ยากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ นิยาย บท 621
“ข้าทำไมนะ! แม้ว่าข้าจะยังเป็นห่วงท่าน แต่ข้าก็อยากจากไปเช่นกัน มันไม่ได้ขัดแย้งกันสักหน่อย!” หัวใจของหนานหว่านเยียนบีบแน่น รีบขัดจังหวะคำถามของหมอหลวงเจียงทันที
นางรู้ดีว่าข้ออ้างในตอนนี้แย่อย่างยิ่ง ไม่สามารถพูดกลบเกลื่อนคำโกหกได้เลยสักนิด ทั้งไร้เหตุผล ทั้งโหดร้ายอย่างยิ่ง แต่นางก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว
ต้องการพาหนูน้อยทั้งสองคนหนีไปก็ยากลำบากมากพอแล้ว หากลูกที่อยู่ในท้องถูกกู้โม่หานพบเข้า เช่นนั้นก็คงไม่ได้มีเพียงกู้โม่หานเท่านั้นที่จะจับตาดูนาง
แต่ทั้งพระราชวังอาจจะถือว่านางเป็นเป้าหมายสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นคนที่ดีกับนาง หรือคนที่ไม่ดีกับนางก็ตาม
นางจงใจหลีกเลี่ยงคำพูดของหมอหลวงเจียง แล้วมองดูกู้โม่หาน “อีกอย่าง ท่านต้องกวนใจไม่หยุดถึงเพียงนี้เลยหรือ ไม่รู้สึกว่าทำให้คนเบื่อมากหรือ?”
ทันทีที่พูดออกมา หมอหลวงเจียงก็เกือบจะหัวใจวาย จนลืมสิ้นไปหมดทุกอย่างแล้ว
ฮองเฮาเหนียงเหนียง……เบื่อฝ่าบาทคำพูดนี้ ไม่พูดต่อหน้าเขาที่เป็นคนนอกได้หรือไม่ เขากลัวจริงๆ ว่าหากรู้มากเกินไป แล้วจะถูกฝ่าบาทฆ่าปิดปาก!
เมื่อกู้โม่หานได้ยิน นัยน์ตาเย็นชาก็เบิกกว้าง ริมฝีปากบางขาวซีดเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง
บนใบหน้าหล่อเหลาของเขา ความโกรธเมื่อครู่นี้ได้หายไปแล้ว และถูกแทนที่ด้วย ความรู้สึกเจ็บปวดและหายใจลำบากที่ยากจะอธิบาย นิ้วเรียวยาวกำแน่น
เขาไม่กล้าไล่ตามอีกต่อไป “ได้ ข้าจะไปประเดี๋ยวนี้”
“แต่เจ้าต้องให้หมอหลวงเจียงตรวจให้เจ้า ไม่เช่นนั้น ข้าจะไม่วางใจ”
หนานหว่านเยียนไม่ได้พูดอะไร
กู้โม่หานมองหนานหว่านเยียนอย่างลึกซึ้ง หลังจากนั้น นัยน์ตาแคบยาวก็หันไปมองหมอหลวงเจียง
หมอหลวงเจียงรีบเอ่ยตอบด้วยความประหม่าอย่างยิ่ง “ฝ่าบาทโปรดวางใจ แม้กระหม่อมจักต้องทุ่มหมดชีวิตนี้ ก็จะวินิจฉัยโรคของฮองเฮาเหนียงเหนียงให้ถูกต้องอย่างแน่นอน!”
“อืม” กู้โม่หานได้ยินคำตอบของหมอหลวงเจียงแล้ว จึงได้สบายใจขึ้นเล็กน้อย แล้วไปจากตำหนักหยูซิน
เขาออกมาจากตำหนักแล้ว เซียงอวี้กับเสิ่นอี่ว์ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกก็หันไปทำความเคารพเขาทันที
“ฝ่าบาท”
กู้โม่หานไม่ได้เอ่ยอะไร และยืนอยู่หน้าประตูทางเข้าตำหนัก บนใบหน้างดงามไร้ที่ติอึมครึมเย็นยะเยือก ริมฝีปากบางเม้มแน่น ดูอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก
สายตาของเสิ่นอี่ว์สังเกตสีหน้าของกู้โม่หานอย่างระมัดระวัง ไม่กล้าเอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว
ที่เพิ่งจะถกเถียงกันอย่างรุนแรงในตำหนัก เขาได้ยินคำพูดของหนานหว่านเยียนไม่มากก็น้อย ซึ่งทำให้เจ็บปวดอย่างยิ่งจริงๆ มิน่าเล่าสีหน้าของฝ่าบาทถึงได้ดูไม่สู้ดีถึงเพียงนี้
เพียงแต่……ฝ่าบาทเป็นฮ่องเต้แล้ว หากภรรยาไม่เชื่อฟังสามีเช่นนี้อีกต่อไป เกรงว่าจะถูกฮองเฮาเหนียงเหนียงกดหัวตลอดไป……
แม้จะคิดเช่นนี้ แต่เสิ่นอี่ว์กลับไม่กล้าพูดมาก เซียงอวี้เองก็ไม่กล้าส่งเสียง ทำได้เพียงก้มหน้าก้มตาจ้องพื้นอย่างเคารพนอบน้อม และบิดแขนเสื้อไปมาไม่หยุดด้วยความตึงเครียด
รอคอยหมอหลวงออกมา
เพลานี้ภายในตำหนัก หนานหว่านเยียนยังคงนั่งพิงอยู่บนเตียง หมอหลวงเจียงเหมือนนั่งอยู่บนกองไฟ เอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวังอย่างยิ่ง “ฮองเฮาเหนียงเหนียง ท่านให้กระหม่อมตรวจดูให้ท่านเถิด”
“สุขภาพอันล้ำค่าหาที่เปรียบมิได้ของท่าน หากมีปัญหาร้ายแรงจริงๆ ทั้งสำนักหมอหลวงจะถูกฝ่าบาทสั่งตัดหัวได้”
พูดจบ เขาก็เปิดกล่องยาที่ติดมือมาด้วย และหยิบผ้าไหมบางสะอาดออกมาจากด้านใน จะจับชีพจรให้หนานหว่านเยียน
แต่หนานหว่านเยียนมองหมอหลวงเจียงด้วยสายตาคมกริบ ทุกคำพูด เต็มไปด้วยความน่าเกรงขามของผู้ที่ยศสูงกว่า
“หมอหลวงเจียง ข้ารู้ว่าตอนนี้เจ้ารู้สึกลำบากใจอย่างยิ่ง แต่ข้าบอกไปแล้ว ว่าไม่มีปัญหาร้ายแรงอะไร หรือว่าเจ้ายังสงสัยในวิชาแพทย์ของข้าอยู่?!”
อันที่จริงนางไม่อยากทำให้คนอื่นรู้สึกลำบากใจ แต่ท่าทางของกู้โม่หานนั้นแข็งกร้าวเกินไป นางจึงจำใจต้องโหดร้าย
ไม่เช่นนั้น สุดท้ายแล้วคนที่จะเสียเปรียบก็จะเป็นนางเสียเอง การเสียเปรียบเช่นนี้ นางเคยมาหลายครั้งเกินไปแล้ว ไม่อาจทำผิดพลาดง่ายๆ อีกแล้ว
หมอหลวงเจียงรีบหมอบลงพื้นทันที และเอ่ยด้วยความประหม่าอย่างยิ่ง “ขอเหนียงเหนียงโปรดเข้าใจ กระหม่อมจักบังอาจสงสัยท่านได้อย่างไร! วิชาแพทย์ของท่านทุกคนล้วนประจักษ์ชัดแจ้ง แต่……แต่ว่ารับสั่งของฮ่องเต้ก่อนหน้านี้ กระหม่อมจักต้องปฏิบัติตามพระราชโองการ!”
“อีกอย่างเหนียงเหนียงก่อนหน้านี้ที่ท่านหมดสติไป กระหม่อมเคยจับชีพจรให้ท่าน มักจะรู้สึกว่าเป็นลักษณะชีพจรที่ตั้งครรภ์ ครั้งนี้ท่านก็ให้กระหม่อมตรวจดูอีกเถิด หากเป็นชีพจรที่ตั้งครรภ์ สำหรับฝ่าบาทและเหนียงเหนียงแล้ว ล้วนเป็นเรื่องที่ดีอย่างยิ่งทั้งนั้น!”
ที่นางหมดสติก่อนหน้านี้ ในตอนนั้นเขาไม่เข้าใจอาการของนางชัดเจนนัก ตอนนี้พอรู้ว่ามีอาการอาเจียน ก็รู้สึกว่าความเป็นไปได้มากที่สุดน่าจะเป็นชีพจรการตั้งครรภ์
หัวใจของหนานหว่านเยียนเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง แววตาเปลี่ยนไปในทันที ก่อนหน้านี้หมอหลวงเจียงเคยจับชีพจรให้นางหรือ?!
นางตื่นตระหนกขึ้นมาทันที แต่กลับไม่ยอมให้ตรวจแม้แต่น้อย และเอ่ยตอบเสียงเย็นเยือกแทน “ข้าจับชีพจรให้ตัวเองแล้ว ไม่ใช่ชีพจรการตั้งครรภ์ เพียงแค่เป็นหวัด และปวดกระเพาะเล็กน้อยเท่านั้น ประเดี๋ยวเจ้าไปบอกกับฝ่าบาทเช่นนี้ก็ได้”
ลักษณะชีพจรนั่นไม่ใช่ตั้งครรภ์ดอกหรือ?
หมอหลวงเจียงสงสัยอย่างยิ่ง พอได้ยินคำพูดของหนานหว่านเยียนแล้ว ไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกโล่งใจ แต่กลับยิ่งอกสั่นขวัญแขวนมากขึ้น
เขาหันไปก้มคำนับให้หนานหว่านเยียนอย่างหนัก “ฮองเฮาเหนียงเหนียงไม่ได้เด็ดขาด!”
“หากกระหม่อมไม่ได้จับชีพจรให้ท่านแล้วไปบอกฝ่าบาท ว่าท่านเป็นไข้หวัดและปวดกระเพาะ นั่นเป็นถึงโทษฐานหลอกลวงกษัตริย์ จักต้องตัดหัวเลยนะพะยะค่ะ!”
“แม้เพื่อความปลอดภัยของครอบครัวกระหม่อม กระหม่อมก็คงไม่เลอะเลือนถึงเพียงนี้!”
ในที่สุดหนานหว่านเยียนก็ใจอ่อนลงเล็กน้อย แต่กลับยังยืนหยัดในความคิด และปรับน้ำเสียงอ่อนลงเล็กน้อย “ข้าไม่ได้ให้เจ้าโป้ปดกษัตริย์ เจ้าเพียงฟังคำพูดของฮองเฮา แล้วถ่ายทอดความจริงให้กับฮ่องเต้ มีปัญหาอะไรหรือไม่?”
“อีกอย่าง ที่ข้าไม่ยอมให้พวกเจ้าเข้ามาแทรกแซง เพราะว่าตอนนี้ข้ากับฝ่าบาทมีความขัดแย้งกันเล็กน้อย พวกเจ้าอย่าได้เข้ามายุ่งจะดีกว่า ไปบอกตามที่ข้าพูดเถิด หากภายหลังมีปัญหาข้าจะรับผิดชอบเอง แต่หากเจ้าต้องการจับชีพจรข้าให้จงได้ ข้าก็จะให้เจ้าดู แต่หากเกิดเรื่องอะไรขึ้น เจ้าก็แบกรับมันไว้เองก็แล้วกัน”
“เอ่อ……” บุญคุณและความน่าเกรงขามที่มาพร้อมกันของหนานหว่านเยียน ในที่สุดก็ทำให้หมอหลวงเจียงลังเล
เขาหลุบตาลงคิดไตร่ตรองอยู่ครู่ใหญ่ๆ แล้วถอนหายใจอย่างแรง มองหนานหว่านเยียนด้วยความรู้สึกยุ่งเหยิง แล้วหันไปก้มคำนับนางพลางเอ่ยขึ้น “กระหม่อมเข้าใจแล้ว ฮองเฮาเหนียงเหนียงเพียงแค่เป็นไข้หวัดเลยปวดกระเพาะเท่านั้น”
“นอกจากนี้เพราะหลายวันมานี้อารมณ์ไม่ค่อยดีนัก พักผ่อนก็ไม่เพียงพอ ดังนั้นอาการป่วยจึงกำเริบอีก”
หนานหว่านเยียนข่มความรู้สึกของตัวเองไว้ และพยักหน้าเล็กน้อย “ตามนี้ ข้าเหนื่อยแล้ว เจ้าออกไปเถิด”
“พะยะค่ะเหนียงเหนียง” หมอหลวงเจียงค้ำยันพื้นลุกขึ้นอย่างงกๆ เงิ่นๆ หันหลังเดินจากไปอย่างเศร้าซึมเล็กน้อย
แต่เพิ่งจะเดินไปได้ไม่ถึงสองก้าว เขาก็ได้ยินเสียงซาบซึ้งใจของหนานหว่านเยียน “หมอหลวงเจียง ขอบคุณยิ่งนัก”
เขามึนงง ทันใดนั้นก็ตื่นตระหนกขึ้นมา และรีบก้มหน้าหันกลับไป โค้งคำนับหนานหว่านเยียนอย่างหนัก “ฮองเฮาเหนียงเหนียงโปรดอย่าขอบคุณกระหม่อมเลย ไม่ว่าจะเป็นการตรวจให้ท่านหรือให้ฝ่าบาท ก็เป็นเกียรติของกระหม่อมทั้งนั้น”
เขาเป็นเพียงขุนนางและประชาราษฎร์คนหนึ่ง จะบังอาจรับคำขอบคุณของเหล่านายเหนือหัวได้อย่างไร
เป็นเวลาเนิ่นนาน ที่หนานหว่านเยียนที่อยู่บนเตียงไม่ได้ตอบอะไร
หมอหลวงเจียงตั้งสติได้ ก็ก้าวเดินออกไปด้านนอกอย่างโงนเงน
เขาใจลอยเล็กน้อย กระทั่งเดินออกมาจากตำหนักและปิดประตูลงแล้ว ก็ยังไม่เห็นว่ากู้โม่หานยังอยู่ด้านนอก
หมอหลวงเจียงหันหลังกลับมา สายตาปะทะเข้ากับนัยน์ตาฟินิกซ์ที่เย็นชาดุร้ายของกู้โม่หาน หมอหลวงเจียงถูกทำให้ตกใจอย่างยิ่ง จนขนลุกขนชันไปทั่วทั้งตัว
“ฝ่าบาท! ท่านยังไม่ไปหรือ!”
กู้โม่หานขมวดคิ้วเล็กน้อย และเอ่ยถามอย่างเร่งรีบ “อาการของฮองเฮาเป็นอย่างไรกันแน่?”
แม้ภายในใจของหมอหลวงเจียงจะหวาดกลัวอย่างยิ่ง แต่เมื่อนึกถึงท่าทางและคำกำชับของหนานหว่านเยียน เขาก็ระงับความกระวนกระวายใจเอาไว้ และแสร้งทำเป็นสีหน้าปกติ เอ่ยกับกู้โม่หานอย่างเคารพนอบน้อม “กราบทูลฝ่าบาท กระหม่อมตรวจดูให้ฮองเฮาเหนียงเหนียงแล้ว”
“หลายวันก่อนเหนียงเหนียงถูกอากาศหนาวเย็นจนเป็นไข้หวัดทำให้ปวดกระเพาะ นอกจากนี้แล้วเพราะหลายวันมานี้อารมณ์ไม่ค่อยดีนัก พักผ่อนก็ไม่เพียงพอ ดังนั้นอาการป่วยจึงกำเริบอีกก็เท่านั้น”
กู้โม่หานขมวดคิ้ว และเอ่ยยืนยันอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “เจ้าแน่ใจหรือ?”
หากเป็นไข้หวัดและปวดกระเพาะธรรมดา แล้วจะอาเจียนไม่หยุดนานเช่นนี้ได้อย่างไร?