ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 518 หว่านหว่านได้รับบาดเจ็บ?
หลังจากกู้โม่หานกับหนานหว่านเยียนออกมาจากจวน เรื่องที่พ่อบ้านกาวทำร้ายเสิ่นอี่ว์ เป็นที่รู้กันไปทั่วทั้งจวนอี้อ๋อง
ทุกๆเรือนล้วนแลดูเงียบอย่างผิดปกติ มีเพียงภายในเรือนเซียงหลิน พวกบ่าวใช้ไม่ได้พูดคุยกัน
ภายในเรือน โม่หวิ่นหมิงกับโม่หลีเฝ้าอยู่ข้างกายยัยหนูสองคน
เซียงอวี้ก็อยู่ เมื่อรู้เรื่องพ่อบ้านกาว สีหน้าก็แย่ลงทันที
เกี๊ยวน้อยสวมชุดขนกระต่ายปุกปุย นั่งอยู่ด้านข้างโต๊ะหิน ขาสั้นสองข้างห้อยอยู่กลางอากาศ ยกแขนเล็ก ๆ ทั้งสองขึ้นสูงแล้วพับแขนเสื้อขึ้น โบกสะบัดอยู่กลางอากาศ
“เห้อ เฮ้อ ฮ่า โม่เซียนเซิง ท่านดูทรงมวยของข้าเป็นอย่างไรบ้าง”
สายตาโม่หวิ่นหมิงมองทางเกี๊ยวน้อยอย่างอ่อนโยน สายตาโม่หลีกลับยิ่งรักใคร่
“ท่าทีมาดดี แต่เรี่ยวแรงยังไม่พอ” เขาคว้าจับมือซ้ายของเกี๊ยวน้อยไว้อย่างใจเย็น พร้อมสอนนางว่า “กระบวนท่านี้แรงอ่อนไหว ไม่ใช่กำลังที่ดุร้าย แต่ตอนนี้ เสี่ยวจวิ้นจู่ทำได้ถึงขนาดนี้ ถือว่ามีพรสวรรค์อย่างมากแล้ว”
แววตาทั้งคู่ของเกี๊ยวน้อยเป็นประกาย พร้อมพูดขึ้นว่า “เอ้ จริงๆด้วย แบบนี้ไม่รู้สึกเหนื่อยด้วย หมัดที่ต่อยก็มีแรง ขอบคุณโม่เซียนเซิง”
ส่วนซาลาเปาน้อยเกล้าผมมวยสองข้าง ดวงตากลมโตทั้งคู่แฝงไปด้วยความสดใส นางกำลังก้มหน้าตั้งใจอ่านหนังสือ จู่ๆ นางเงยหน้าขึ้นมา พร้อมถามขึ้นว่า “โม่เซียนเซิง ตรงนี้ข้าไม่ค่อยเข้าใจ ท่านสอนข้าหน่อยได้ไหม?”
“ตรงไหน ตรงไหน ข้าดูสิ” เกี๊ยวน้อยรีบขยับเข้าไปใกล้ แก้มน้อยๆแนบชิดหน้าซาลาเปาน้อย
ทั้งสองพี่น้องอ้วนตุ๊ต๊ะ ดูแล้วน่ารักอย่างมาก
โม่หลีมองดูเกี๊ยวน้อยอย่างตั้งใจ แล้วก็เห็นเกี๊ยวน้อยจ้องมองหนังสือด้วยคิ้วขมวด จากนั้นก็กางนิ้วตัวเองขึ้นมานับว่า “หนึ่ง สอง สาม….”
ซาลาเปาน้อยเอียงหัวมองดูพี่สาว พร้อมพูดขึ้นว่า “พี่สาว เจ้ากำลังทำอะไร?”
เกี๊ยวน้อยยิ้มแย้มอย่างภาคภูมิใจ พร้อมชูนิ้วตนเองขึ้นมาสี่นิ้ว
“ข้ากำลังนับว่าพวกข้าอายุเท่าไหร่ เจ้าดูสิในหนังสือนี้เขียนว่า สามขวบดูโต เจ็ดขวบดูแก่ งั้นพวกข้าสี่ขวบ ดูเป็นยังไง?”
พูดเสร็จ โม่หลีกับโม่หวิ่นหมิงต่างก็หัวเราะออกมา
เซียงอวี้เห็นพวกเขาทั้งสี่คนมีความสุข ภายในใจลึกๆ ความรู้สึกที่โกรธและเศร้าที่มีต่อพ่อบ้านกาว ค่อยผ่อนคลายลงไม่น้อย
โม่หลีหยิบเอาหนังสือมาจากมือของซาลาเปาน้อย หลังจากกวาดมองดูแล้ว มีแสงสีทองเข้มปรากฏอยู่ในดวงตาที่ลึกล้ำของเขา
“สิ่งที่ในหนังสือพูดถึง คือสอนให้คนเรารู้จักศีลธรรม นิสัยตอนสามขวบกำหนดวัยเด็ก นิสัยตอนเจ็ดขวบกำหนดชีวิต เป็นเพียงคำเปรียบเปรย”
“ข้าน้อยเห็นว่า ตอนนี้เสี่ยวจวิ้นจู่ทั้งสอง อยู่ในช่วงวัยที่มีอิสรเสรีที่สุด หนานจือเพราะฉลาดหลักแหลมมาก ถึงแม้ทางด้านวรรณกรรมจากค่อนข้างยาก แต่อายุยังน้อย มีพรสวรรค์ทางด้านการเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ อนาคตจะต้องเป็นวีรสตรีที่ทรงพลังคนหนึ่งแน่ อีกอย่าง อาจจะได้เป็นแม่ทัพหญิงที่เก่งกาจ หรือเป็นสตรีเทพสงคราม”
“ส่วนหนานเสี่ยว เจ้ามีความรู้ มีมารยาท นิสัยอ่อนโยน ทำอะไรรอบคอบละเอียดอ่อน ถึงแม้จะค่อนข้างไม่มีเรี่ยวแรง แต่มีความรอบรู้เรื่องตำราบทกวี การประดิษฐ์ในด้านกลศาสตร์ แค่บอกก็รู้ อนาคตจะต้องเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่มีผลงานโดดเด่นแน่”
ไม่เสียแรงที่เป็นถึงลูกสาวของหว่านเยียน ต่างเก่งกาจอย่างมาก
รอยยิ้มในดวงตาโม่หลี ค่อยๆเพิ่มมากขึ้น แฝงไปด้วยความภาคภูมิใจและรักใคร่อย่างมาก โม่หวิ่นหมิงมองเห็นแบบนี้ ก็รู้สึกถึงความอบอุ่นขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
เกี๊ยวน้อยกับซาลาเปาน้อย ฟังอยู่อย่างรู้เรื่องครึ่งไม่รู้เรื่องครึ่ง แต่รู้ว่าสิ่งที่โม่หลีพูด ล้วนเป็นคำพูดที่ดี ให้ทั้งสองพี่น้องยิ้มหน้าบาน ยิ้มจนเห็นฟันไม่เห็นตา พร้อมพูดขึ้นว่า “ขอบคุณโม่เซียนเซิง ข้าจะพยายามต่อไป”
“ข้าก็เหมือนกัน ข้าจะไม่ดื้อเอาแต่ใจ ข้าจะเป็นเทพสงคราม”
บรรยากาศภายในเรือนมีความปรองดองกลมกลืนกันอย่างมาก ทุกคนต่างหัวเราะออกมา เวลานี้ อวี๋เฟิงกลับไปยังจวนอ๋องอย่างเศร้าสลดใจ
เอาพ่อบ้านกาวไปทิ้งไว้ในหลุมฝังศพหมู่ ในใจของเขาก็ยิ่งโกรธโมโหไม่สงบสุข ยังค่อนข้างทุกข์ทรมาน ตอนที่เดินเข้ามาในเรือนเซียงหลินด้วยสายตาแดง แล้วก็มองเห็นบรรยากาศคนทั้งห้าในเรือน เข้ากันได้อย่างเป็นปี่เป็นขลุ่ย
อวี๋เฟิงมองดูเด็กหญิงสองคนหัวเราะยิ้มแย้มร่าเริง ระงับความหงุดหงิดคับอกคับใจไว้ในใจ แล้วเดินไปทำความเคารพพวกเขา
“ข้าน้อยถวายความเคารพจวิ้นจู่ทั้งสอง ท่านปู่หมิง โม่เซียนเซิง”
โม่หลีมองเห็นท่าทีแปลกประหลาดของอวี๋เฟิง สายตากะพริบ แล้วหันไปส่งสายตาให้กับโม่หวิ่นหมิง
โม่หวิ่นหมิงผงกหัวเล็กน้อย แล้วพูดกับเด็กหญิงทั้งสองอย่างยิ้มแย้มอ่อนโยนว่า “พวกเจ้าไปเล่นกับล่าปู๋ล่าที่เรือนด้านหลังก่อน พร้อมกับลองดูกลไกที่เมื่อวานข้ากับโม่เซียนเซิงทำขึ้นมาใหม่”
“ได้เลย”เด็กหญิงทั้งสองอยากลองแต่แรกแล้ว ตอนนี้จึงผงกหัวอย่างตื่นเต้น พร้อมวิ่งไปเล่นกลไกอย่างดีอกดีใจ
รอเมื่อเด็กหญิงทั้งสองไปไกลแล้ว โม่หวิ่นหมิงค่อยมองดูเซียงอวี้กับอวี๋เฟิง พร้อมถามขึ้นว่า “ทั้งสอง ตอนนี้ในจวนอ๋องเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?”
เซียงอวี้มองดูท่าทีเศร้าสลดของอวี๋เฟิง อย่างค่อนข้างปวดใจ นางกำลังจะพูดขึ้นมา ก็ได้ยินอวี๋เฟิงพูดขึ้นมาด้วยเสียงหนักแน่น
“เรียนท่านทั้งสอง ที่จริงเช้าวันนี้ ภายในจวนเกิดเรื่อง พระชายาสืบรู้ว่าพ่อบ้านกาวเป็นไส้ศึก”
“ไส้ศึก?” โม่หวิ่นหมิงขมวดคิ้ว โม่หลีสีหน้าเรียบเฉย
เมื่อกี้มีนายน้อยทั้งสองคนอยู่ อวี๋เฟิงไม่อยากพูดมาก กลัวจะส่งผลกระทบต่อเด็กน้อยทั้งสอง
แต่ตอนนี้พวกนางวิ่งไปไกลแล้ว เขาจึงระบายความไม่พอใจและความสับสนออกมาพร้อมกัน พร้อมพูดขึ้นว่า “ใช่”
“ท่านทั้งสองคงไม่รู้ ก่อนหน้านี้องครักษ์ประจำตัวของท่านอ๋องถูกคนลอบทำร้าย หลายวันก่อนฟื้นขึ้นมา กลับสูญเสียความทรงจำตอนที่ถูกลอบฆ่า”
“โชคดีที่พระชายาเรามีความสามารถ ตั้งใจวางแผนให้คนร้ายมาติดกับดัก พ่อบ้านกาวกลัวว่าองครักษ์เสิ่นจะฟื้นความจำ กินปูนร้อนท้องหวังจะลอบทำร้ายองครักษ์เสิ่น จนพระชายาเกือบเดือดร้อนไปด้วย”
เพิ่งพูดถึงตรงนี้ ทันใดนั้นอวี๋เฟิงก็รู้สึกว่าอากาศรอบตัวควบแน่นขึ้นมาทันที โม่หวิ่นหมิงถามขึ้นมาอย่างร้อนใจว่า “หว่านหว่านเป็นอะไร ได้รับบาดเจ็บไหม?”
อวี๋เฟิงรีบพูดอธิบายขึ้นว่า “เปล่าเปล่า พ่อบ้านกาวคิดอยากทำร้ายพระชายา แต่เขาจะสามารถทำได้อย่างไร ท่านอ๋องหลบซ่อนตัวอยู่ในห้องแต่แรกแล้ว และข้าน้อยกับพวกองครักษ์ต่างก็อยู่ พ่อบ้านกาวยังไม่ทันได้ลงมือ ก็ถูกท่านอ๋องจับตัวไว้แล้ว”
โม่หลีกับโม่หวิ่นหมิงต่างก็ค่อยวางใจ แล้วก็ฟังอวี๋เฟิงพูดต่อ
“แต่ว่าต่อมา พวกสหายคนอื่น ค้นพบจดหมายภาษาแคว้นต้าเซี่ยภายในห้องพ่อบ้านกาว ท่านทั้งสองคิดว่า แบบนี้ไม่ใช่ไส้ศึกแล้วจะเป็นอะไร น่าเห็นใจท่านอ๋องอย่างมาก พ่อบ้านกาวอาศัยอยู่ในจวนมา หลายสิบปี กลับไม่มีความจงรักภักดีเลยสักนิด เสียแรงที่ท่านอ๋องกับองครักษ์เสิ่นดีกับเขาขนาดนั้น ช่างน่าโมโหอย่างมากจริงๆ”
แคว้นต้าเซี่ย?
โม่หวิ่นหมิงขยับริมฝีปาก หันไปมองโม่หลีอย่างไม่พูดไม่จา
ทั้งสองคนสบตากัน แววตาแฝงไปด้วยความเฉียบคม….