรติพระราชโองการ เขาก็รู้ตัวเองดีว่าเป็นการไม่ให้เกียรติพระราชโองการ วันปกติฮ่องเต้ลำบากเสแสร้งทำเป็นสุขุมไปอย่างนั้น พอเรียกเฝิงเยี่ยไป๋เท่านั้นความสุขุมนั้นถูกกระทุ้งแตก ลงเดินลงมาจากบัลลังก์ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็รายงานข้ามา สุดท้ายแล้วเจ้าจัดการความวุ่นวายให้สงบลงอย่างไร” การเกิดการปะทะกันภายในของเฉินตาน เพราะพี่น้องแย่งชิงบัลลังก์ต่างฝ่ายต่างฆ่ากันเอง เดิมทีแล้วนี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่กองกำลังทหารของเราจะตีทหารเฉินตานแตก แล้วเจ้าละ เจ้าทำอะไร เจ้าไม่เพียงไม่ถือโอกาสที่ดีที่สุดโจมตี แต่เจ้ากลับช่วยให้องค์หญิงเฉินตานแย่งชิงบัลลังก์ไปได้ ท่านอ๋องทำแบบนี้ ทำให้ข้าสงสัยเสียแล้วว่าท่านอ๋องเป็นผู้ต้องสงสัยคบคิดกับศัตรูเพื่อขายชาติ”
ตอนที่ 668 ลูกชายหายไปในฐานะที่เป็นพ่อจะไม่ให้เจ็บปวดใจได้อย่างไร
โทษฐานที่สมคบคิดกับศัตรูเพื่อขายชาติหนักมาก เฝิงเยี่ยไป๋ฟังคำฟ้องร้องของฮ่องเต้จบ พูดขึ้นอย่างช้าๆ ว่า “ฝ่าบาทเป็นผู้ปกครองแผ่นดินนี้ สิ่งที่ควรไตร่ตรองตอนนี้คือจะรักษาตัวเองให้รอดพ้นจากศึกภายนอกและศึกภายในได้อย่างไร การรบกับซู่อ๋องครั้งนี้ แม้ว่าราชสำนักจะพ่ายแพ้ให้กับซู่อ๋อง จำนวนของศัตรูบาดเจ็บไปเป็นพันฝ่ายเราเองเสียหายไปแปดร้อยแตกต่างกันอย่างไรกับการรบแพ้ จะจัดการกับเฉินตานง่ายดายเพียงนิดเดียว แต่เมืองเล็กๆ น้อยๆ ที่อยู่รอบๆ เมืองฉุยไม่สงบตามไปด้วยก็เป็นความลำบากอีกอย่างหนึ่ง ถ้าไม่สนใจเมืองเล็กๆ พวกนี้ภายภาคหน้าอาจเป็นปัญหาใหญ่ได้ ฝ่าบาทคุ้นเคยกับการอ่านหนังสือนักปราชญ์มาตั้งแต่ยังเล็ก จะต้องรู้จักหลักการที่ว่าการพยายามต่อสู้กับผีน้อยไม่ยอมปล่อย การที่ราชสำนักแจกจ่ายกำลังทหารเอามาใช้กับรับมือกับเมืองเล็กๆ เหล่านี้ จะมีพวกที่มีความรู้มากแต่ทำงานในตำแหน่งที่ต่ำ ในเมื่อมีวิธีจะทำให้สุขสบายไปตลอด ทำไมจะต้องสิ้นเปลืองกำลังทหารไปวุ่นวายพวกเขาด้วย”
อย่างไรเขาก็กินข้าวมามากกว่าฮ่องเต้เป็นสิบกว่าปี ฮ่องเต้ยังอายุน้อย ใจร้อนเกินไป จะทำการอะไรไม่ค่อยรอบคอบ มากไปกว่ายังรีบร้อนสร้างอำนาจและชื่อเสียง ดังนั้นจึงคิดเพียงแค่ว่าจะใช้กำลังทหารแก้ไขปัญหา วิธีของเฝิงเยี่ยไป๋สะท้อนให้เห็นความสำคัญแบบระยะยาว ไม่เพียงแต่ไม่สูญเสียกำลังทหาร แต่กลับยังแย่งกำลังทหารกลับคืนมา นี่ถึงจะเป็นสิ่งที่นายทหารควรทำ บอกว่าการจัดการปัญหาของเขาไม่รีบร้อนไป พอดีตรงกันข้ามกับฮ่องเต้ที่ใจร้อนมากจนเกินไป เปรียบเทียบอย่างนี้ ฮ่องเต้แม้ว่าจะเป็นฮ่องเต้แต่ดูออกว่าไม่ค่อยจริงจังเท่าใดนัก
ฮ่องเต้ถูกพูดหักหน้าจนไม่มีอะไรจะพูด
ในเมื่อมีคนยืนขึ้นมาทำความเคารพดูถูกอย่างโจ่งแจ้ง ให้มากอีกหน่อยก็ไม่เป็นอะไร ถ้าฮ่องเต้รู้แค้นใจใครสักคนคนบางทีสามารถจัดการเก็บได้เลย แต่ถ้าขุนนางทั้งหมดเห็นด้วย ฮ่องเต้คงไม่สามารถจัดการเก็บได้ทีละคน
มีเสียงคล้อยตามขึ้นมาต่อกันไม่ขาด เสียงวุ่นวายปนอยู่ด้วยกัน แยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร เสียงดังจนฮ่องเต้ปวดหัว ตบไปที่โต๊ะหนึ่งที พูดขึ้นว่า “หุบปากให้หมด!” แล้วหันกลับไปมองเฝิงเยี่ยไป๋ “ช่วงหนึ่งข้าได้ยินว่าลูกชายของเจ้าหายตัวไป น่าสงสารเสียจริง เด็กตัวเล็กๆ หายไปได้อย่างไรกิน หัวอกคนเป็นแม่จะเจ็บปวดใจเพียงใด เจ้าในฐานะที่เป็นพ่อในเมื่อกลับมาแล้ว ก็ควรเอาใจใส่เสียหน่อย ระยะนี้ในเมืองหลวงไม่ค่อยสงบ ไม่แน่ว่าอาจมีคนคิดไม่ดีขึ้นมา แม้แต่เด็กเองก็ไม่ยอมปล่อย เด็กตัวเล็กๆ ขนาดนี้ เพิ่งลืมตาดูโลก ยังไม่ทันได้ลิ้มรสชาติของชีวิตเลย ถ้าเกิดตายไปแบบนี้ คงน่าเสียดายมาก”
คำพูดนี้ที่ฮ่องเต้พูดออกมาพูดได้ชัดเจนมาก นึกไม่ถึงว่าจะเอ่ยถึงลูกชายของเขา พูดแบบนี้ออกมาถ้าจะบอกว่าไม่ได้ข่มขู่คงไม่มีคนเชื่อ หน้าของเฝิงเยี่ยไป๋ไม่มีความรู้สึกใดๆ ขมวดคิ้วแล้วมองไปที่ฮ่องเต้ คำนับ “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเป็นห่วง ลูกชายของกระหม่อม กระหม่อมจะต้องตามหาให้เจอแน่นอน คนสารเลวนั่น ข้ารู้แล้วว่าเป็นใคร ข้าเชื่อว่าอีกไม่นานต้องมีบทสรุป”
เวลานี้ไม่มีคนกล้าพูดแทรกขึ้นมา การพูดฟังดูเป็นคำพูดที่ไร้สาระ แต่ไม่ว่าบนผ้าจะมีลวดลายมากมายขนาดนั้น ความหมายที่สื่อออกมาทุกคนกลับฟังเข้าใจหมด แต่ว่าคนทั้งสองคนก็ไม่มีใครกล้าทำผิดต่อใคร เมื่อครู่มีเสียงเยอะแยะมากมาย ฮ่องเต้แยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร ตอนนี้คนทั้งสองคนพูดกัน ใครกล้ามีเสียงขึ้นมาเวลานี้ ก็หมายความว่าอยากรีบตาย อย่างไรเสียเงียบเสียรักษาชีวิตดีกว่า
ฮ่องเต้ก็ไม่ได้วางแผนว่าจะต้องปิดเรื่องนี้ ระหว่างทั้งสองคนประลองฝีมือกันจากไหนถึงไหน ตามฝ่ายต่างปล่อยพลัง ฮ่องเต้เองกะจะไม่ให้เขามีชีวิตต่อไป และยังหวังจะพึ่งกำลังจากทหารมาผูกมัดใจคน เขาคิดว่าตัวเขาเองทำดีพอแล้ว ขอเพียงแค่พวกเขายอมทำตาม ไม่ว่าจะใช้วิธีการใดก็ได้ ไม่ต้องสนใจว่าทำไมพวกเขาถึงกลัวเขา เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ก็ได้แล้ว
เฝิงเยี่ยไป๋ดึงแหวนจากนิ้วเขา มองไปที่ฮ่องเต้ มุมปากเผยอขึ้น ฮ่องเต้เป็นคนที่ไทเฮาเลี้ยงมา มีความทะเยอทะยาน มีความสุขุม หากกล่าวหาว่าเขาฆ่าพ่อเพื่อชิงบัลลังก์ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้