ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 566 รังแกนาง
นางพบโอปอลที่ยุคปัจจุบัน เพิ่งจะหยิบของสิ่งนี้ก็ล้มลงทันที พอนางพื้นขึ้นมาก็อยู่ที่แคว้นต้าเซี่ยแล้ว กลายเป็นเสี่ยวจวิ้นจู่แห่งแคว้นต้าเซี่ย
จากนั้นนางก็ศึกษาที่มาที่ไปของโอปอลไฟเม็ดนั้น และพบว่ามันคือโอปอลมหัศจรรย์ที่แฝงไปด้วยพลังมหัศจรรย์ สามารถเชื่อมโยงผู้คนจากชาติก่อนกับปัจจุบันให้ไปมาถึงกันได้
ฐานะหยีเฟยของนางในตอนนี้ ก็คืออดีตชาติของนางเอง
จากนั้นมา นางก็ตั้งชื่อโอปอลไฟว่า “เนี่ยพาน” ความหมายแฝงก็คือสามารถทำให้คนที่เนี่ยพานแล้วเกิดใหม่ได้
หลังรู้จักกับโม่หวิ่นชิง นางก็ให้เนี่ยพานกับโม่หวิ่นชิงด้วยมือตัวเองเลย
โอปอลนั่นสามารถต่อต้านสวรรค์เปลี่ยนแปลงโชคชะตาได้ บางทีพี่หวิ่นชิงอาจจะใช้โอปอลนั่น ดังนั้นถึงได้……
หนานหว่านเยียนมองดูหยีเฟย แล้วส่ายหัวอย่างอธิบายไม่ถูก “ท่านแม่ไม่ได้ทิ้งโอปอลอะไรไว้ให้เลย ข้าเองก็ไม่รู้ว่า ‘เนี่ยพาน’ หน้าตาเป็นอย่างไร
หยีเฟยเบิกตากว้างด้วยความตกใจ แล้วจับมือหนานหว่านเยียนพลางเอ่ย “เจ้า แน่ใจหรือ?”
หนานหว่านเยียนพยักหน้า “ข้าแน่ใจ”
ทันใดนั้นหยีเฟยก็เหมือนกับยกก้อนหินใหญ่ออกจากใจ “อะ อืม”
พูดเช่นนี้พี่หวิ่นชิงอาจจะยังมีชีวิตอยู่
ตามที่นางรู้ เนี่ยพานสามารถแสดงอิทธิฤทธิ์ได้สามครั้ง นางใช้หนึ่งครั้ง หว่านเยียนเมื่อเป็นเด็กใช้หนึ่งครั้ง ยังเหลือครั้งสุดท้ายอยู่
หากโม่หวิ่นชิงไม่ได้นำเนี่ยพานมอบให้หนานหว่านเยียน เช่นนั้นก็น่าจะเป็นนางใช้เอง
โอปอลนั่นไม่เพียงแต่สามารถเชื่อมโยงผู้คนจากชาติก่อนกับปัจจุบันให้ไปมาถึงกันได้เท่านั้น แต่ยังสามารถเชื่อมโยงสายเลือดได้อีกด้วย ขอเพียงแค่พี่หวิ่นชิงใช้โอปอลนั่น เพลานี้ ก็น่าจะยังมีชีวิตอยู่ เพียงแต่ปิดบังชื่อจริงของตนเอาไว้เท่านั้น ไม่สะดวกให้หนานหว่านเยียนรู้
หนานหว่านเยียนคิดว่าหยีเฟยรู้สึกเศร้า เลยตบมือนางไปมาเบาๆ “เสด็จแม่ ท่านไม่ต้องเศร้าโศกเสียใจดอก”
“คนที่ตายไปแล้วไม่มีทางกลับมาได้ดอก ตอนนี้สุขภาพของท่านสำคัญที่สุด แม้ท่านจะเริ่มพูดได้แล้ว แต่ก็ยังมีสมรรถนะมากมายที่ต้องการฟื้นฟู ข้าก็รักษาสุขภาพของท่านให้ดีให้เร็วที่สุดก่อนที่ข้าจะจากไป”
“ช่วงนี้ท่านต้องรักษาจิตใจให้สงบ อย่ามีอารมณ์แปรปรวนมากเกินไป”
หยีเฟยฟังหนานหว่านเยียนพูดแล้ว ก็มีความรู้สึกมากมายและซับซ้อนอย่างยิ่ง
“ได้ ขอบใจลูกสะใภ้”
“เจ้า กลับไป ก่อนเถิด ไม่ว่า อย่างไร ข้าก็ เคารพ การเลือก ของเจ้าทั้งนั้น”
เมื่อนางได้ยินว่าหนานหว่านเยียนจะไป ก็รู้สึกโศกเศร้า
นึกถึงกู้โม่หานเจ้าเกเรเกตุงนั่น ภายในใจของนางก็เดือดดาล อารมณ์ของนางจะมั่นคงได้อย่างไร
“อืม ขอบคุณท่าน” หนานหว่านเยียนลุกขึ้นเตรียมจะขอตัวลา แต่ทันใดนั้นก็ถูกหยีเฟยเรียกเอาไว้เสียก่อน
นางหันมาเห็นสีหน้าของหยีเฟยเปลี่ยนเป็นดุร้ายเล็กน้อย “รบกวน เจ้า เรียก เจ้าลูกไม่รักดี เขามาที”
เห็นเช่นนั้น หนานหว่านเยียนก็รู้สึกได้ว่า กู้โม่หานน่าจะยามเคราะห์เข้าหาเสียแล้ว……
“เพคะ” นางลูบปลายจมูกไปมา จากนั้นก็เปิดประตูเดินออกไปด้านนอก
ด้านนอก หนานหว่านเยียนเพิ่งจะเงยหน้าขึ้นมาก็ปะทะเข้ากับนัยน์ตาฟินิกซ์ที่เต็มไปด้วยความห่วงใยและความกังวลใจของกู้โม่หาน
นางชะงักงันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วรีบเบือนสายตาไปทางอื่นทันที “เสด็จแม่ให้ท่านเข้าไป”
กู้โม่หานเห็นสีหน้าของหนานหว่านเยียนเป็นปกติ สีหน้าดูผ่อนคลายยิ่งนัก ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
เขาไม่ได้รีบร้อนเข้าไป แต่จ้องมองหนานหว่านเยียนอย่างจริงจัง “เสด็จแม่คุยอะไรกับเจ้าหรือ?”
หนานหว่านเยียนอดทนเก่งมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เขากลัวว่าเสด็จแม่จะพูดล่วงเกินนาง แต่นางกลับไม่พูดอะไรเลย
นางเลิกคิ้วไปมา หนานหว่านเยียนมองดูกู้โม่หานพลางเอ่ยว่า “ไม่มีอะไร ข้ากับเสด็จแม่คุยกันดียิ่งนัก ท่านรีบเข้าไปเถิด ข้าจะกลับเรือนก่อน”
ตอนนี้นางได้รับการสนับสนุนจากหยีเฟยแล้ว จิตใจก็สงบยิ่งนัก วันที่จะหย่าก็ไม่น่าจะนานเกินไป
หนานหว่านเยียนพูดจบ ก็เดินอ้อมกู้โม่หาน จากไป
กู้โม่หานจ้องมองด้านหลังของหญิงสาวที่เดินไปไกลอย่างยากที่จะเชื่อ เม้มปากแน่นจนเป็นเส้นตรง
เสด็จแม่กับหนานหว่านเยียนคุยกันดีอย่างยิ่ง?
เป็นไปได้อย่างไร!
นางเป็นคนของจวนเฉิงเซี่ยง เสด็จแม่ไม่คิดเล็กคิดน้อยแล้วหรือ?
หวางหมัวมัวที่ฟังอยู่ข้างๆ ก็ยากที่จะเชื่อเช่นกัน
หยีเฟยไม่ด่าหนานหว่านเยียนจนตะเพิดออกมาก็ถือว่าดีแล้ว แต่เป็นไปได้อย่างไรที่สองคนคุยกันอย่างมีความสุข?
แต่ขณะที่ฉงนสงสัย นางเอ่ยเตือนกู้โม่หานจะดีกว่า “ท่านอ๋อง เหนียงเหนียงยังรอท่านอยู่ด้านในอยู่”
กู้โม่หานได้สติกลับมา จึงดึงสายตากลับมาจากหนานหว่านเยียน “อืม”
พูดจบ เขาก็หันหลังเข้าไปในห้อง แล้วปิดประตูลง
กู้โม่หานเดินมาถึงข้างเตียงของหยีเฟย มองดูหยีเฟยที่ผอมจนหนังติดกระดูกที่อยู่บนเตียง ก็เศร้าโศกเสียใจ “เสด็จแม่ ลูกมาแล้ว……”
หยีเฟยจ้องเขาเขม็ง แล้วตบเก้าอี้ไปมา “เจ้า นั่งลง!”
ได้ยินเสียงที่คุ้นเคย เบ้าตาของกู้โม่หานก็แดงขึ้นมา
สิบกว่าปีแล้ว ในที่สุดเขาก็สามารถพูดคุยกับเสด็จแม่ได้อีกครั้งแล้ว
ช่วงที่หยีเฟยฟื้นได้สติ เขาก็มาเยี่ยมนางทุกวัน อยู่เป็นเพื่อนนาง แต่หยีเฟยไม่สามารถส่งเสียงอะไรได้เลย และอ่อนเพลียง่ายอย่างยิ่ง ตอนนี้กลับพูดได้แล้ว และดูมีชีวิตชีวาไม่น้อยเลย ความกดดันภายในใจของเขาได้ผ่อนคลายลงไม่น้อย และร้องไห้ด้วยความตื้นตันใจอย่างยิ่ง
“เสด็จแม่ เสด็จแม่ลูกดีใจยิ่งนัก ท่านนอนอยู่บนเตียงมาสิบกว่าปี ลูกคิดถึงท่านมากจริงๆ เฝ้าคอยทุกคืนทุกวัน ว่าสักวันหนึ่งจะสามารถพูดคุยกับท่านได้เหมือนกับตอนนี้”
“ท่านบอกว่าลูกตีขิมไพเราะ หลังจากนั้นลูกก็พยายามฝึกทักษะทางด้านขิมอย่างเต็มที่ ตอนที่ออกทัพสู้รบ ลูกยังประพันธ์บทเพลงบทหนึ่งอยากบรรเลงให้ท่านฟัง ตอนนี้ ในที่สุดลูกก็มีโอกาสตีขิมให้ท่านฟังแล้ว”
เสียงของเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสะอึกสะอื้น เดิมทีนัยน์ตานั้นเย็นชาไร้ความรู้สึกอย่างยิ่ง เพลานี้ เปรอะเปื้อนไปด้วยหยดน้ำ ผู้ใดเห็น จักต้องเจ็บปวดใจอย่างยิ่ง
กู้โม่หานกุมมือหยีเฟยเบาๆ ริมฝีปากบางขยับไปมา “เสด็จแม่ ตอนนี้ลูกมีความสามารถที่จะปกป้องท่าน และปกป้องคนที่ล้ำค่ารอบตัวลูกได้แล้ว นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ลูกจะไม่ให้ท่านประสบกับความทุกข์ยากลำบากและอันตรายอีก”
ภายในใจเขามีคำพูดมากมายอย่างยิ่งที่อยากพูดกับหยีเฟย เขาอยากจะทุ่มเทเติมเต็ม ช่วงวันเวลาสิบกว่าปีนี้
หยีเฟยได้ยินคำพูดที่จริงใจของกู้โม่หาน ภายในใจก็แปรเปลี่ยนเป็นเสียใจขึ้นมาทันที
นางรู้ ว่าหลายปีมานี้ลูกชายของตนต้องทนทุกข์ทรมานมาไม่น้อยเป็นแน่ ไม่มีนางที่เป็นแม่คอยอยู่เคียงข้าง การใช้ชีวิตของกู้โม่หานผ่านมาอย่างเจ็บปวดใจเพียงใด แค่คิดก็รู้แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น วันเวลาเหล่านี้ที่นางนอนป่วยเป็นผัก กู้โม่หานก็วิ่งเต้นบากบั่นอย่างเหน็ดเหนื่อยเพราะอาการป่วยของนาง ไม่เคยเกียจคร้านเลย……
ดวงตาของหยีเฟยเองก็แดงขึ้นมา แต่ทันทีที่นางนึกถึงหนานหว่านเยียน ก็มองกู้โม่หานอย่างไม่พอใจอย่างยิ่งขึ้นมา
สิบกว่าปีที่นางไม่อยู่นี้ เจ้าเด็กดื้อที่รู้จักเคารพผู้สูงอายุรักเมตตาเด็ก รู้จักช่วยเหลือพี่น้อง ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจมาตั้งแต่เด็ก กลับกลายเป็นบุรุษที่กลั่นแกล้งทอดทิ้งสตรี และเห็นสตรีเป็นเพียงของเล่นเช่นนี้ คงลืมคำสั่งสอนของนางไปหมดแล้วจริงๆ !
ทันใดนั้นหยีเฟยก็เลิกคิ้วขึ้นด้วยความโกรธอย่างยิ่ง “คุก คุกเข่าลง”
กู้โม่หานชะงักงัน แต่ก็ไม่ได้เอ่ยโต้แย้ง และคุกเข่าลงข้างเตียงหยีเฟยอย่างเคารพนอบน้อม
เขามองหยีเฟย แววตาไม่เข้าใจเล็กน้อย “เสด็จแม่ เป็นอะไรหรือ?”
เหตุใดปฏิกิริยาของเสด็จแม่ ถึงไม่เหมือนกับที่เขาจินตนาการ แต่เหมือนกับโกรธอย่างยิ่งเลย
คำพูดพวกนั้นที่เขาพูด มีตรงใดไม่เหมาะสมหรือ?
หยีเฟยเห็นท่าทางว่านอนสอนง่ายของกู้โม่หาน ก็ระงับความโกรธไว้เล็กน้อย แต่น้ำเสียงยังคงแข็งกระด้าง
“ข้า จะถาม เจ้า เจ้ารังแกลูกสะใภ้ของข้า ใช่หรือไม่?”