ยากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ นิยาย บท 608
หนานหว่านเยียนได้ฟัง ชั่วพริบตาเดียวก็รู้สึกว่าจิตใจสงบขึ้นมาไม่น้อย
นางรู้ว่าโม่หวิ่นหมิงกำลังบอกนางว่าไม่ต้องกังวล
มียากระตุ้นหัวใจแบบนี้ คิ้วที่ขมวดแน่นของนางก็ค่อยๆผ่อนคลายลง รอยยิ้มบนใบหน้าของนางยิ่งอ่อนโยนขึ้นเรื่อยๆ “อืม ข้าเข้าใจแล้ว ท่านน้า……”
นางยังคงอยากพูดอะไรบางอย่างกับโม่หวิ่นหมิง โดยไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่ามือขาวที่แสนจะดูดีและเย็นเยียบคู่นั้นจะโอบเอวนางจากด้านข้าง และรั้งนางเข้าไปในอ้อมกอด
หนานหว่านเยียนตกใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหน้าไปมองและสบเข้ากับดวงตาที่กำลังลุกโชนราวกับเปลวไฟของกู้โม่หาน
“เจ้าทำอะไร ข้ายังมีเรื่องที่ต้องการจะพูดกับท่านน้าอยู่”
กู้โม่หานถูกหนานหว่านเยียนและโม่หวิ่นหมิงเมินเฉยอย่างสมบูรณ์ เขาไม่อาจควบคุมความหึงหวงภายในใจได้อีกต่อไป ทั้งหมดนั้นปะทุออกมากลายเป็นความต้องการครอบครองและความปรารถนาที่มีต่อหนานหว่านเยียน
เดิมทีกู้โม่หานเป็นศัตรูกับโม่หวิ่นหมิงอยู่แล้ว แต่หลังจากที่หนานหว่านเยียนและโม่หวิ่นหมิงพบกัน พวกเขากลับพูดคุยและหัวเราะกันอย่างอ่อนโยนแถมยังเข้ากันได้ดีเสียด้วย แล้วจะให้เขาอดทนอดกลั้นอยู่ได้อย่างไร
กู้โม่หานพูดกับโม่หวิ่นหมิงด้วยใบหน้าที่ติดจะเย็นชา “ถ้าหากว่าท่านน้าไม่มีธุระอะไรแล้วก็กลับตำหนักไปก่อนเถอะ ข้าจะให้คนไปจัดการที่อยู่ของเจ้าให้”
“สามวันหลังจากนี้ เป็นพิธีพระราชทานยศของข้าและหว่านเยียน เมื่อถึงตอนนั้นท่านน้าค่อยมารำลึกความหลังด้วยกันก็คงยังไม่สาย”
คำสั่งให้ส่งแขกของเขานั้นชัดเจนแจ่มแจ้ง หนานหว่านเยียนขมวดคิ้วทันที ในดวงตาเรียวสวยคู่นั้นฉายแววความไม่พอใจและอารมณ์ฉุนเฉียว “ข้ากับท่านน้าเพิ่งจะพบกัน เจ้าก็มาไล่เขาไป มันหมายความว่ายังไง?”
กู้โม่หานมองไปยังหนานหว่านเยียน และโอบกอดนางแน่นมากขึ้นอีกหน่อย ริมผีปากบางพูดขมุบขมิบออกมา “เจ้าต้องพักผ่อน”
“นอกจากนี้ ข้ารู้สึกว่าเวลาที่เจ้าและท่านน้าพบกันนั้นเพียงพอแล้ว หลังจากนี้ทุกคนก็ยังอยู่ในวัง หากต้องการจะพบกันก็ยังมีเวลาอีกเยอะแยะ แต่ไม่ใช่ในเวลานี้ เชื่อฟังข้าได้ไหม หืม?”
ขณะที่กำลังพูด เขาตั้งใจเข้าไปคลอเคลียใกล้ใบหูของหนานหว่านเยียน แต่ทว่าดวงตาเยี่ยวแสนเย็นชาที่คมกริบราวกับมีดก็จับจ้องไปที่ร่างของโม่หวิ่นหมิง
เมื่อโม่หวิ่นหมิงเห็นพฤติกรรมคลุมเคลือที่กู้โม่หานทำต่อหนานหว่านเยียน มือที่แอบซ่อนอยู่ในแขนเสื้อของเขาก็กำแน่น
ความดุร้ายฉายขึ้นมาในแววตาของเขาชั่วครู่หนึ่ง
กู้โม่หานยืดไหล่พูดออกมาอย่างผึ่งผาย แต่ในสมองกลับคิดว่าจะไล่เขาไปอย่างไรงั้นหรือ?
หลังจากพูดออกมาว่ายังมีโอกาสมากมายที่จะได้พบกัน นอกจากวันนี้และพิธีพระราชทานยศในอีกสามวันข้างหน้า แต่เขาเกรงว่าหลังจากนี้กู้โม่หานจะไม่ปล่อยให้เขาติดต่อกับหว่านหว่านเพียงลำพังอีกต่อไป
ก่อนหน้านี้เคยคิดว่ากู้โม่หานอาจจะแค่อยากครอบครอง แต่ตอนนี้มันรุนแรงมากยิ่งกว่านั้น โม่หวิ่นหมิง มองกู้โม่หานโดยที่สีหน้าไม่ได้เปลี่ยนไป เขาเม้มปากขจ และเยาะเย้ยว่า
“ฝ่าบาท ท่านรีบร้อนที่จะขับไล่ข้าไป ไม่ให้ข้าคุยกับหว่านหว่าน ท่านกำลังกลัวอะไร ”
“ในฐานะจักรพรรดิผู้ปกครองแคว้น แม้แต่ความมั่นใจในตนเองเจ้าก็ยังไม่มี จะทำให้คนอื่นเย้ยหยัน ”
คำพูดของโม่หวิ่นหมิง เปิดเผยความเกรงกลัวในใจของกู้โม่หานอย่างไร้ความปราณี
นิ้วเรียวยาวของกู้โม่หานกำแน่นเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว เขากลัวจริงๆ กลัวว่านหนานหว่านเยียนจะหนีไป และยิ่งกลัวว่าเมื่อเขาหย่อนลงไปเล็กน้อย ก็จะต้องเสียหนานหว่านเยียนและหนูน้อยทั้งสองคนไปตลอดกาล
สำหรับหนานหว่านเยียน ตั้งแต่เริ่มจนจบเขาไม่เคยมีความมั่นใจในตนเองเลย เขากังวลทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นส่วนได้หรือส่วนเสีย แต่โม่หวิ่นหมิงเป็นเพียงแค่คนภายนอก มีสิทธิ์อะไรมาชี้นิ้วใส่เขาแถมยังหัวเราะเยาะเขา!?
กู้โม่หานจ้องเขม็งไปยังโม่หวิ่นหมิง ดวงตาที่ลึกล้ำและดำมืดราวกับน้ำหมึกนั้นเยือกเย็นเป็นพิเศษ
“ข้าเห็นว่าท่านน้ากำลังสับสน ไม่คาดคิดว่าจะพูดเรื่องไร้สาระขึ้นมา วันนี้อยู่ต่อหน้าฮองเฮา ข้าจะยกโทษให้เจ้าสักครั้ง และครั้งต่อไปจะยกไม่ได้อีก”
ขณะที่กำลังพูด น้ำเสียงของเขาก็เย็นชามากขึ้น “ใครก็ได้ ส่งแขก!”
ทันทีที่พูดจบ องครักษ์หลายคนก็ตรงเข้ามาในตำหนัก และพาโม่หวิ่นหมิงออกไป
โม่หวิ่นหมิงแทบจะไม่มีแรงขัดขืน จึงถูกลากออกไป
“ท่านน้า!!”ทห เมื่อหนานหว่านเยียนเห็นสิ่งนี้ ฉับพลันรูม่านตาของนางก็หดลง นางสะบัดมือกู้โม่หานออกอย่างแรง นางลุกขึ้นยืนและฟาดฝ่ามือลงไปที่ใบหน้าของกู้โม่หาน
“กู้โม้หาน!! นี่เจ้าทำอะไรลงไป! นั่นคือท่านน้าของข้านะ ไม่ใช่นักโทษที่ไหน! ขาของเขายังไม่หายเป็นปกติดีเลยด้วยซ้ำ ทำไมถึงทำกับคนป่วยแบบนี้!?”
แท้จริงแล้วเมื่อกี้ไม่ใช่การส่งแขก แต่เป็นโม่หวิ่นหมิงที่ถูกลากออกไปด้วยความหยาบคายราวกับนักโทษคนหนึ่ง
นั่นคือท่านน้าที่ยอมเสียขาทั้งคู่มาเป็นสิบปีเพื่อช่วยชีวิตนาง แล้วนางจะปล่อยให้เขาถูกกู้โม่หานรังแกได้อย่างไร!
แก้มของเขาเห่อร้อน ตาคมราวกับเหยี่ยวที่แสนเย็นชาของเขาหลับลง “ข้ารู้ว่าเขาเป็นท่านน้าของเจ้า ดังนั้นข้าถึงไม่ได้ไล่เขาออกไปด้วยตนเอง”
นอกจากนี้ เขายังใจกว้างมากพอ โม่หวิ่นหมิงกล้ามาเยาะเย้ยจักรพรรดิองค์ใหม่ ต่อให้เขาตายเป็นร้อยครั้งมันก็ยังไม่เพียงพอ
แต่ทว่าหนานหว่านเยียนเลือกที่จะเมินเฉยต่อเขา เพียงแค่เห็นว่าเขารังแกโม่หวิ่นหมิง เพียงแค่นั้นก็ยอมออกหน้าแทนโม่หวิ่นหมิงแล้ว
เขาจ้องเขม็งไปที่นาง ความดื้อรั้น ความเกลียดชัง ความโกรธและความริษยาในใจของเขามันปั่นป่วนไปหมด แต่สุดท้ายมันก็ถูกกดลงไปอย่างลึกที่สุด
“หว่านเยียน ข้าเคยพูดไปแล้ว ข้าไม่ชอบเห็นเจ้าทำดีกับผู้ชายคนอื่น และก็ยิ่งไม่ชอบเข้าไปอีกที่เจ้ายิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับผู้ชายคนอื่น การกระทำแบบนั้นของเจ้ามันทำให้ข้าอึดอัดใจเป็นอย่างมาก ”
“เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง? นั่นคือท่านน้าของข้า เขาเป็นญาติของข้า!”
กับญาตินางก็ยิ้มให้เขาไม่ได้หรืออย่างไร!?
หนานหว่านเยียนกัดริมฝีปาก จ้องมองกู้โม่หานอย่างแข็งข้อ จ้องไปที่ดวงตาสีดำที่แสนเย็นชาของเขา โดยที่ไม่รู้สึกผิดสักนิด นางคิดว่าบางทีเขาอาจจะบ้าจริงๆ
ร่องรอยของความสับสนและความร้อนใจฉายชัดอยู่ในแววตาของนาง “ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้าอีก ไสหัวไป!”
กู้โม่หานไม่ได้ออกไปไหนญด แววตาของเขาฉายแววโหดเหี้ยมออกมามากยิ่งขึ้น และเขาก็ไม่สามารถอดทนอดกลั้นได้อีกต่อไป
“ไม่ว่าเจ้าจะด่าจะว่าข้ายังไง หรือจะเกลียดชังข้าขนาดไหน ข้าก็ไม่มีวันปล่อยเจ้าไป”
“เรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้ว ข้าก็ไม่จำเป็นต้องอดทนอะไรอีกต่อไป ทุกอย่างที่เกี่ยวกับเจ้าล้วนเป็นของข้า ไม่ว่าเจ้าจะยอมรับได้หรือไม่ก็ตาม!”
“โม่หวิ่นหมิงมีบุญคุณต่อเจ้า ข้าจะไม่ทำสิ่งใดกับเขา แต่ที่เขาชอบเจ้า ข้าจะไม่ยอมให้เขาได้อยู่เคียงข้างเจ้าเด็ดขาด หลังจากพิธีพระราชทานยศจบลง ข้าจะส่งเขาออกจากวังทันที”
ทันใดนั้นหนานหว่านเยียนก็โกรธจัด “กู้โม่หาน เจ้าทำเกินไปแล้ว……”
นางยังพูดไม่ทันจบประโยค ก็ถูกเขาดึงลงมานั่งบนตัก
หลังจากนั้นหญ ก้านคอที่แสนบอบบางของนางก็ถูกฝ่ามือของเขาควบคุม และริมฝีปากของนางก็ถูกเขาฉกชิงไปอย่างรวดเร็วและบ้าคลั่ง……