ยากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ นิยาย บท 651
หนานหว่านเยียนตกใจ เฟิงยางยิ่งเหงื่อแตกพลั่ก
ทั้งคู่ไม่กล้าหยุด อวี๋เฟิงกดไหล่หนานหว่านเยียนทันที “ฮ่องเต้กำลังพูดกับเจ้า ทำไมเจ้าไม่ฟัง?”
สีหน้าของหนานหว่านเยียนเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เฟิงยางก็หยุดฝีเท้าแล้วหันไปมองหนานหว่านเยียน แต่กลับเห็นสายตาสงบเยือกเย็นของหนานหว่านเยียน บ่งบอกว่าให้นางออกไปก่อน
นางต้องกัดริมฝีปากและผงกศีรษะเบาๆ ล่าถอยไป แต่แทนที่จะเดินไปไหนไกล กลับอำพรางลมหายใจซ่อนตัวอยู่หลังภูเขาจำลอง เผื่อเกิดปัญหาอะไร
อีกด้านหนึ่ง แม้ว่าหนานหว่านเยียนจะกระวนกระวายอยู่ในใจ แต่ก็ยังสงบสติอารมณ์ได้ พลางหันกลับไปคารวะกู้โม่หานด้วยความเคารพ โดยตั้งใจลดเสียงลง
“ไม่ทราบว่าฝ่าบาทเรียกบ่าวไว้ด้วยเรื่องอันใดเพคะ?”
กู้โม่หานถึงมีโอกาสได้เผชิญหน้ากับหนานหว่านเยียนตรงๆ
เขาหรี่ดวงตาอันทรงเสน่ห์อย่างเย็นชา มองหนานหว่านเยียนตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่กลับพบว่ารูปร่างของนางคล้ายกับคนคนหนึ่ง นิ้วของเขากำแน่น “เงยหน้าขึ้น”
ในอ้อมอกของเขา เกี๊ยวน้อยกลับเลียริมฝีปากด้วยความตื่นเต้นลังเล ดวงตาโตคู่นั้นจ้องตรงไปที่หนานหว่านเยียน ร้อนแผดเผาอย่างถึงที่สุด
หนานหว่านเยียนกระแอมด้วยความประหม่า ประสานฝ่ามือที่มีเหงื่อออก แต่ยังคงเงยหน้าขึ้นตามคำสั่งของกู้โม่หาน เผยให้เห็นใบหน้าที่เปลี่ยนโฉมมาอย่างพิถีพิถัน
“เพคะ”
กู้โม่หานมองดูสตรีที่แต่งกายอย่างเรียบง่ายและหน้าตาธรรมดาที่อยู่ตรงหน้า แววตาสั่นเทา ค่อนข้างผิดหวัง
รูปร่างของสาวใช้คนนี้จะมองอย่างไรก็เหมือนหนานหว่านเยียน แต่เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วน นอกจากรูปร่างของนางแล้ว ก็ไม่มีตรงไหนสัมพันธ์กับหนานหว่านเยียนเลย ใบหน้าแตกต่าง แม้แต่กลิ่นกายก็แตกต่างอย่างสิ้นเชิง
เมื่อคิดว่าหนานหว่านเยียนจากไปสองเดือนแล้ว จนป่านนี้ยังไร้วี่แวว หัวใจของเขาก็ว่างเปล่า เหมือนถูกคว้านเนื้อออกไปชิ้นใหญ่
เขาคงคิดถึงนางมากเกินไปจริงๆ ตอนนี้เมื่อเห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายกับนางมาก ก็คิดว่ามีโชคและความหวังรางๆ
กู้โม่หานยิ้มเยาะตัวเองในใจ ริมฝีปากบางมีความขมขื่นอย่างคลุมเครือ
ความจริงแล้ว นางพยายามขบคิดหาวิธีหนีไปทุกวิถีทาง แล้วจะตกหลุมพรางกลับมาได้อย่างไร
และครั้งนี้หนานหว่านเยียนอยู่ใกล้กับกู้โม่หานมากขึ้น แม้ว่าจะต้องการเพิกเฉยต่อสถานการณ์ของเขา แต่ก็พิจารณาเขาอย่างรอบคอบชัดเจน
ไม่ได้เจอกันสองเดือน กู้โม่หานไม่เพียงซูบผอมลง มือขวาของเขายังดูไม่ประสานกันอีก ขณะที่อุ้มเกี๊ยวน้อย ก็มักจะหันออกไปด้านนอกเป็นนิสัย
แต่แขนเสื้อนั้นยาวเกินไป นางมองไม่เห็นเงื่อนงำใดๆ แค่รู้สึกว่ามือขวาของเขาได้รับบาดเจ็บ
ส่วนมือซ้ายของเขามีแหวนนิ้วก้อยเพิ่มขึ้นมาอีกวง นางมองปราดเดียวก็จำได้ในทันที มันทำจากปิ่นระย้าที่นางเคยสวมในพิธีมอบบรรดาศักดิ์
แหวนนิ้วก้อยมีรูปทรงปราดเปรียวทันสมัย แต่มีกลีบยื่นออกมาที่ขอบหยกฝัง คล้ายกับดอกไอริส
เมื่อสวมมันบนนิ้วก้อยขาวเรียวยาวของกู้โม่หาน จะเห็นได้ชัดว่าไม่เหมาะเลย ไม่เพียงแต่ดูเป็นผู้หญิงเท่านั้น แต่ยังไม่ค่อยเข้ากันอีกด้วย วางอยู่บนข้อนิ้วของเขาอย่างฝืนๆ
สีหน้าท่าทางของหนานหว่านเยียนดูแปลกไป เขาเอาปิ่นระย้าของนางมาทำเป็นแหวนสวมนิ้วได้อย่างไร…
เกี๊ยวน้อยขยุกขยิกอยู่ในอ้อมกอดของกู้โม่หาน ลงสู่พื้นอย่างราบรื่น
นางวิ่งตึกๆๆ ไปหาหนานหว่านเยียน จับมือนางไว้ทันที ดวงตาเป็นประกาย เหมือนกำลังยืนยันอะไรบางอย่าง
เกี๊ยวน้อยฉีกยิ้ม ลักยิ้มน่ารักสองอันเผยขึ้นตรงริมปาก
“พี่สาวท่านนี้ เมื่อครู่ที่ขอบคุณท่านที่ช่วยปกป้องข้า ยังไม่รู้ชื่อของพี่สาวเลย ข้าชอบพี่สาวมากตั้งแต่แรกเห็น ท่านอยู่คุยกับข้าให้นานกว่านี้ได้ไหม?”
นางต้องการที่จะใกล้ชิดกับพี่สาวคนนี้ให้มากขึ้น อยากรู้ว่านางจะใช่มารดาหรือเปล่า
แม้ว่านางจะดูแตกต่างจากท่านแม่มาก มีรสนิยมที่แตกต่างกัน แต่นางก็ชอบพี่สาวท่านนี้มาก
หนานหว่านเยียนสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนบนฝ่ามือของนาง ใจเจ็บแปลบๆ ยากจะทนไหว
นางเม้มริมฝีปากแดง พยายามไม่เปิดเผยพิรุธของตัวเอง แสร้งทำเป็นกล่าวอย่างสงบนิ่ง
“บ่าวชื่อไป๋จื่อ คารวะองค์หญิงใหญ่แล้ว ด้วยพระกรุณาธิคุณขององค์หญิง บ่าวมีฐานะต่ำต้อย ไม่กล้าทำอะไรวู่วามต่อหน้าองค์หญิง”
เกี๊ยวน้อยเงยหน้าขึ้นมองนางอย่างผิดหวัง แววตาเต็มไปด้วยความคับข้องใจ
พี่สาวท่านนี้พูดจามีความเคารพมาก ไม่เหมือนท่านแม่เลยสักนิด
กู้โม่หานมองลูกสาวที่อยู่ใกล้ชิดกับหนานหว่านเยียน คิ้วรูปดาบขมวดแน่น สายตาฉายแววไม่พอใจ
เขาไม่ต้องการให้เกี๊ยวน้อยผูกสัมพันธ์กับหญิงอื่นนอกจากหนานหว่านเยียน ไม่ว่าจะดีแค่ไหนก็ตาม
ไม่มีใครดีไปกว่าหนานหว่านเยียนอีกแล้ว
แต่เขาก็ไม่ได้ทำอะไรรุนแรงเกินไป แค่เอื้อมมือไปที่เกี๊ยวน้อยอย่างอ่อนโยนรักใคร่ พลางเอ่ยปากกระซิบเบาๆ ว่า “อานผิง มานี่”
เกี๊ยวน้อยปล่อยมือกลับมาอยู่ข้างๆ กู้โม่หานอย่างไม่เต็มใจ พลางมองหนานหว่านเยียนตาปริบๆ บุ้ยปากก้มหน้าลง
ฝ่ามือของหนานหว่านเยียนว่างเปล่า ปลายนิ้วงุ้มเข้า กำหมัดอย่างอ้างว้าง สายตาที่มองเกี๊ยวน้อย เป็นความเจ็บปวดที่ไม่อยากพรากจาก
สีหน้านี้ถูกกู้โม่หานจับได้ เขาตกใจ ขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
แต่เมื่อพิจารณาจากที่นางเพิ่งปกป้องเกี๊ยวน้อยไปเมื่อครู่ อาจเป็นเพราะว่าชอบเด็กมาก ไม่เช่นนั้นคงไม่แสดงสายตาเศร้าสร้อยเช่นนี้
และหญิงผู้นี้มีมารยาทและสุภาพ ไม่น่าจะเป็นบ่าวจริงๆ การที่สามารถปรากฏตัวที่นี่ได้ บางทีอาจได้รับเลือกจากเสด็จย่าให้เข้าวังเพื่อคัดเลือกชายา
กู้โม่หานถูแหวนนิ้วก้อยที่มือขวา คิ้วและดวงตากดลงเบาๆ น้ำเสียงไม่เร็วไม่ช้า แต่มีคำเตือนแฝงอยู่อย่างคลุมเครือ
“ข้าไม่สนว่าเจ้าจะสมัครใจเข้าวังหรือไม่ แต่เชื่อว่าเจ้าก็เป็นคนฉลาดคนหนึ่ง”
“ตำแหน่งในฮองเอา ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าควรคิดฝัน”
หนานหว่านเยียนก้มหน้าลงพยักหน้าเล็กน้อย แต่น้ำเสียงมีความโล่งใจระคนดีใจ “เพคะ บ่าวเข้าใจ”
ดูเหมือนว่ากู้โม่หานจะถือว่านางเป็นผู้สมัครสนมแล้ว แต่เช่นนี้ก็ดี ตราบใดที่จำนางไม่ได้ แผนการทั้งหมดก็สามารถดำเนินต่อไปได้ตามปกติ
กู้โม่หานเห็นหนานหว่านเยียนมีเหตุผล จึงถามคำถามอีกสองข้อ “พ่อของเจ้าคือใคร มีตำแหน่งอยู่ในวังหรือ?”