ยากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ นิยาย บท 629
เสิ่นอี่ว์กัดฟันอดทนอย่างสุดกำลัง จับขาของกู้โม่หานเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ฝืนความเจ็บตะโกนเรียกองครักษ์คนอื่นๆ อย่างรีบร้อน
“รีบขวางฝ่าบาทเอาไว้! ปกป้องฝ่าบาท!”
ทักษะในการต่อสู้ของกู้โม่หานไม่ธรรมดา เสิ่นอี่ว์กับองครักษ์มากว่าคนกอดเขาเอาไว้อย่างสุดกำลัง จนอ่อนเปลี้ยเพลียแรงเสียงก็แหบแห้ง ถึงได้ต้านเขาเอาไว้ ไม่ให้เขาก้าวไปข้างหน้าแม้แต่ครึ่งก้าวได้
“ปล่อยข้า!” กู้โม่หานโกรธเดือดดาลอย่างยิ่ง เปลวเพลิงพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าทำให้ใบหน้าของเขาแดงมากกว่าครึ่ง มองเห็นไม่ชัดเจนว่าหนานหว่านเยียนอยู่ตรงไหน แต่เขาก็จ้องมองทิศทางที่นางอยู่อย่างสุดกำลัง พร้อมร้องตะโกนด้วยหัวใจที่แตกสลาย
“หว่านเยียน!”
……
ผ่านไปไม่นาน ในที่สุดเสียงระเบิดก็ค่อยๆ สงบลง
วันนี้มีคนมากมายมหาศาลเข้าร่วมพิธีมอบบรรดาศักดิ์ การจุดระเบิด ทำให้คนจำนวนมากวิ่งหนีกันอย่างยากลำบาก ส่งผลให้ได้รับบาดเจ็บ และส่งเสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บไปทั่วทุกที่
ตำหนักยิ่งน่าเวทนา ถูกเปลวไฟโอบล้อมเอาไว้ ไฟลุกโหมเผาไหม้ลุกโชนไปทั่วทุกแห่งหน ไม่มีผู้ใดสามารถเข้าใกล้ได้เลย
เพลานี้ นางกำนัลรับใช้ที่บาดเจ็บไปทั่วทั้งตัวหมอบอยู่บนพื้นร้องห่มร้องไห้ ตะโกนไปทางตำหนักเสียงดังลั่น
“ฮองเฮา ฮองเฮาเหนียงเหนียงยังอยู่ด้านใน! พวกเจ้า พวกเจ้ารีบไปดับเพลิงเร็วเข้า!”
“เหนียงเหนียงนางยังไม่ออกมา!”
หนานหว่านเยียน……
กู้โม่หานเจ็บปวดราวกับมีดกรีดใจ แต่ก็เกิดพลังขึ้นมาทันที ให้เสิ่นอี่ว์กับองครักษ์สิบกว่าคนถลาถอยหลังไปไกลถึงสิบเมตรทันที
เพราะต้านทานอานุภาพไม่ไหว สีหน้าของหลายคนจึงซีดเซียว และกระอักเลือดออกมาทันที
พวกเขารู้ดีแก่ใจ ว่าฝ่าบาทโกรธจนถึงขีดสุดตั้งนานแล้ว ที่ไว้ชีวิตพวกเขาก็ถือว่าใจดีแล้ว
ในวินาทีต่อมา กู้โม่หานก็พุ่งตรงไปทางตำหนักที่ไฟลุกโชน
“ฝ่าบาท!” เสิ่นอี่ว์ตกใจกลัวจนหน้าถอดสี กุมทรวงอกร้องตะโกนด้วยความเจ็บปวด
เพลานี้ แขนอันทรงพลังก็ได้จับมือของกู้โม่หานเอาไว้ และลากกู้โม่หานที่ไม่ว่าอย่างไรก็จะพุ่งเข้าไปไฟที่ไหม้ลุกโชนกลับมา
“ฝ่าบาท! ไม่ได้!”
“สถานการณ์ในตำหนักอันตรายและสลับซับซ้อน ท่านจะเอาความปลอดภัยของตัวเองไปเดิมพันไม่ได้เด็ดขาด! รอเหล่าคนใช้ในวังดับไฟแล้วค่อยว่ากันอีกทีดีกว่า!”
กู้โม่หานเดือดดาลขึ้นมาทันที “หากเจ้าหวังดีกับข้าจริงๆ เจ้าก็ไปปกป้องลูกของข้า แล้วปล่อยให้ข้าไปช่วยนางเสีย!”
ตำแหน่งของหนูน้อยทั้งสองคนอยู่ไกลจากที่เกิดระเบิด คงจะไม่เป็นอะไร เพียงแต่ตอนนี้ในสายตาของกู้โม่หานมีเพียงสามแม่ลูกเท่านั้น จักต้องให้คนปกป้องไม่ให้เกิดความผิดพลาดเป็นอันขาด
กู้โม่เฟิงไม่เคยเห็นกู้โม่หานลืมตัวเสียกิริยาและตื่นตระหนกเช่นนี้มาก่อน เขามองดูนัยน์ตาคู่นั้นของกู้โม่หานถูกความโกรธครอบคลุมอย่างตะลึงงัน ภายในใจเพียงรู้สึกประหลาดใจ
แต่เขาไม่ได้ปล่อยมือ กัดฟันลากแขนขวาของกู้โม่หานออกมา “รีบไปดับเพลิง!”
คนใช้ในวังและเหล่าทหารพากันวิ่งไปดับไฟทุกทาง เพลานี้ นางกำนัลรับใช้คนหนึ่งก็เอ่ยพลางร้องไห้แทบขาดใจ
“ฝ่าบาท ดูเหมือนว่าฮองเฮาเหนียงเหนียง ดูเหมือนจะถูกแรงระเบิดจนบาดเจ็บ จากนั้นเหนียงเหนียงก็วิ่งเข้าไปในตำหนัก คิดไม่ถึงเลย……คิดไม่ถึงเลยว่าไฟจะลุกไหม้ ท่านน้าหลวงเข้าไปช่วยคนในตำหนักก่อนหน้าแล้ว แต่ แต่ว่าตอนนี้ก็ยังไม่มีข่าวคราวเลย……”
ไฟไหม้ลุกโชนถึงเพียงนี้ เกรงว่าเป็นเรื่องยากอย่างยิ่งที่จะช่วยคนออกมา คนที่อยู่ในตำหนัก ก็เกือบเอาชีวิตไม่รอดแล้ว
“ไม่ ไม่มีทาง!” กู้โม่หานได้ยินคำพูดนี้ ก็รู้สึกเจ็บเจียนขาดใจ สีหน้าสิ้นหวังปรากฏออกมาจากหว่างคิ้ว จากนั้นก็ดันกู้โม่เฟิงกับเสิ่นอี่ว์ที่อยู่ข้างๆ ออก แล้วพุ่งเข้าไปในตำหนักที่ร้อนแผดเผาทันที
ภายในตำหนักเต็มไปด้วยควันหนาทึบ กู้โม่หานถูกควันจึงทำได้เพียงหรี่ตาลง เหงื่อเม็ดละเอียดบนศีรษะทำให้เส้นผมดำขลับเปียกชื้น เสื้อคลุมมังกรที่สวมอยู่ก็ขาดเสียหาย
ชายหนุ่มรีบวิ่งเข้าไปในกองเพลิงอย่างสุดกำลัง “หว่านเยียน หนานหว่านเยียนเจ้าอยู่ที่ใด?!”
“ฝ่าบาท ฝ่าบาท!” ด้านนอกตำหนัก คนจำนวนนับไม่ถ้วนเห็นกู้โม่หานวิ่งเข้าไปยังกองเพลิง ก็พากันเบิกตากว้างร้องตะโกนด้วยความหวาดกลัว และมีคนจำนวนไม่น้อยที่อยากพุ่งเข้าไปช่วยกษัตริย์ แต่ก็ถูกไฟไหม้ที่ประตูทางเข้าบานใหญ่ขัดขวางเอาไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า
กู้โม่หานค้นหาอยู่ในตำหนัก ตะโกนเสียงสั่นเทา “หว่านเยียน หว่านเยียนเจ้าอยู่ที่ใด!”
เขาค้นหาอย่างร้อนใจ ไม้คานที่ถูกไฟไหม้หักหล่นใส่ศีรษะ เขาแทบไม่ได้สนใจยกมือขึ้นมากันเลย ไม้ที่ร้อนอย่างยิ่งก็ลวกไปที่แขนของเขา เขากัดฟันโยนไม้คานที่ตักลงมาโยนไปอีกทาง จนเกิดประกายไฟมากมาย
“แค่กๆ หว่านเยียน……”
ควันเข้าจมูกจนสำลัก เขาวิงเวียนศีรษะเล็กน้อยและเพลานี้ก็เห็นว่าในมุมห้องมุมหนึ่ง ตรงที่ถูกเศษซากปรักหักพังทับถมอยู่ ดูเหมือนว่าจะมีชายเสื้อคลุมลายหงส์สีเหลือง ทันใดนั้น ดวงตาที่สวยงามของเขาก็เบิกกว้าง หัวใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้
ความกระวนกระวายใจและความเศร้าเสียใจท่วมท้นอยู่ในใจเขา เขาโซซัดโซเซไปข้างหน้า “หว่านเยียน!”
เพลานี้กู้โม่หานแข็งทื่อไปทั้งตัว เขายื่นแขนเรียนยาวเข้าไปในกองไฟที่ลุกโชน เพื่อย้ายไม้ที่ลุกไหม้ออก
ชั่วพริบตาเดียว เปลวไฟก็ไหม้ผิวหนังและเนื้อจนเกิดเสียง “ฟู่ๆ” ผิวขาวผ่องก็เปลี่ยนเป็นดำเกรียม และเผยให้เห็นกระดูกที่ท่วมไปด้วยเลือดทันที
แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่รู้ถึงความเจ็บปวด เขากัดฟันแน่น นัยน์ตาทั้งคู่แดงฉานจนเลือดแทบจะทะลักออกมา “หนานหว่านเยียน เจ้าอดทนไว้ ข้าจะไปช่วยเจ้าออกมาเดี๋ยวนี้……”
ไม่มีผู้ใดขานรับเขาเลย เขาฝืนความเจ็บปวดตรงแขนที่โดนความร้อนแผดเผา เคลื่อนย้ายเศษซากปรักหักพังที่พังลงมาไม่หยุดหย่อน
เขาหายใจไม่ออกราวกับถูกมีดกรีดดวงใจ กู้โม่หานสั่นเทาไปทั้งตัว มือที่เปื้อนเลือดเลือนราง ศีรษะของเขาบวมปูด แต่เศษซากปรักหักพังกลับย้ายอย่างไรก็ย้ายไม่เสร็จ
เขาจ้องมองเสื้อคลุมลายหงส์สีเหลืองนั่นแน่วแน่ หัวใจราวกับโดนมีดกรีด หายใจติดขัดเล็กน้อย “หว่านเยียน หว่านเยียนเจ้าอดทนไว้……”
ทันใดนั้นหลังคอก็รู้สึกเย็นวาบ แล้ววูบหมดสติลงตรงนั้น
ไม่นาน กู้โม่เฟิงที่เข้ามาในกองเพลิงอย่างไม่สนชีวิต ก็แบกกู้โม่หานที่ถูกเขาตีจนหมดสติไป วิ่งพุ่งออกมาจากตำหนักอย่างรีบร้อน
เมื่อครู่นี้เขาตามกู้โม่หานมาติดๆ แต่กลับถูกเพลิงไหม้ขวางเอาไว้เลยเข้ามาไม่ได้ ต่อมาก็หาโอกาสได้ยากยิ่งนัก ไม่นานก็เห็นกู้โม่หานไปหยิบสิ่งของที่อยู่ในกองไฟด้วยมือเปล่า โดยที่ไม่แม้แต่จะคำนึงถึงตัวเองด้วยซ้ำ
แย่แล้วจริงๆ มือของขุนพลก็คือชีวิต แม้แต่สิ่งนี้กู้โม่หานก็ลืมแล้วหรือ?!
ตอนที่หมดสิ้นหนทาง เขาจึงทำได้เพียงตีกู้โม่หานให้สลบแล้วพาออกมาเท่านั้น
เสิ่นอี่ว์เห็นรอยแผลบนแขนขวาของกู้โม่หานก็ตื่นตระหนกตกใจ รู้สึกเป็นห่วงอย่างยิ่ง “รีบไปบอกหมอหลวงเร็วเข้า! ฝ่าบาทได้รับบาดเจ็บ!”
……
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่
ทันใดนั้น กู้โม่หานที่อยู่บนเตียงก็ลืมตาขึ้น ดวงตาที่สวยงามมืดมิดและหวาดกลัว ริมฝีปากบางที่เม้มแน่นแห้งแตกเล็กน้อย
เขาลุกขึ้นอย่างกะทันหัน ก็รู้สึกเจ็บที่มือทั้งสองข้างและแขนขวา เขาคว้าแขนเสื้อของกู้โม่เฟิงที่อยู่ข้างเตียง แล้วเอ่ยซักถามเสียงเย็นเยือกอย่างร้อนใจ “หว่านเยียนเล่า? นางอยู่ที่ใด?!”
เมื่อครู่นี้เขาฝัน ในความฝัน หนานหว่านเยียนกำลังรอเขาอยู่ที่ตำหนัก
นางยิ้มงดงามราวกับดอกไม้ ในแววตาเต็มไปด้วยความรู้สึกอ่อนโยนราวกับสายน้ำ
เขาก้าวไปข้างหน้าด้วยหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความปีติยินดี แต่กลับพบว่าไม่ว่าเขาจะเดินอย่างไร ก็จะมีกำแพงกั้นหนานหว่านเยียนเอาไว้
ไม่ว่าเขาจะพยายามอย่างไรก็จับหญิงสาวไม่ได้ และรอยยิ้มของหนานหว่านเยียนก็ยิ่งกว้างขึ้น ราวกับว่าคาดการณ์ทั้งหมดได้ตั้งนานแล้ว
เขาตื่นตระหนกและหวาดกลัว ถลันพุ่งไปด้านหน้า แต่กลับคว้าได้เพียงเสื้อคลุมลายหงส์ที่ว่างเปล่าเท่านั้น
คนที่สวมเสื้อคลุมลายหงส์นั้น ได้หายตัวไปตั้งนานแล้ว
คนทั้งหลายในตำหนักหยูซินได้ยินการซักถามของกู้โม่หาน ก็ล้วนมีสีหน้าลำบากใจขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้
กู้โม่เฟิงเองก็ลดคิ้วลงมา บาดแผลตรงแขนขวาของกู้โม่หานถูกหมอหลวงเจียงจัดการเรียบร้อยแล้ว พันไปด้วยผ้าพันแผลหนานเตอะ มือทั้งสองข้างเองก็พันเช่นกัน เสื้อด้านในสีขาวดูเหมือนว่าจะยิ่งทำให้สีหน้าของชายหนุ่มซีดเซียวและเจ็บปวดใจยิ่งขึ้น
เขารวบรวมคำพูดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างเศร้าโศก “เพลิงไหม้รุนแรงเกินไป ช่วยผู้ใดออกมาไม่ได้เลย ตอนนี้ถูกดับไปแล้ว และหลังจากนั้น……เหล่าองครักษ์ก็เจอสิ่งนี้ในตำหนัก”
เขายื่นปิ่นดอกเหมยระย้าที่แตกเสียหายให้กู้โม่หาน
กู้โม่หานมองแวบเดียวก็จำได้ทันที นี่คือปิ่นปักผมหงส์ที่หนานหว่านเยียนสวมใส่วันนี้ ซึ่งเขามอบให้นางเมื่อวานนี้!
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกจุกอยู่ที่ลำคอ เจ็บปวดทรมานราวกับไฟไหม้
กู้โม่หานนึกถึงเศษชายเสื้อคลุมลายหงส์ที่ขาดเสียหาย ที่อยู่ด้านล่างเศษซากปรักหักพังนั่น และปิ่นระย้าที่แตกหักนี้ ก็เป็นการบอกถึงสถานการณ์ ของหนานหว่านเยียนอย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว
ความโศกเศร้าเสียใจสลักลึกลงไปในใจของเขามากยิ่งขึ้น แต่เขาไม่เชื่อ และพยายามลุกขึ้น “อยู่ต้องเห็นคน ตายต้องพบศพ! ที่พวกเจ้าหาไม่เจอก็เพราะพวกเจ้ามันไร้ประโยชน์ ข้าจะไปหาเอง!”
“ฝ่าบาท!” กู้โม่เฟิงดันเขากลับไปบนเตียง จ้องมองนัยน์ตาสิ้นหวังอย่างยิ่งคู่นั้นของกู้โม่หาน แล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ
“ฝ่าบาท เพลิงไหม้ตำหนักเมื่อครู่นี้ ทุกคนล้วนประจักษ์ชัดแจ้ง และพยายามอย่างสุดกำลังแล้ว แต่ท่านน้าหลวงกับฮองเฮาเหนียงเหนียงเป็นไปได้สูงว่าอาจจะ……”
“อีกอย่าง……” เขาเอ่ยประโยคออกมาได้ลำบากอย่างยิ่ง——
“เซียงอวี้บอกว่า จู่ๆ องค์หญิงน้อยทั้งสองก็หายตัวไป……”