ยากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ นิยาย บท 704
แม้แต่หนานหว่านเยียนก็ยังใจสั่นสะท้านเล็กน้อยแล้ว นางกัดฟันกรอดพลางมองดูกู้โม่หาน โกรธเคืองจนดวงตาเป็นสีแดงก่ำแล้ว “กู้โม่หาน เจ้าช่างบ้าคลั่งวิปลาสจริงๆ”
แม้แต่เส้นทางรอดเพียงเล็กน้อยก็ยังมิให้นาง!
กู้โม่หานจ้องมองใบหน้าที่คุ้นเคย แววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักอันลึกซึ้ง พร้อมกับจิตใจอ่อนยวบหวั่นไหว
ถ้าหากมิใช่เพราะสถานการณ์บังคับ เขามิต้องการใช้วิธีการเช่นนี้เลยจริงๆ เพื่อบอกให้ทุกคนทราบว่า นางได้กลับมาแล้ว
และใบหน้าหนานหว่านเยียนอันน่าทึ่งเพียงพอทำให้ทุกคนประหลาดใจนี้ ก็ทำให้ทุกคนต่างล้วนปากอ้าตาค้าง และทยอยพากันตะลึงงันแล้ว
หยุนอี่ว์โหรวมองดูใบหน้าของหนานหว่านเยียน ที่งดงามทลายกำแพงเมืองอาณาจักรล่มสลายแล้ว รู้สึกแต่เพียงสองตามืดสลัวลงวูบและหน้ามืดวิงเวียนศีรษะ ตลอดทั้งร่างโอนเอนซวนเซในลักษณะจวนเจียนจะล้มลง
“เหนียงเหนียง……” โชคดีที่ปี้หยุนประคองร่างนางเอาไว้แล้ว สีหน้ากลับมิยินยอมพร้อมใจเช่นเดียวกัน และรู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้างเล็กน้อย
สายตาหยุนอี่ว์โหรวจ้องมองหนานหว่านเยียนเขม็งอย่างอิจฉาเคียดแค้น ปลายนิ้วแหลมคมจิกเข้าไปใจกลางฝ่ามือของนาง ความเจ็บปวดยังไม่เทียบเท่าอารมณ์ความโกรธเคืองขุ่นข้องภายในใจ
แรกเริ่มนางยังคิดว่าไป๋จื่อเป็นตัวแทนของหนานหว่านเยียน นางกลับคิดมิถึงว่า ไป๋จื่อก็คือหนานหว่านเยียนนั่นเอง!
มิน่าล่ะ ไม่น่าแปลกใจที่นางหยิ่งผยองถึงเพียงนี้! คนสารเลวผู้นี้กลับยังมิได้เสียชีวิตจริงๆ!
และนางกลับลงมือด้วยตัวเอง คอยบีบบังคับหนานหว่านเยียนทีละก้าวจนกระทั่งปรากฏตัวออกมา!
นางโมโหแทบตายแล้ว บันดาลโทสะจริงๆ จนกระทั่งท้องก็ยังรู้สึกปวดแล้ว!
หลิวซ่างซูเองก็รู้สึกหมดแรงไปตลอดทั้งตัวอยู่บ้างแล้วเช่นกัน บ่นพึมพำตัวสั่นงันงกขึ้นมาว่า “กลับ กลับเป็นฮองเฮาเหนียงเหนียงจริงๆ……”
เหล่าบรรดาขุนนางเจ้าหน้าที่ต่างล้วนตระหนกตกใจแล้วเช่นกัน “ฮองเฮาเหนียงเหนียงกลับยังมีชีวิตอยู่จริงๆ?!”
“เรื่องนี้เป็นไปได้อย่างไรกันเล่า……อัคคีภัยครั้งใหญ่ในวันนั้น พวกข้าทุกคนต่างก็ประจักษ์แก่สายตาของตนเองแล้วนี่นา”
คนที่จวนเจียนเสีบชีวิตผู้หนึ่งกลับปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในศักดิ์ฐานะลักษณะเช่นนี้ เพียงพอทำให้ทุกคนตระหนกตกใจไปตลอดชั่วชีวิตแล้ว!
นอกจากนี้ หากไป๋จื่อก็คือฮองเฮาเหนียงเหนียงละก็ เช่นนั้นท่าทีแข็งกร้าวคุกคามผู้คนของพวกเขาเมื่อครู่นี้ ก็ช่างน่าขบขันชวนหัวเราะอย่างยิ่งแล้ว
หยุนเหิงทรุดตัวนั่งลงกับพื้นอย่างหมดอาลัยตายอยาก หลั่งเหงื่อเย็นเยียบต่อเนื่อง
จบสิ้นแล้ว ในที่สุดฮองเฮาเหนียงเหนียงก็ถูกเจอตัวเข้าจนได้แล้ว
“เยียนเอ๋อร์?” ไท่เฟยเองก็ลุกพรวดพราดยืนขึ้นมาทันทีเช่นกัน จ้องมองหนานหว่านเยียน พูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครืออยู่บ้างว่า “เจ้าไฉนจึง……”
เมื่อครู่นี้ตอนที่ “ไป๋จื่อ” ปรากฏตัวขึ้นนั้น นางมิสามารถจดจำออกแม้แต่น้อยนิดด้วยซ้ำ จึงสามารถจินตนาการทราบได้ว่า ทักษะการปลอมแปลงรูปโฉมนี้สมควรเป็นฝีมืออันสูงส่งสุดยอดแล้ว
แต่บุตรชายของตนหลงใหลคลั่งไคล้จนถึงจุดนี้แล้ว จึงสามารถสังเกตเห็นการปลอมตัวของบุตรสะใภ้ออกแล้วอย่างง่ายดายเช่นนี้
แต่บุตรสะใภ้หวนกลับมา อีกทั้งเป็นการปลอมแปลงรูปโฉมกลับมา เห็นได้ชัดว่าเป็นการรุดมารับตัวเกี๊ยวน้อยจากไปกระมัง หาใช่กลับมาสมัครสมานคืนดีกันไม่
ไท่เฟยกำแขนเสื้อจนแนบแน่น มองดูการผนึกแข็งค้างระหว่างหนานหว่านเยียนและกู้โม่หานอย่างตื่นเต้นจดจ่อ
พูดกันตามเหตุผล บุตรชายและบุตรสะใภ้สมัครสมานคืนดีกันนั้นเป็นเรื่องประเสริฐ แต่สถานการณ์ตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน
ความขัดแย้งระหว่างพวกเขาสองคนยังมิได้มีการแก้ไขอย่างเหมาะสม ลูกชายโง่เขลาของนางคนนี้ก็มิรู้จักติดตามง้อขอคืนดีกับบุตรสะใภ้อย่างจริงจังเช่นใด
กลับบีบบังคับบุตรสะใภ้ให้ยอมรับศักดิ์ฐานะภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ นี่คือการราดน้ำมันลงบนกองเพลิงสำหรับบุตรสะใภ้ชัดๆ เลยนะเนี่ย เกรงว่าบุตรสะใภ้คงจะโกรธเคืองแทบคลั่งแล้ว
ยามนี้สถานการณ์ผนึกแข็งค้างเข้มข้นอย่างยิ่ง หลิวซ่างซูและคนอื่นๆ ต่างก็เลียริมฝีปากแสดงออกอย่างเคอะเขินลำบากใจ
เรื่องนี้ถูกกระตุ้นขึ้นมาสืบเนื่องมาจากพวกเขา ตอนนี้พวกเขาก็มิอาจไม่ลุกขึ้นมาแล้วเช่นกัน พูดด้วยน้ำเสียงเต็มเปี่ยมด้วยความจริงใจและสำนึกผิดมิสบายใจ
“ในเมื่อแม่นางไป๋จื่อก็คือฮองเฮาเหนียงเหนียง เช่นนั้นย่อมมิจำเป็นต้องออกจากวังแล้ว ก่อนหน้านี้รุดมาก่อเรื่องสร้างปัญหาเบื้องหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้หลายครั้ง ก็เป็นเพราะพวกกระหม่อมรู้เท่ามิถึงการณ์ ยังคงขอให้ฮองเฮาเหนียงเหนียงทรงโปรดเมตตาอภัยโทษให้ด้วย!”
แต่แล้วพลันหลิวซ่างซูก็นึกถึงสิ่งใดขึ้นมาได้อีก จึงขมวดคิ้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมจริงจังอยู่บ้างว่า “เพียงแต่ว่า——พวกกระหม่อมยังมีคำถามข้อสงสัยมากมายนัก”
“ในเมื่อฮองเฮาเหนียงเหนียงมิได้เสียชีวิตในอัคคีภัยครั้งใหญ่เมื่อสองเดือนก่อน แล้วไฉนจึงมิหวนกลับวังเป็นเวลาเนิ่นนานเล่า? พระองค์สมควรทราบว่า วังหลังยามใดมิมีเจ้านายควบคุม จะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงเลยทีเดียวพะย่ะค่ะ”
ยังทำให้พวกเขาพลอยถูกปิดหูปิดตาอย่างพิศวงงวยงง ได้เป็นประจักษ์พยานเห็นความเย็นชาไร้น้ำใจของกู้โม่หาน เป็นระยะเวลายาวนานหลายวันเช่นนี้แล้ว
ตลอดจนก่อเกิดเป็นเรื่องราวความผิดพลาดยุ่งเหยิงอันโง่เขลาคิดมิถึงออกมารอบหนึ่ง นี่เป็นเรื่องตลกน่าขบขันใหญ่หลวงไร้สาระที่สุดในโลกหล้าเลยทีเดียว!
คำพูดเพิ่งจบลง พลันขุนนางใหญ่จำนวนมิน้อยต่างล้วนมีปฏิกิริยาตอบสนองคืนมา สีหน้าการแสดงออกของทุกคนค่อยๆ เปลี่ยนเป็นตื่นตระหนก ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง กลายเป็นโกรธเคืองอยู่บ้างเล็กน้อย
ว่าไปแล้วก็ใช่นะเนี่ย ถ้าหากฮองเฮาเหนียงเหนียงยังมีชีวิตอยู่ตลอดเวลาละก็ เช่นนั้นไฉนจึงไม่กลับมาแต่เนิ่นๆ เร็วขึ้นอีกหน่อย?
และอัคคีภัยครั้งใหญ่รอบหนึ่งในตอนนั้นเป็นเรื่องราวใดอีก ควรทราบว่า หากมิใช่เพื่อช่วยเหลือหนานหว่านเยียนภายในอัคคีภัยครั้งใหญ่รอบนั้น แขนของบุตรแห่งสวรรค์ก็มิต้องได้รับบาดเจ็บแล้วเช่นกัน จวบจนบัดนี้แผลเป็นยังมิได้รักษาให้หายสนิทด้วยซ้ำ
ชั่วพริบตาเดียว เสียงกระซิบกันก็เซ็งแซ่ดังขึ้นมาจนอื้ออึง ทุกคนต่างล้วนพากันระบายความสงสัยข้อกังขาภายในใจออกมา “ใช่แล้วพะย่ะค่ะ ฮองเฮาเหนียงเหนียง ตอนนั้นสถานการณ์เปลวเพลิงรุนแรงมากถึงขนาดนั้น พระองค์สามารถหนีเอาชีวิตรอดออกมาจากในนั้นได้อย่างไร?”
“พระองค์ในฐานะเป็นฮองเฮาของแคว้นหนึ่ง ไฉนจึงต้องจากวังไปเป็นระยะเวลานานเช่นนี้ และยังกลายเป็นคู่หมั้นหมายของแม่ทัพน้อยหยุนไปแล้วอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุอีกด้วย?”
หนานหว่านเยียนปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ภายในนั้นมีจุดที่ไม่สมเหตุสมผลมากเกินไปแล้ว เพียงครู่เดียว หัวหอกของทุกคนทั้งหมดต่างล้วนพุ่งเป้ามาทางหนานหว่านเยียนคนเดียวแล้ว
หยุนเหิงซึ่งมีฐานะเป็นหนึ่งในจำนวนผู้เกี่ยวข้องคนสำคัญหลัก ย่อมถูกบรรดาขุนนางเจ้าหน้าที่จำนวนมากผลักดันให้ออกหน้าเป็นคนแรกสุด บังคับให้ต้องพูดคำตอบออกมาให้ได้
เขาหลั่งเหงื่อเย็นเยียบออกมาทั้งตัว เหมือนเช่นคนใบ้อมบอระเพ็ด ไม่ทราบว่าสมควรจะตอบอธิบายว่าอย่างไร “ข้า เรื่องนี้……”
เรื่องราวอยู่เหนือการควบคุมของเขาแล้ว เขานึกหาวิธีการไม่ออกแล้วจริงๆ
เฟิงยางก็เตรียมพร้อมอย่างระมัดระวังแล้วเช่นกัน ดวงตาคมเฉียบทั้งคู่ที่จ้องมองสถานการณ์เขม็งเต็มเปี่ยมด้วยรังสีสังหาร
ขอเพียงเกิดเรื่องอะไรขึ้นสักอย่าง ต่อให้นางต้องใช้วิธีการอันแข็งกร้าว ก็ต้องพาจวิ้นจู่ออกไปให้ได้เช่นกัน!
บริเวณด้านข้าง หยุนอี่ว์โหรวที่เมื่อครู่นี้ยังรู้สึกสิ้นหวังอยู่บ้างได้ค่อยๆ สงบจิตใจลงแล้ว
นางยิ้มอย่างเย้ยหยันขึ้นคราหนึ่ง สีหน้าแววตาเต็มเปี่ยมด้วยความชั่วร้ายโหดเหี้ยมอำมหิต
ใช่แล้วสิ นางไฉนจึงคิดมิถึงนะเนี่ย ในเมื่อหนานหว่านเยียนมิได้เสียชีวิต ความสงสัยข้อกังขาของบรรดาขุนนางใหญ่เหล่านั้น หนานหว่านเยียนก็มิอาจไม่ให้คำอธิบายที่สมเหตุสมผลอย่างหนึ่ง
แต่เรื่องนี้ช่างแปลกประหลาดมีลับลมคมในมากเกินไปแล้ว ไม่ว่าอธิบายอย่างไรต่างล้วนไม่มีข้อสรุปที่ดี ล้วนแล้วแต่จะทิ้งปมอย่างหนึ่งไว้ภายในใจของบรรดาขุนนางใหญ่ ที่หมกมุ่นวุ่นวายกับเรื่องเล็กน้อยผลได้เสียส่วนตัวเหล่านั้น รวมทั้งกู้โม่หาน……