ยากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ นิยาย บท 708
คำพูดจบลง พลันสีหน้าแววตาการแสดงออกของกู้โม่หานแปรเปลี่ยนไปกะทันหัน ลูกนัยน์ตาภายในดวงตาดำสนิทกลายเป็นสีแดงเลือดในทันใด ยังกอปรด้วยความเหี้ยมโหดทะมึนที่เหมือนเมฆดำครึ้มปกคลุมก็มิปาน
นางเพิ่งจะกลับมา ก็คิดว่าจะพาเด็กหญิงตัวน้อยจากไปเช่นใดแล้ว หรือว่าภายในระยะเวลาสองเดือนมานี้ นางมิเคยคิดถึงเขาแม้แต่น้อยนิดเลยเชียวหรือ?
หัวใจของกู้โม่หานจมดิ่งลงแล้วจมดิ่งอีก ตลอดจนยังกอปรด้วยความเจ็บปวดหม่นหมองหลายส่วน แต่เขากำหมัดจนแนบแน่น ริมฝีปากบางเม้มแล้วเม้มอีก มีขันติอดทนอดกลั้นเอาไว้แล้ว
เขาดึงข้อมือของนางเข้ามา อารมณ์รักใคร่ภายในดวงตาสวยงามนั้นร้อนแรงและจารึกไว้อย่างลึกซึ้ง
“หว่านเยียน ข้าทราบว่าสิ่งที่เจ้าพูดนั้นเป็นคำพูดยามอารมณ์โกรธเคือง ข้าก็ทราบเช่นกันอีกว่า เวลานี้ซาลาเปาน้อยก็อยู่ในจวนแม่ทัพน้อยหยุนนั่นเอง”
“เวลานี้นางสบายดีอยู่หรือไม่? เกี๊ยวน้อยอยู่ภายในวังตลอดระยะเวลาสองเดือนมานี้ นางคิดถึงพวกเจ้าเป็นอย่างยิ่ง”
ผลปรากฏว่าเขาล่วงรู้แล้วว่า ซาลาเปาน้อยอยู่ภายในจวนท่านแม่ทัพ
ครั้งก่อนแวะไปจวนแม่ทัพ เขาหาใช่เพื่อส่งนางกลับไปแต่อย่างไรไม่ แต่เพื่อไปตามหาเจ้าหนูน้อยนั่นเอง!
หนานหว่านเยียนสลัดมือของกู้โม่หานออกไปในครั้งเดียว สายตาโกรธเคืองจ้องมองกู้โม่หาน ภายในดวงตาสวยงามเปล่งประกายอันเย็นชา
“ซาลาเปาน้อยสบายดีหรือไม่ เกี่ยวข้องอันใดกับท่านด้วยเล่า”
“กู้โม่หาน ข้าได้แสดงจุดยืนของตัวเองอย่างชัดเจนครั้งแล้วครั้งเล่า ใบหย่าอย่างสันติแผ่นนั้นที่ข้าเขียนขึ้นในตอนนั้น ข้าถึงกับสามารถท่องจำได้แล้วด้วยซ้ำ”
“ความปรารถนาใหญ่หลวงที่สุดของข้าในตอนนี้ก็คือการแยกจากกันอย่างสันติ พาแม่หนูน้อยทั้งสองคนออกไปให้ห่างไกลจากชีวิตของท่านตลอดไป หากท่านยังมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีอยู่จริงๆ หรือว่าภายในตลอดระยะเวลาสองเดือนมานี้ ท่านมิเคยไตร่ตรองทบทวนพิจารณาตัวเองบ้างเลยเชียวหรือ? แตงโมที่แข็งขืนปลิดจากขั้วรสชาติมักไม่หวาน (อุปมา การฝืนกระทำการใดโดยเงื่อนไขไม่สุกงอมผลลัพธ์ที่ได้มักไม่ดี)”
“ก็เหมือนเช่นเดียวกับข้าในตอนแรก ที่ข้าเฝ้าก่อกวนพัวพันท่านมิยอมเลิกรา ข้าก็มิได้แลกมาซึ่งผลลัพธ์ที่ดีเช่นกัน มิใช่หรอกหรือ?”
เดิมนางคิดว่าการจากไปของตนจะสามารถทำให้กู้โม่หานมีช่วงเวลาใคร่ครวญสักระยะหนึ่ง ให้เขาได้ขบคิดอย่างละเอียดไตร่ตรองนึกถึงเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมา
คิดมิถึงว่าเขายังคงเหมือนเดิม มิมีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อยนิด ยังคงมีลักษณะแข็งกร้าวเช่นนั้น ลุ่มหลงหวาดระแวง และอหังการถืออำนาจบาตรใหญ่!
“ไหนเลยจะมิมีผลลัพธ์ใดๆ ข้ารักเจ้าแล้วนะ!” คิ้วบนใบหน้ากู้โม่หานจมดิ่งวูบ ภายในดวงตาสายงามที่เย็นชาทะมึนกอปรด้วยแววตาอันดุดันโหดร้ายหลายส่วน นิ้วมือที่ข้อนิ้วกระจ่างนั้นอดมิได้ที่จะคว้าไหล่ของนางไว้อย่างดุดันแนบแน่น ปลายนิ้วมือที่เมื่อครู่นี้ยังขาวซีดอยู่เปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดไปจนทั่วในชั่วพริบตา
“ข้ารักเจ้าแล้วนะ หนานหว่านเยียน! คำพูดนี้ เจ้าต้องการให้ข้าพูดมากมายสักกี่ครั้ง?”
ในช่วงระยะเวลาสองเดือนที่ผ่านมาเขารู้สึกผิดและสำนึกเสียใจขยันทำงานหนัก นางรั้งอยู่ในเมืองหลวงตลอดมา หรือว่านางจะมิเคยสังเกตเห็นมาก่อน?
จะต้องควักหัวใจออกมาให้นางดู นางจึงจะยอมเชื่อใช่หรือไม่?
“หากตอนที่ข้ายังรักท่านอยู่นั้น ท่านพูดคำพูดนี้กับข้า แม้แต่ยามหลับข้าก็ยังจะต้องส่งเสียงหัวเราะขึ้นมาเพราะความยินดีด้วยซ้ำ!”
ดวงตาทั้งคู่ของหนานหว่านเยียนจ้องมองเขาเขม็ง “แต่ว่ากู้โม่หาน ข้าไม่ชื่นชอบท่านแล้ว ไม่ว่าสิ่งที่ท่านพูดนั้นจะเป็นความจริงหรือเท็จ ความรักลึกซึ้งที่มาเมื่อสายนั้นก็คือสิ่งด้อยค่าไร้ราคา ท่านได้ยินแล้วหรือไม่?”
ทรวงอกเหมือนถูกฉีกขาดแล้วก็ปาน กู้โม่หานมองดูหนานหว่านเยียนด้วยสีหน้าแววตาเจ็บปวดหมองหม่นหดหู่ พูดด้วยน้ำเสียงดุดันอยู่บ้างว่า “ไม่ได้ยิน ข้าก็จะบอกเจ้าอย่างชัดเจนเช่นกันว่า ตำแหน่งฮองเฮาเจ้าก็จะต้องเป็นเช่นกัน เจ้ามิต้องการเป็นก็จะต้องเป็น”
เขามีลักษณะแข็งกร้าวเช่นนั้นอีกแล้ว หนานหว่านเยียนโกรธเคืองจนหัวเราะออกมาแล้วโดยตรง ดวงตาอันสวยงามสดใสน่ายำเกรงเปล่งประกายสำนึกเยือกเย็น
“กู้โม่หาน หรือว่าขนาดข้าถึงกับเคย ‘ตาย’ ไปครั้งหนึ่งแล้ว ท่านก็ยังมิรู้จักวางมืออีกหรือ?”
“ข้าหาได้รู้สึกว่าท่านรักข้าจริงๆ ไม่ การรักใครสักคนนั้นจะต้องปฏิบัติด้วยดีซึ่งกันและกันตลอดเวลา จะต้องนึกถึงอีกฝ่ายหนึ่งก่อนเป็นอันดับแรกเสมอ ท่านปฏิบัติต่อข้า เห็นได้ชัดว่าเป็นความต้องการครอบครองภายในใจซึ่งเกิดจากความเห็นแก่ตัว มิสามารถเห็นข้าดีกับผู้อื่นเท่านั้นเอง”
“ท่านเห็นแก่ตัวเช่นนี้ เพียงแค่ต้องการกักตัวผู้อื่นให้อยู่เคียงข้างท่าน ท่านเพียงแต่ต้องการให้ตัวเองมีความสุขเท่านั้น ท่านเคยถามความรู้สึกของข้าหรือไม่?”
หนานหว่านเยียนพูดเสียงดังจนแทบคำราม ภายในตำหนักหย่างซินอันกว้างใหญ่โอ่โถงโอ่อ่า เสียงโกรธเคืองของนางดังกึกก้องไปแทบตลอดทั่วทั้งห้องโถงใหญ่ จิตใจของกู้โม่หานเองก็ยังสั่นคลอนหวั่นไหวแล้ววูบหนึ่งเช่นกัน
ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาแปรเปลี่ยนไปแล้วทันใด “ข้ามิเคยคิดเช่นนี้มาก่อน”
“แต่ท่านได้กระทำเช่นนี้แล้ว” หนานหว่านเยียนแค่นเสียงเย็นชาคราหนึ่ง คุกคามเข้าไปใกล้กู้โม่หานทีละก้าวทีละก้าว ดวงตาคมกริบตวัดจ้องมองเขาเขม็งอย่างเกลียดชัง นิ้วมือเรียวงามเย็นเฉียบไร้ความอบอุ่น จี้สะกิดใส่หน้าอกของกู้โม่หานครั้งแล้วครั้งเล่า
“ที่ผ่านมาข้าหลงรักมอบหัวใจถวายจิตวิญญาณให้ท่าน ท่านรู้สึกว่าน่าขุ่นข้องรำคาญ แต่ว่าท่านอาจรู้สึกเคยชินแล้ว ดังนั้นเวลานี้ข้าไม่รักท่านแล้ว ท่านก็รู้สึกว่าไม่คุ้นเคยแล้ว ท่านรู้สึกว่าศักดิ์ศรีของท่านในฐานะเป็นฮ่องเต้องค์หนึ่งถูกผู้คนท้าทายแล้ว ดังนั้นท่านต้องแข็งขืนบังคับรั้งข้าเอาไว้”
“ท่านเอาแต่พูดว่ารักข้าคำแล้วคำเล่า ตอนที่ตัดสินใจนั้น กลับไม่เคยคำนึงถึงความรู้สึกของข้าเลยแม้แต่น้อย กู้โม่หาน นี่ก็คือสิ่งที่ท่านเรียกว่าความรักเช่นนั้นหรือ?”
“ไฉนข้าจึงรู้สึกว่า มันช่างน่าขบขันอะไรเช่นนั้นเล่า”
นางไม่ชื่นชอบใช้คำพูดทำร้ายผู้ใดเลยจริงๆ
ในอดีตตอนที่นางชื่นชอบเขานั้น ไม่เคยบีบบังคับเขาเช่นนี้มาก่อน นางเพียงแต่ชื่นชอบแสดงการดำรงอยู่ของนางต่อหน้าเขาเท่านั้น ไม่เคยแข็งขืนบังคับให้เขาชื่นชอบนางมาก่อน
เนื่องเพราะนางรักเขาอย่างแท้จริง เห็นความรู้สึกของเขาสำคัญเป็นอันดับแรก
ทว่ายามนี้เขาหาได้เป็นเช่นนี้ไม่ แล้วยังพูดอย่างเต็มปากเต็มคำว่ารักนาง นางจึงมิสามารถทนรับฟังต่อไปได้อีกแล้วจริงๆ
นางกลับมาเพียงเพื่อจะรับตัวลูกน้อยไป ทั้งที่ทราบกระจ่างว่ามิสามารถทำได้ แต่เนื่องเพราะนางเป็นมารดาผู้หนึ่ง นางมิสามารถตัดใจจากลูกน้อยของตนเอง
แต่กู้โม่หานเล่า เพื่อศักดิ์ศรีและความปรารถนาที่เห็นแก่ตัวอันไร้สาระน่าขบขันของเขาเหล่านั้นแล้ว คอยบีบคั้นต้อนนางเข้าสู่สถานการณ์สิ้นหวังครั้งแล้วครั้งเล่า
มิต้องเอ่ยถึงเรื่องอื่นๆ เพียงเฉพาะในจุดนี้เท่านั้น พวกเขาจะเดินต่อไปด้วยกันได้อย่างไรเล่า
คำพูดอันคมกริบของหนานหว่านเยียน ประดุจหนึ่งมีดที่แหลมคมเล่มหนึ่ง ทิ่มแทงทำร้ายหัวใจของกู้โม่หานแล้วทั้งหนักหน่วงและเจ็บปวด
เขาก้มตาลงจ้องมองนาง พลันรู้สึกคล้ายดั่งโลหิตภายในตลอดทั่วทั้งร่างล้วนหยุดชะงักลงแล้ว
สองเดือนก่อนหน้านี้เขาอยู่ในกองเพลิง เพื่อช่วยเหลือหนานหว่านเยียนแล้วแขนขวาต้องได้รับบาดเจ็บ รอยแผลเป็นที่กระดำกระด่างวุ่นวายร้อนลวกเหมือนดั่งถูกแผดเผาอีกครั้งก็ปาน เจ็บปวดจนเสียดแทงใจเขา
ความรู้สึกที่ไร้เรี่ยวแรงชนิดหนึ่งห้อมล้อมอยู่ในหัวใจเขา ริมฝีปากอ้าขึ้นและหุบลงในชั่วพริบตา กลับพูดไม่ออกแม้แต่เพียงคำเดียว
ที่ผ่านมาเขาทำร้ายนางมากเกินไปแล้ว
เขาเป็นฝ่ายผิดคำมั่นสัญญา และทำลายความไว้วางใจของนางไปแล้วทางอ้อม
ทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหมดนี้ เขาล้วนเป็นผู้สร้างขึ้นด้วยตัวเองทั้งหมด
ยามนี้ใบหน้าอันสดใสหล่อเหลาชวนมองนั้นเศร้าใจสลดหดหู่อยู่บ้าง เขากลับหาได้พูดอธิบายสิ่งใดๆ อีกไม่ เอาแต่จ้องมองดูหนานหว่านเยียนตาเขม็ง ลำคอมีความรู้สึกอึดอัดที่พูดไม่ออกอธิบายมิได้ระลอกหนึ่ง
“กลับตำหนักหยูซินเถอะ ถ้าเซียงอวี้และคนอื่นๆ ทราบว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่ จะต้องรู้สึกยินดีอย่างยิ่งแน่นอน ช่วงวันเวลาเหล่านี้ พวกนางก็มักจะพูดถึงเจ้าเช่นกัน”
“นอกจากนี้ พาซาลาเปาน้อยกลับมาแต่เนิ่นๆ หน่อยจะดีที่สุด ครอบครัวหนึ่ง ถึงอย่างไรก็ต้องอยู่ด้วยกันอย่างพร้อมหน้า”
ในเมื่อหนานหว่านเยียนมิได้เสียชีวิต เช่นนั้นโม่หวิ่นหมิงก็จะต้องปลอดภัยไร้เรื่องราวอย่างแน่นอน นางกล้าเข้ามาในวังเพียงคนเดียว เช่นนั้นแสดงว่าซาลาเปาน้อยจะต้องปลอดภัย
แม้ว่าเขาจะไม่ชอบโม่หวิ่นหมิงนัก แต่เขาก็ทราบเช่นกันว่าโม่หวิ่นหมิงดีต่อหนูน้อยทั้งสองอย่างยิ่ง ในช่วงระยะเวลานี้ ซาลาเปาน้อยก็จะมิมีอันตรายใดๆ มาแผ้วพานเช่นกัน
“กู้โม่หาน……”
หนานหว่านเยียนยังคิดจะพูดอะไร แต่เขามิฟัง พูดขึ้นขัดจังหวะนางโดยตรงว่า “เครื่องตกแต่งภายในตำหนักหยูซิน ยังคงสภาพเดิมก่อนเจ้าจากไป มิมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง”
“หากเจ้ายังขาดเหลือต้องการสิ่งใด ก็จงบอกพวกเขา ให้พวกเขาจัดเตรียมให้”
พูดจบ เขาไม่เปิดโอกาสให้นางพูดจา หันหลังกลับออกจากตำหนักหย่างซินไปแล้วโดยตรง ช่วงเวลาชั่วขณะที่กำลังหันร่างกลับไปนั้น พลันบริเวณขอบตาล่างเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำขึ้นมาอยู่บ้างทันใด
ปลายแหวนบนมือขวาถูกเขาถอดออกมากำไว้ภายในฝ่ามือแนบแน่น รูปร่างอันสูงใหญ่ท่ามกลางแสงสว่างและเงามืด มิทราบเหตุไฉนจึงดูโดดเดี่ยวอ้างว้างและว้าเหว่เดียวดายอยู่บ้างเล็กน้อย
ภายในห้องโถงใหญ่ ขอบตาของหนานหว่านเยียนก็แดงก่ำแล้วเช่นกันในชั่วพริบตา ในใจรู้สึกยุ่งยากซับซ้อนและอึดอัดอย่างมิมีเหตุผล นางกัดริมฝีปากแน่นอย่างดุดันด้วยความรู้สึกขุ่นข้องหงุดหงิด
หงุดหงิดจะตายแล้ว ช่างน่าหงุดหงิดรำคาญจะตายแล้วจริงๆ!
กู้โม่หานไฉนจึงช่างน่าหงุดหงิดรำคาญเช่นนี้ไปได้——