ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 564 คนที่อยู่ยุคเดียวกัน
นัยน์ตาของกู้โม่หานสั่นไหวอย่างรุนแรง สีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจและความดีใจอย่างเป็นหน้าเป็นหลัง “เสด็จแม่พูดได้แล้ว?!”
เขารอมานานหลายปี รอจนกระทั่งเสด็จแม่ฟื้น วันนี้ในที่สุดก็รอจนถึงวันที่เสด็จแม่เริ่มพูดได้แล้ว!
หนานหว่านเยียนเองก็รู้สึกตกใจ
เมื่อเช้านางเพิ่งจะให้หวางหมัวมัวช่วยหยีเฟยทำการฝึกฟื้นฟูภาษา คิดไม่ถึงเลย ว่าหยีเฟยจะสามารถพูดได้เร็วเช่นนี้
การกระตุ้นของครอบครัว เหนือกว่าสิ่งอื่นใดจริงๆ
เซียงอวี้พยักหน้ารัวๆ ด้วยความดีใจจนควบคุมไม่อยู่
“ใช่แล้ว! ส่วนรายละเอียดบ่าวเองก็ไม่ค่อยรู้นัก ขอเชิญท่านทั้งสองไปประเดี๋ยวนี้เถิด!”
“ส่วนคุณหนูทางด้านนี้ บ่าวจะดูแลเป็นอย่างดี!”
เสียงพูดของเซียงอวี้เพิ่งจะจบลง กู้โม่หานก็ดึงมือหนานหว่านเยียนอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง “ไป”
ในแววตาของเขาเต็มไปด้วยการเฝ้ารอ และในขณะเดียวกันก็ปะปนไปด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบายออกมาได้
เสด็จแม่เริ่มพูดได้แล้ว ยืนยันได้ว่าสุขภาพของนางกำลังค่อยๆ ดีขึ้น เช่นนั้นอีกไม่นานเขาก็จะได้รู้ความจริงในครานั้นแล้ว และให้นางได้เห็นว่าหนูน้อยทั้งสองนั้นเป็นเด็กดีเชื่อฟังมากเพียงใด สามารถทำหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาอยากทำในอดีต แต่ทำไม่ได้ให้เสด็จแม่ได้แล้ว
แต่เขากลับอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลอีกครั้ง ท่าทีที่เสด็จแม่มีต่อหนานหว่านเยียน จะทำให้ทุกอย่างกลายเป็นความหวังที่สูญสลายไป
กู้โม่หานมีความรู้สึกประดังประเดเข้ามา หนานหว่านเยียนเองก็ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเช่นกัน
นางนึกถึงทุกครั้งที่หยีเฟยเห็นนาง ก็มักจะมีปฏิกิริยาแปลกๆ อยู่เสมอ
กู้โม่หานกับหวางหมัวมัวมักจะรู้สึกว่าเป็นเจตนาร้าย นางเองก็คิดเช่นนี้มาตั้งแต่แรก แต่ต่อมาก็มักจะรู้สึกว่าไม่ใช่ เพลานี้หยีเฟยพูดได้แล้ว ก็น่าจะถึงเวลาที่เปิดเผยความจริงแล้ว……
ระหว่างที่ครุ่นคิด ทั้งสองคนก็มาถึงหน้าประตูเรือนจิ้งฉานแล้ว
หวางหมัวมัวกำลังรออยู่หน้าประตู เห็นกู้โม่หานจูงมือหนานหว่านเยียนแน่น แววตาก็ปรากฏความรู้สึกเสียดายขึ้นมา
นางดูออก ว่าปัจจุบันนี้ท่านอ๋องชอบพระชายามากจริงๆ แต่น่าเสียดาย ที่ท่าทางของเหนียงเหนียงที่มีต่อพระชายา ไม่ค่อยดีนัก
แต่นางกลัวว่าหนานหว่านเยียนจะตึงเครียด เลยไม่ได้แสดงออกมา เพียงแค่ก้าวไปข้างหน้าเชิญทั้งสองคนเท่านั้น “เหนียงเหนียงรออยู่ด้านใน ท่านทั้งสองโปรดรีบเข้าไปเถิด”
ขณะที่พูด หวางหมัวมัวก็พาหนานหว่านเยียนกับกู้โม่หานเข้าไปในห้อง
นางเดินมาถึงหน้าประตู ก็เอ่ยเสียงดัง “เหนียงเหนียง! บ่าวพาท่านอ๋องกับพระชายามาหาท่านแล้ว!”
หยีเฟยนัยน์ตาเป็นประกาย หลังเห็นหนานหว่านเยียน ลูกตาก็สั่นไหวด้วยความตื่นเต้นดีใจ แต่พอนางหันไปเห็นกู้โม่หาน สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเย็นเยือกทันที แล้วเกร็งมุมปาก เอ่ย “ไม่ ไม่พบ……”
หวางหมัวมัวมึนงงทันที
ไม่พบ?
แต่เมื่อครู่นี้เหนียงเหนียงไม่ได้บอก ว่าอยากพบพระชายาหรือ?
หรือพอเห็นแล้วก็โกรธอย่างสุดขีด ทนไม่ไหวเลยจะไล่พระชายาไป?
หวางหมัวมัวมองหนานหว่านเยียนกับกู้โม่หานด้วยสีหน้าลำบากใจ “ท่านอ๋อง……”
กู้โม่หานเองก็คิดเหมือนกันกับหวางหมัวมัว แม้ในใจเขาจะรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง แต่ก็ยังเอ่ยกับหนานหว่านเยียนอย่างอ่อนโยน “หว่านเยียน เจ้ารอก่อน ข้าจะอธิบายกับเสด็จแม่ให้ชัดเจนเอง เจ้าวางใจเถิด”
ทีแรกหนานหว่านเยียนยังโชคดีอยู่บ้าง คิดว่าหยีเฟยไม่ได้ไม่พอใจนางมากถึงเพียงนั้น
แต่ตอนนี้นางเห็นสีหน้าท่าทางของหยีเฟยดูไม่ดีเช่นนี้ ก็เริ่มลังเลขึ้นมา
“ได้ เช่นนั้นข้าจะรออยู่ด้านนอก……”
“ไม่ ไม่ใช่!” หยีเฟยร้อนใจแทบแย่
นางหายใจลำบากจนใบหน้าแดงก่ำ ไม่สามารถพูดต่อกันได้ ทำได้เพียงตบเตียงไปมา “ลูกสะใภ้อยู่ อยู่ก่อน”
“ไล่ ลูก ลูกไม่รักดี นั่น ออกไป!”
นางจะไม่ชอบลูกสะใภ้คนดีของนางได้อย่างไร!
นางไม่อยากเห็นเจ้าลูกไม่รักดีที่ทำให้นางเจ็บหัวใจต่างหาก!
ได้ยินเช่นนั้น ทุกคนก็ตกตะลึงทันที ได้แต่มองหน้ากัน ล้วนคิดว่าตัวเองฟังผิด
กู้โม่หานมองหยีเฟยอย่างยากที่จะเชื่อ “เสด็จแม่ ท่าน……ไม่อยากพบลูกหรือ?”
เพราะเหตุใด พอเสด็จแม่เริ่มพูดได้ ก็ด่าเขาว่าลูกไม่รักดี?
เหตุใดเสด็จแม่ไม่พบเขา แต่กลับไล่เขาหนี?
กู้โม่หานรู้สึกน้อยใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่รู้ว่าหยีเฟยหมายความว่าอย่างไรกันแน่
หยีเฟยนึกถึงคำพูดพวกนั้นที่โม่หลีเพิ่งจะพูด ก็เกือบจะกระโดดขึ้นมา ตีกู้โม่หานสักที
นางจ้องมองกู้โม่หานอย่างโกรธเคือง กล้ามเนื้อมุมปากเริ่มกระตุก “ออก ออกไป!”
“หมัวมัว พาเขา ไป!”
หวางหมัวมัวนิ่งงัน พอได้สติกลับมา แม้ว่าจะตกใจกลัวจนเหงื่อแตก แต่เห็นหยีเฟยดูดุร้ายเช่นนี้ นางเองก็ไม่กล้าทำเฉย รีบพากู้โม่หานออกไปทันที
“ท่านอ๋อง ท่าน ท่านตามบ่าวออกไปจะดีกว่า”
“ดูท่าทางของเหนียงเหนียงแล้ว น่าจะมีเรื่องคุยกับพระชายาตามลำพัง”
“แต่ว่า……” กู้โม่หานมองนางแล้วพูดอึกๆ อักๆ และมองดูหนานหว่านเยียนอย่างลึกซึ้งอีกครั้ง จากนั้นก็ตามหวางหมัวมัวออกไปด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความงงงวยและไม่เต็มใจ และปิดประตูลง
ภายในห้อง เหลือเพียงหนานหว่านเยียนกับหยีเฟยสองคน
หยีเฟยเห็นสถานการณ์เงียบสงบลงแล้ว ก็แสดงสีหน้าท่าทางอบอุ่นออกมาอย่างอดไม่ได้
นางตบข้างเตียงเบาๆ พยายามคลี่ยิ้มที่ตัวเองคิดว่าสุภาพอ่อนโยนออกมา “ลูกสะใภ้ นั่ง”
ภายในใจของหนานหว่านเยียนรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง
นางคิดไม่ถึง ว่าหยีเฟยไม่เพียงไม่ด่านาง แต่ยังดีกับนางมาก
แต่ถึงจะงงงวย นี่ก็เป็นการยืนยันเช่นกัน ว่าหยีเฟยมีเรื่องจะคุยกับนางจริงๆ
หนานหว่านเยียนนั่งลงข้างเตียง แล้วเอ่ยขึ้นพลางฉีกยิ้ม “เสด็จแม่ ในที่สุดท่านก็ฟื้นแล้ว ลูกกับท่านอ๋องเป็นห่วงท่านมานานเลย”
“ไม่รู้ว่าร่างกายของท่านยังมีตรงไหนที่ยังไม่ค่อยสบายหรือไม่ ท่านบอกลูกได้ ลูกจะช่วยตรวจดูให้ท่านอีก”
หยีเฟยดึงมุมปากขึ้นอย่างเกร็งๆ “ไม่ ไม่เอ่ยถึง เขา”
“ลูกสะใภ้ ข้า ข้ามี เรื่อง จะพูด กับเจ้า”
ฮือฮือฮือ ลูกสะใภ้รูปโฉมงดงามที่ร่างกายมีกลิ่นหอมนุ่มนิ่มที่ดีกว่าบุรุษเจ้าชู้พวกนั้น!
ไม่เพียงแต่เป็นหมอเทวดา แต่วิชาแพทย์ก็เป็นเลิศกว่าผู้ใด อ่อนโยนนุ่มนวล ผู้ใดเห็นแล้วจะไม่ชอบกัน! นั่นก็เพราะเจ้าลูกชายของนางที่ไม่รู้จักทะนุถนอมอ่อนโยนต่อสตรี
หนานหว่านเยียนไม่เข้าใจอย่างยิ่ง แต่กลับโน้มตัวเข้าไปใกล้หยีเฟยเล็กน้อย “เสด็จแม่ ท่านพูดมาเถิด”
หยีเฟยรีบอ้าปากเอ่ยทันที “แก้วรักษาอุณหภูมิ……”
สีหน้าของหนานหว่านเยียนปรากฏความรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
นางมองดูหยีเฟยอย่างสงสัย เม้มปากด้วยความไม่สบายใจเล็กน้อย
“ท่านหมายถึงแก้วรักษาอุณหภูมิหรือ ของสิ่งนั้นข้าเพียงพูดไปเรื่อยเปื่อย ท่านไม่ต้องเก็บมาใส่ใจดอก”
ทันใดนั้นหยีเฟยก็เหมือนกับมีก้างปลาติดในคอ หากแววตาสามารถพูดได้ เช่นนั้นตอนนี้นางก็กำลังแผดเสียงอยู่
ลูกสะใภ้ดีๆของนางระมัดระวังตัวมากเกินไป แต่นางเพียงอยากบอกลูกสะใภ้ ว่าพวกนางมาจากที่เดียวกัน!!
นางจับมือหนานหว่านเยียน เอ่ยอย่างสั่นเครือ “ไม่ ไม่ใช่ ข้า ข้า อยาก บอก เจ้า ว่าข้า ข้าคือ——”
ประโยคนี้ยาวเกินไป หยีเฟยพูดได้ครึ่งหนึ่ง ก็สูดหายใจเข้าลึกๆ
หนานหว่านเยียนที่ตั้งใจฟัง สีหน้าก็ยิ่งยากจะอธิบายขึ้นเรื่อยๆ
นางคิดว่า หลังหยีเฟยสามารถพูดได้แล้ว เรื่องแรกที่จะจัดการก็คือเรื่องของจวนเฉิงเซี่ยง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะพูดเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องเลยแม้แต่น้อย
อีกอย่างดูแล้ว เหตุใดหยีเฟยถึงดูไม่เหมือนพระสนมเอกในวังเลยสักนิด แต่กลับดูเหมือนสตรีอายุน้อยที่ไม่เข้าใจโลก ร่าเริงและไร้เดียงสา?
แต่นางก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงพูดแทรกประโยคเดียว “ท่านไม่ต้องรีบ พูดช้าๆ”
หยีเฟยอยากจะร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก จนกระทั่งหลังการหายใจกลับมาเป็นปกติ จึงรีบเอ่ยขึ้น “ข้า มา จาก ยุค ปัจจุบัน”
“พวกเรา คือ คน ที่อยู่ ยุคเดียวกัน——”