ยากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ นิยาย บท 703
เขาไม่สามารถทนนิ่งเฉยอีกต่อไป ดูนางหนีจากไปต่อหน้าต่อตาอีกครั้ง
ตอนนี้แม้ว่าจะถูกนางเคียดแค้นเกลียดชัง เขาก็มิอาจไม่เปิดโปงลูกเล่นเล่ห์กลน้อยๆ ของนางเช่นกัน
เงาร่างสูงใหญ่ของบุรุษนั้นดุจดั่งเมฆครึ้มม้วนตลบ กดทับหนานหว่านเยียนจนหายใจไม่ออก
นางทั้งตื่นตระหนกตกใจและตื่นเต้น เมื่อเผชิญกับสายตาอันบ้าคลั่งเร่าร้อนของกู้โม่หานนั้น และโบกสะบัดมือของเขาออกโดยไม่รู้ตัว แต่กลับรู้สึกเย็นเยือกไปตลอดทั้งตัวราวกับตกลงไปในหลุมน้ำแข็งก็ปาน
กู้โม่หานกลับพูดจาลักษณะเช่นนี้ เห็นได้ชัดเขาทราบว่าเป็นนางแต่แรกเนิ่นนานแล้ว ในเมื่อเป็นลักษณะเช่นนี้ สรรพสิ่งที่กู้โม่หานปฏิบัติต่อนางตลอดหลายวันนี้ ไยมิใช่ก็คือกำลังเย้าหยอกนางเล่นหรอกหรือ?!
เขาหมายความว่าอย่างไร เย้าหยอกนางเล่นเหมือนลิงเช่นนั้นหรือ?!
คำพูดและพฤติการณ์ของกู้โม่หานนั้นหนักแน่นมั่นคงมากถึงเพียงนี้ ทำให้หลิวซ่างซูและคนอื่นๆ ต่างล้วนรู้สึกมิมั่นใจแล้ว
บรรดาขุนนางพากันมองดูกู้โม่หานและไป๋จื่อจนตะลึงงัน “จะเป็นไปได้อย่างไร……ตั้งแต่เริ่มแรกฮองเฮาเหนียงเหนียงนางมิใช่……ภายในมหาอัคคีภัยครั้งนั้นแล้วหรอกหรือ……”
“ใช่แล้ว ตอนนั้นข้าได้ประจักษ์กับสายตาตนเองว่า ฮองเฮาเหนียงเหนียงอยู่ภายในตำหนักนั่นเอง จะหนีออกไปได้อย่างไรเล่า?”
หยุนเหิงตลอดทั้งตัวเหมือนตกลงในหล่มน้ำแข็ง ทั้งสองมือและเท้าต่างล้วนรู้สึกอ่อนแรงทั้งคู่ เขาจ้องมองภาพลักษณ์อันแข็งกร้าวคุกคามคนของกู้โม่หาน และมองดูดวงตาตื่นตระหนกมิสงบนิ่งทั้งคู่นั้นของหนานหว่านเยียนอีกครั้ง พลันรู้สึกว่าหัวใจก็ยังจะกระโดดออกมาแล้ว
เกรงว่าองค์ฮ่องเต้หาใช่กำลังล้อเล่นไม่ แต่จดจำฮองเฮาเหนียงเหนียงขึ้นมาได้แล้วจริงๆ!
นอกจากนี้ ยังจดจำนางออกแต่แรกเนิ่นนานแล้วด้วยซ้ำ!
แล้วฮองเฮาเหนียงเหนียงสมควรจะทำอย่างไร นางจะถูกตัดศีรษะอีกหรือไม่?
ไท่เฟยถึงกับกำมือจับพนักเก้าอี้จนแน่นแล้ว สีหน้าตื่นตระหนกตะลึงงันมิสิ้นสุดเช่นเดียวกัน
กล่าวเช่นนี้ แสดงว่าบุตรสะใภ้นางกลับมาแล้ว? และนี่เป็นหว่านเยียนจริงๆ หรือ?
ชั่วขณะหนึ่ง เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นเซ็งแซ่จนอื้ออึง บรรยากาศของตำหนักหย่างซินถูกกระตุ้นขึ้นมาอีกแล้ว เปลี่ยนแปลงเป็นร้อนแรงลึกล้ำสุดหยั่งคาดขึ้นมาแล้ว
กู้โม่หานทำเหมือนดั่งไม่ได้ยินก็ปาน ร่างกายรุกเข้าใกล้หนานหว่านเยียนทีละน้อย คว้าข้อมือของนางเอาไว้แล้ว
ระยะระหว่างทั้งสองห่างกันเพียงหนึ่งหมัดเท่านั้น นิ้วมือของเขาออกแรงมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ คล้ายดั่งต้องการยึดจับข้อมือสดใสของหนานหว่านเยียนไว้แน่นภายในกำมือ
ใบหน้าหล่อเหลาสดใสน่ามองนั้นเรืองรองภายใต้ประกายแสงสว่างและเงามืด ก้มลงมองจนต่ำ เสียงจากริมฝีปากบางดังขึ้นได้ยินกันเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้น
“เรื่องราวดำเนินมาถึงบัดนี้แล้ว หรือว่าเจ้ายังต้องการจะซ่อนเร้นอยู่อีก? จะต้องบีบบังคับให้ข้าลงมือเองให้ได้หรือ?”
เขากำลังให้โอกาสนางยอมรับด้วยตัวเอง
แต่ลมหายใจหยาบกร้านสับสนวุ่นวายของกู้โม่หาน ดูเหมือนต้องการจะต้อนหนานหว่านเยียนให้จนมุม
นางถลึงตาเบิกเนตรจนกว้างจ้องมองกู้โม่หาน เสียงรบกวนจอแจบริเวณโดยรอบดูเหมือนจะค่อยๆ ลดน้อยจางหายไป เหลือเพียงแต่เสียงหัวใจที่เต้นจนถี่เร็วของนาง และความรู้สึกเจ็บปวดแสบร้อนจนร้อนลวกบนข้อมือ
หนานหว่านเยียนกัดฟันกรอด ถลึงตาจ้องมองกู้โม่หานอย่างโกรธเคือง ภายในดวงตากอปรด้วยเพลิงโทสะอยู่บ้างเล็กน้อย
กู้โม่หานล่วงรู้ทุกอย่างแล้วชัดๆ แต่ก็ปิดบังเอาไว้มิพูดออกมา ในตลอดระยะเวลาหลายวันขนาดนี้ ไฉนเจาะจงต้องเลือกบีบบังคับให้นางยอมรับในศักดิ์ฐานะ ต่อหน้าผู้คนจำนวนมากมายเช่นนี้!
ช่างน่าเกลียดชังยิ่งนักจริงๆ!
นางต้องการจะสลัดหลุดจากมือของเขา “ปล่อยมือข้าออก!”
แต่ความแตกต่างกันมากด้านความแข็งแกร่ง ทำให้นางมิสามารถต่อต้านขัดขืนได้แต่อย่างไร จึงถูกกู้โม่หานจับตัวไว้อยู่ในที่เดิมโดยตรง สองมือล้วนถูกคว้าจับเอาไว้
ไท่เฟยและหยุนเหิงที่อยู่ด้านข้างล้วนกระวนกระวายจะแย่อยู่บ้างแล้ว เมื่อได้เห็นการแสดงออกที่เปี่ยมความเชื่อมั่นของกู้โม่หาน อีกทั้งเห็นสีหน้าเปี่ยมด้วยเพลิงโทสะของ “ไป๋จื่อ” แล้ว ความรู้สึกโชคดีส่วนหนึ่งภายในใจของไท่เฟยล้วนสลายหายไปหมดสิ้นแล้ว
นางลุกขึ้นยืน ต้องการปลอบประโลมกู้โม่หานให้สงบสติอารมณ์เยือกเย็นลงบ้าง “ฮ่องเต้ พระองค์ทรงปล่อยแม่นางไป๋จื่อผู้นี้ออกก่อนเถอะ ลักษณะเช่นนี้ของพระองค์ แทบทำให้ผู้อื่นตื่นตระหนกจนย่ำแย่แล้ว”
หยุนเหิงต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็มิกล้าเอ่ยปากพูดอีก ยังมีหลิวซ่างซูที่อยู่ข้างกายเขาปาดเหงื่อเย็นเยียบคราหนึ่ง แล้วพูดจาไกล่เกลี่ยขึ้นว่า
“ใช่แล้วพะย่ะค่ะ ฮ่องเต้ ท่านนี้ ท่านนี้คือแม่นางไป๋จื่อนะเนี่ย จะเป็นฮองเฮาเหนียงเหนียงได้อย่างไร มีเรื่องราวอันใด พระองค์ยังคงสงบสติอารมณ์ให้เยือกเย็นลงมาพูดจากันเถอะ”
คนที่เสียชีวิตไปแล้ว จะฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้อย่างไร นอกจากนี้ยังกลับมาพร้อมอีกใบหน้าหนึ่งซึ่งแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง?
ช่างมิสมเหตุสมผลเลยจริงๆ
หยุนอี่ว์โหรวยืนอยู่ไม่ไกลนัก กำแขนเสื้อของตนไว้แล้วอย่างดุดันแนบแน่น มิทราบเพราะเหตุใด ความรู้สึกไม่สบายใจบอกบรรยายมิถูกภายในใจนางระลอกนั้น ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
แม้แต่ปี้หยุนที่อยู่ด้านหลังนาง ก็ยังขยับลำคอด้วยความตื่นเต้นบ้างแล้ว
หากไป๋จื่อเป็นฮองเฮาเหนียงเหนียงละก็ นั่นก็จะเป็นความยุ่งยากปัญหาใหญ่แล้ว!
เฟิงยางมองดูหนานหว่านเยียนถูกกู้โม่หานจับตัวไว้ต่อหน้าต่อตา แต่กลับมิสามารถทำอะไรได้ กัดฟันอย่างมิยินยอมพร้อมใจ ดวงตาทั้งสองเป็นสีแดงก่ำเต็มเปี่ยมกลิ่นอายรังสีสังหาร
เวลานี้เขาคนเดียวต้องการจะพาจวิ้นจู่ออกจากวังไป นั่นช่างยากลำบากเหมือนกับปีนป่ายขึ้นสู่สวรรค์……
กู้โม่หานเอาแต่จ้องมองหนานหว่านเยียนตาเขม็ง เห็นลักษณะท่าทางของนางที่ต่อให้ตายก็มิยอมรับอย่างเด็ดขาด หัวใจก็กำลังจมดิ่งลงเรื่อยๆ เช่นกัน คลื่นความโกรธเดือดดาลระลอกหนึ่งพลุ่งพล่านขึ้นมา
จนถึงลักษณะขั้นนี้แล้ว นางก็ยังมิยินยอมรับด้วยตนเองอีกหรือ มีผู้คนจำนวนมากมายเพียงใดที่ต้องการรั้งอยู่ข้างกายเขา?
“ฮองเฮาของข้า ข้าจำได้มิผิดพลาดอย่างแน่นอน”
พูดจบเขาก็ยกมือขึ้น ข้อนิ้วมือกระจ่างค่อยๆ แยกแยะลูบคลำบริเวณใต้คางของหนานหว่านเยียน คล้ายดั่งกำลังแสวงหาสิ่งใดอยู่
รูม่านตาของหนานหว่านเยียนหดเล็กลง ความจริงนางทราบว่ามิสามารถพลิกกลับสถานการณ์สิ้นหวังแล้ว กลับยังพูดออกมาโดยมิรู้ตัวว่า “อย่า……”
แต่มือถูกเขาคว้าจับกุมไว้ และเขาก็คล้ายดั่งบันดาลโทสะแล้วเช่นกัน จึงออกแรงใช้กำลังมิให้นางดิ้นรนขยับเขยื้อน
ทุกคนมิทราบว่ากู้โม่หานกำลังทำอะไร ต่างกลั้นลมหายใจรอคอย มีเพียงหยุนเหิงและเฟิงยางเท่านั้นที่รู้สึกเหมือนหัวใจก็ยังจะหยุดเต้นลงแล้ว
ประจวบกับตอนนี้เอง นิ้วมือเรียวยาวของกู้โม่หานบีบเบาๆ ตรงบริเวณใต้คางของหนานหว่านเยียนจุดที่เชื่อมต่อกับติ่งหู
เขายกมือขึ้นสีหน้าเรียบเฉยมิแสดงอารมณ์ใดๆ หน้ากากผิวหนังมนุษย์แผ่นบางดุจปีกจักจั่นฝีมือประณีตยอดเยี่ยมใบหนึ่ง ก็ถูกลอกออกมาแล้วโดยตรง
ทันใดนั้น ใบหน้าโฉมสะคราญสุดยอดสวยสดงดงามเปี่ยมเสน่ห์แห่งยุคของหนานหว่านเยียน ก็เปิดเผยออกมาแล้วในชั่วพริบตา——