ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 563 พบนางสักครั้ง
โม่หวิ่นหมิงสีหน้ากังวปล่อย่างยิ่ง “จวิ้นจู่ ในอดีตอี้อ๋องปฏิบัติต่อเตี้ยนเซี่ยเลวร้ายมากยิ่งนัก ท่านไม่รู้ทั้งหมด แต่รอยแผลเป็นบนตัวเตี้ยนเซี่ยจนถึงบัดนี้ก็ยังไม่หายดี พวกข้าเองก็เจ็บปวดใจอย่างยิ่ง จึงอยากพานางจากไป”
สีหน้าของหยีเฟยเปลี่ยนไปในทันที
นางไม่รู้จริงๆ ว่ากู้โม่หานทำเรื่องเลวไว้มากมาย ปกติเห็นเขาปฏิบัติต่อหนานหว่านเยียนดีมากเลย หว่านเยียนเองก็ยอมช่วยนาง นางยังคิดว่าเป็นเพียงความขัดแย้งกันเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น แต่ไม่ถึงกับมากเพียงนี้
คาดไม่ถึงเลยว่าเจ้าเด็กบ้าจะรังแกพระชายาของตัวเอง สารเลวจริงๆ !
หยีเฟยถูกทำให้โกรธจนกำผ้านวมของตัวเองแน่น มือทั้งคู่สั่นเทา
“ละ ลูกไม่รักดี!”
โม่หลีประหลาดใจเล็กน้อย แม้ว่าที่เขาเพิ่งจะพูดไปเป็นความจริง แต่ถึงอย่างไรก็เป็นการด่าลูกชายที่ท่านป้าให้กำเนิดด้วยตัวเอง แต่ท่านป้ากลับไม่มีแนวโน้มที่จะเข้าข้างกู้โม่หานเลยสักนิด มิน่าเล่าท่านแม่ถึงได้บอกว่า ท่านป้าเป็นคนที่เข้าใจเหตุผลที่สุด
“ท่านป้า นอกเหนือจากที่พูดเมื่อครู่นี้แล้ว ยวนหลียังมีความโกรธอย่างยิ่งที่สุดอยู่ นั่นก็คืออี้อ๋องส่งหว่านเยียนเข้าเรือนเย็น นานถึงห้าปีเต็ม”
“เพลานั้นนางตั้งครรภ์อยู่ แต่อี้อ๋องกลับไม่เคยถาม และปล่อยให้นางสตรีที่อ่อนแออยู่ในเรือนเย็นตามยถากรรมคนเดียว หว่านเยียนเลี้ยงดูลูกทั้งสองคนมาโดยลำพัง ความยากลำเค็ญที่อยู่ในนั้นพวกข้าเองก็จินตนาการไม่ได้ ดังนั้น ยวนหลีจักต้องพานางไปให้ได้ หวังว่าท่านจะไม่ขัดขวาง”
โม่หลียิ่งพูด นัยน์ตากลัดกลุ้มคู่นั้นก็ยิ่งแปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยือก เต็มไปด้วยความโกรธที่รุนแรงและความเคียดแค้น
เพราะเขารู้ดีอย่างยิ่งว่ากู้โม่หานเข้ากันไม่ได้กับหนานหว่านเยียน และยิ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนานหว่านเยียนจะสามารถไปจากแคว้นซีเหย่ได้ หนีจากพันธนาการที่ทำให้นางมีรอยแผลเป็นมากมาย
หยีเฟยฟังแล้ว แทบหยุดหายใจ หอบหายใจไปมา มือทั้งคู่ทุบตีข้างเตียงไม่หยุด “ละ ลูกไม่รักดี!”
“ข้า จะ ตีเขา ให้ตาย!”
พระเจ้าช่างตาบอดจริงๆ เหตุใดถึงเรียกลูกชายที่น่ารักในครานั้นของนาง เปลี่ยนเป็นชายชั่วที่เลวทรามเช่นนี้!
หากเรื่องนี้อยู่ยุคปัจจุบัน นางต้องหักขาเจ้าลูกไม่รักดีคนนี้เป็นแน่!
อารมณ์ของหยีเฟยปั่นป่วนอย่างยิ่ง ใบหน้าซีดเผือดจนน่ากลัว หน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลงแสดงออกถึงความโกรธเดือดดาลและความผิดหวังที่เขาไม่เป็นไปตามที่สอน
โม่หลีกับโม่หวิ่นหมิงรู้สึกตกใจเล็กน้อย
แต่โม่หวิ่นหมิงคิดว่า หยีเฟยสมกับเป็นคนของแคว้นต้าเซี่ยของพวกเขา กล้ารักกล้าเกลียด มีจิตใจเข้มแข็งตรงไปตรงมาอย่างยิ่ง นิสัยของหว่านเยียนกับนางคล้ายกันอยู่บ้าง
นี่เป็นเรื่องที่ดี หยีเฟยเข้าใจเหตุผลและรู้จักความเหมาะสม ดูท่าแล้วแผนการหลังจากนี้ ไม่แน่ว่าหยีเฟยอาจจะยื่นมือมาช่วยพวกเขาได้บ้าง
โม่หลีปลอบขวัญหยีเฟยเบาๆ “ท่านป้า เรื่องพวกนี้เดิมที่หลานไม่คิดที่จะบอกท่าน แต่ในเมื่อตอนนี้ต้องการพาหว่านเยียนไป ก็จำเป็นต้องให้ท่านได้ทราบต้นสายปลายเหตุของเรื่องราว”
“ในเมื่อตอนนี้ท่านรู้แล้ว เช่นนั้นข้าก็เชื่อ ว่าท่านป้าจะสนับสนุนการตัดสินใจของข้า”
“อันที่จริงที่ข้ามาที่นี่ยังมีอีกเรื่องที่ต้องทำ ช่วงนี้ราชสำนักและประชาชนของแคว้นซีเหย่นั้นผันผวนไม่สงบ อาจจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นได้ ท่านป้าคือจวิ้นจู่แห่งแคว้นต้าเซี่ยของพวกเรา ท่านแม่ให้ยวนหลีมาถามความเห็นของท่าน ว่าจะตามพวกข้ากลับแคว้นต้าเซี่ยหรือไม่?”
กลับแคว้นต้าเซี่ย?
แววตาของหยีเฟยเคลื่อนไหวไปมา และมืดลงทันที
“พะ พาลูกสะใภ้ไป ได้”
“ตะ แต่ข้า ไป ไม่ได้ พวกเจ้า ไม่ต้อง สนใจข้า”
ถึงแม้ว่านางจะโกรธกู้โม่หานมาก แต่ถึงอย่างไรกู้โม่หานก็เป็นลูกชายที่นางอุ้มท้องสิบเดือนและคลอดออกมา
เดิมทีก็เป็นเพราะเกิดเหตุร้าย นางเลยสูญเสียช่วงวัยเด็กของกู้โม่หานไป ทำให้นางได้รับความทรมานอย่างยิ่ง ในเมื่อตอนนี้นางฟื้นแล้ว เช่นนั้นนางก็ต้องอยู่เคียงข้างลูกชายของตัวเองไปจนสุดทาง
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ว่ากันว่าสถานการณ์ในตอนนี้ของแคว้นซีเหย่เองก็ไม่ชัดแจ้ง เช่นนั้นนางที่เป็นแม่ ก็ไม่มีทางนิ่งดูดายไม่สนใจถึงขนาดหนีไป ในตอนที่ลูกต้องการตัวเองดอก
ส่วนลูกสะใภ้ผู้งดงามจะอยู่หรือไป ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนางทั้งสิ้น ตัวนางที่เป็นแม่ เคารพทั้งนั้น
โม่หลีขมวดคิ้ว “แต่ท่านป้า……”
เพิ่งจะพูดออกมาได้เพียงสี่ตัวอักษร โม่หลีก็หยุดชะงักไป
หยีเฟยในฐานะแม่ของกู้โม่หาน ไม่มีทางจากไปง่ายๆ เป็นแน่
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นเขาก็เคารพการเลือกของนาง
เขาพยักหน้า “หลานเข้าใจแล้ว ในเมื่อท่านป้าไม่อยากไป เช่นนั้นพวกเราก็จะไม่บีบบังคับ”
โม่หวิ่นหมิงเองก็เอ่ยสมทบเช่นกัน “ใช่แล้ว เพียงแต่ ขอให้จวิ้นจู่โปรดจำไว้ตลอดไป หากพบเจออันตราย แคว้นต้าเซี่ยก็เป็นที่หลบภัยของท่านเสมอ”
“อีกอย่าง หากอยู่ที่แคว้นซีเหย่แล้วไม่ปลอดภัย ด่านลับนี้ ท่านสามารถติดต่อคนของแคว้นต้าเซี่ยได้”
พูดจบ โม่หวิ่นหมิงก็หยิบนกหวีดที่ทำอย่างประณีตออกมา วางไว้ในมือหยีเฟย
หยีเฟยรู้สึกซับซ้อนเล็กน้อย นางจ้องมองโม่หลีกับโม่หวิ่นหมิง
“ได้ ข้า เข้าใจ แล้ว”
“พวกเจ้า ระวังตัว กันด้วย”
โม่หลีกับโม่หวิ่นหมิงมองดูหยีเฟยรับนกหวีดไปแล้ว ก็ไม่อยู่นาน
โม่หลีคำนับหยีเฟย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกข้าก็ไม่รบกวนท่านป้าพักผ่อนแล้ว”
“อืม” หยีเฟยเอ่ยเบาๆ
นางมองดูโม่หลีกับโม่หวิ่นหมิงจากไป แล้วออกแรงนำนกหวีดในมือมาไว้ข้างกาย ซ่อนมันเอาไว้
เพื่อลูกสะใภ้ นางไม่เปิดเผยจะดีกว่า จักต้องช่วยพวกเขาเก็บเป็นความลับ
เพียงแต่น่าเสียดาย ลูกสะใภ้ที่ดีถึงเพียงนี้ เจ้าลูกชายเกเรเกตุงของนางเหตุใดถึงไม่รู้จักเห็นคุณค่า!
หยีเฟยยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ เพราะการชักกระตุกกล้ามเนื้อบนใบหน้าเลยเปลี่ยนเป็นดุร้ายน่ากลัวขึ้นมาเล็กน้อย
และเพลานี้ หวางหมัวมัวก็เข้ามาจากด้านนอกพอดี
เมื่อครู่นี้นางไปเรือนซีเฟิงกับเรือนเซียงหลินรอบหนึ่ง ถึงได้รู้ว่าวันนี้หนานหว่านเยียนกับกู้โม่หานพาเสี่ยวจวิ้นจู่ทั้งสองออกไปข้างนอก
นางฝากคำพูดไว้กับเซียงอวี้เป็นพิเศษ ว่าหยีเฟยเหนียงเหนียงพูดได้แล้ว พอพระชายากับท่านอ๋องกลับมา ให้บอกพวกเขาให้รีบมาที่เรือนจิ้งฉานโดยเร็วที่สุด
ตอนที่กลับมา โม่หลีกับโม่หวิ่นหมิงก็คุยกับหยีเฟยเสร็จแล้ว
ในขณะนั้นสีหน้าของโม่หลีกับโม่หวิ่นหมิงไม่มีความผิดปกติ นางก็เลยคิดว่าไม่ได้เกิดเรื่องอะไร
แต่ตอนนี้นางเห็นหยีเฟยที่มีสีหน้าแปลกๆ อยู่บนเตียง ภายในใจก็บีบตัวอย่างหนักด้วยความกลัว
ดูท่าแล้วที่เหนียงเหนียงคุยกับท่านทั้งสองคงไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เกรงว่าคงเป็นเพราะโม่หวิ่นหมิงเป็นท่านน้าของพระชายา
เช่นนั้นที่เหนียงเหนียงต้องการพบพระชายา จักต้องไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่
หวางหมัวมัวไม่รู้ ว่าหนานหว่านเยียนที่ภายในใจนางเป็นห่วงอยู่นั้น เพลานี้ได้กลับมากับกู้โม่หานแล้ว……
กู้โม่หานเดินอยู่ข้างหน้า มือซ้ายขวาอุ้มเกี๊ยวน้อยกับซาลาเปาน้อยอยู่
สองพี่น้องปีนขึ้นไปบนไหล่เขา นอนหลับอย่างสงบ
ปากเล็กของเกี๊ยวน้อยส่งเสียงแจ๊บๆ บนใบหน้ายังมีรอยยิ้มอยู่ ส่วนซาลาเปาน้อยเงียบสงบ แต่หัวคิ้วกลับย่นเป็นอย่างยิ่ง
หนานหว่านเยียนเดินมาดูทางด้านหลัง คิ้วเองก็ย่นขึ้นมาเช่นกัน
หนูน้อยทั้งสองคนทนไม่ไหวแล้ว วันนี้เล่นกันอย่างกระโดดโลดเต้น กินกันเต็มอิ่ม ไม่นานก็เล่นกันจนเหนื่อย และหลับไปบนรถม้าทันที
พอลงจากรถ นางจะปลุกเจ้าหนูทั้งสอง แต่กู้โม่หานกลับไม่ให้ปลุก “ให้พวกนางนอนเถิด ข้าจะอุ้มนางกลับเอง”
หนานหว่านเยียนเองก็ไม่ได้ขัดขวาง เพราะนางแบกไม่ไหว จึงให้กู้โม่หานอุ้มด้วยความเต็มใจ อย่างไรเสียนางก็ไม่อยากรบกวนฝันดีของเจ้าหนูทั้งสองคน
ทุกคนกลับมาถึงเรือนเซียงหลิน ในขณะที่กู้โม่หานวางหนูน้อยทั้งสองลงพักผ่อนบนเตียง เซียงอวี้ก็วิ่งมาอย่างเร่งรีบ ตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างยิ่ง
“ท่านอ๋อง พระชายา!”
เสียงของนางดังก้องกังวาน กู้โม่หานก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที กวาดสายตามองนาง เซียงอวี้ถึงได้รู้ตัว ว่าเกี๊ยวน้อยกับซาลาเปาน้อยกำลังนอนหลับ
นางรีบเอามืออุดปาก แล้วไปรออยู่ด้านนอก
พอหนานหว่านเยียนกับกู้โม่หานออกมา หนานหว่านเยียนก็เอ่ยถามเซียงอวี้ “มีเรื่องอะไร?”
เซียงอวี้รีบเอ่ยด้วยความตื่นเต้นดีใจทันที “ท่านอ๋อง พระชายา! เมื่อครู่นี้หวางหมัวมัวมาบอกว่า หยีเฟยเหนียงเหนียงสามารถเริ่มพูดได้แล้ว!”
“หลังพวกท่านทั้งสองกลับมา นางให้รีบไปทันที!”