ยากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ นิยาย บท 709
นางขุ่นข้องหงุดหงิดจนท้องนางก็มีอาการปวดขึ้นมาแล้ว
หนานหว่านเยียนรีบเร่งนั่งลงภายในตำหนักหย่างซิน ลูบไล้ปลอบโยนลูกน้อยภายในท้อง รอคอยจนกระทั่งอาการปวดทุเลาดีขึ้นแล้ว นางจึงค้ำยันบั้นเอวลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกห้องโถงใหญ่
นอกตำหนัก ฟิงยางกำลังรอคอยหนานหว่านเยียนอยู่ตลอดมา เมื่อครู่นี้ตอนที่เห็นกู้โม่หานสีหน้าหมองคล้ำเดินออกมานั้น นางก็พลอยตื่นเต้นไปด้วยแล้วอยู่ครู่หนึ่งเช่นกัน
แต่นางทราบว่าตอนนี้หนานหว่านเยียนจะต้องอารมณ์ไม่ดีนักอย่างแน่นอน ดังนั้นเฟิงยางจึงมิได้เข้าห้องโถงไปรบกวนตลอดมา
เวลานี้ เห็นหนานหว่านเยียนสายตาก้มต่ำเดินออกจากห้องโถงอย่างช้าๆ สีหน้ามิแสดงออกถึงอารมณ์ความรู้สึกใดๆ แต่เห็นได้ชัดว่าสีหน้าซีดเผือดอยู่บ้างเล็กน้อย
พลันเฟิงยางรู้สึกปวดใจจนยากทนทาน รีบเดินเข้าไปประคองหนานหว่านเยียน กระซิบถามข้างหูนางว่า “จวิ้นจู่ ท่านรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง?”
หนานหว่านเยียนส่ายหัวอย่างไร้เรี่ยวแรงพูดว่า “มิมีเรื่องใด กลับตำหนักหยูซินกันเถอะ”
ตอนนี้ศักดิ์ฐานะของนางเปิดเผยแล้ว นางก็ไม่มีความจำเป็นต้องซ่อนเร้นอะไรอีกต่อไปแล้วเช่นกัน นอกจากนี้ไท่เฟยก็ได้ล่วงรู้ศักดิ์ฐานะของนางแล้ว คิดว่าอีกสักครู่ก็จะแวะไปหานางเช่นกัน
เฟิงยางเห็นหนานหว่านเยียนมิต้องการพูดอะไรมาก นางก็มิเอ่ยปากถามเช่นกัน พยักหน้าอย่างเงียบงัน ประคองหนานหว่านเยียนเร่งรุดไปตำหนักหยูซิน
ตอนที่เดินมาได้ครึ่งทางนั้น หนานหว่านเยียนนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงสั่งให้เฟิงยางรุดไปจัดการเรื่องราว แล้วตนเองกลับไปตำหนักหยูซินตามลำพัง
ขณะเดียวกัน ณ บริเวณหน้าตำหนักหยูซิน
เซียงอวี้และเซียงเหลียนยังมิทราบว่าไป๋จื่อก็คือหนานหว่านเยียนนั่นเอง พี่น้องสองสาวทราบแต่เพียงว่าเวลานี้กู้โม่หานเนื่องเพราะไป๋จื่อผู้นี้ แม้แต่คำพูดของทุกคนก็ยังมิยอมรับฟังแล้ว
เซียงอวี้กระทืบเท้าอย่างเดือดดาล “เสียแรงที่ข้าคิดว่านางจะล่วงรู้กระจ่างเข้าใจด้วยตนเอง คิดมิถึงว่านางออกจากวังไปแล้วยังถูกพากลับเข้ามาอีก อีกทั้งยังทำให้ฮ่องเต้ลุ่มหลงนางหัวปักหัวปำจนโงหัวไม่ขึ้น ดูแล้วฝีมือวิธีการช่างสูงส่งลึกล้ำนัก”
แม้แต่เซียงเหลียนที่หนักแน่นรักสงบตลอดมาก็ยังนั่งไม่ติดอยู่บ้างแล้ว พยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึมหนักใจ
“จริงด้วยสิ ไป๋จื่อผู้นี้ ตอนแรกข้าเพียงแค่คิดว่า นางคงมิสามารถก่อปัญหาสร้างความวุ่นวายน่ารำคาญอันใดขึ้นมา กลับคิดมิถึงว่า ฮ่องเต้กลับละเมิดกฎระเบียบเพื่อนาง ให้ทุกคนปฏิบัติต่อนางด้วยพิธีการเช่นเดียวกับฮองเฮา ซึ่งมิเคยได้ยินมาก่อนด้วยซ้ำ”
เซียงอวี้ยิ่งคิดก็ยิ่งบันดาลโทสะ อีกทั้งแค้นใจที่มิสามารถตะเพิดขับไล่ไป๋จื่อออกไปจากวังโดยตรง “พี่สาวท่านอย่าได้กล่าวแล้ว ยิ่งพูดข้าก็ยิ่งรู้สึกโมโหขึ้นมา!”
“คนลักษณะเช่นนี้ผู้หนึ่ง กลับยึดครองตำแหน่งฮองเฮาเหนียงเหนียงพวกข้าไปแล้วอย่างไร้เหตุผล ครั้งต่อไปถ้านางมาหาองค์หญิงอานผิงในตำหนักหยูซินอีก ข้าจะต้องตักเตือนนางเป็นอย่างดี ไม่ว่านางจะมีความคิดเช่นใด ล้วนมิอนุญาตให้นางคิดหมายปองต่อองค์หญิง!”
องค์หญิงอานผิงเป็นญาติเพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ในโลกหล้าของฮองเฮาเหนียงเหนียงแล้ว มิอาจให้ผู้อื่นข่มเหงรังแกคิดการวางแผนต่อองค์หญิงอย่างเด็ดขาด!
ครั้งนี้เซียงเหลียนมิได้ตำหนิเซียงอวี้ แต่คอยรับฟังอย่างเงียบสงบ ภายในใจนางก็รู้สึกย่ำแย่อย่างยิ่งเช่นเดียวกัน
ขณะพี่น้องสองสาวกำล้งเจ็บแค้นในความอยุติธรรมแทนหนานหว่านเยียนอยู่นั่นเอง ดวงตาเซียงเหลียนเฉียบคม พลันนางก็มองเห็นเงาร่างสายหนึ่งกำลังใกล้เข้ามาอย่างช้าๆ จากที่ไม่ไกลนัก
พระอาทิตย์หลังเที่ยงวันกำลังแผดแสงแรงกล้า เจิดจ้าจนนางมองมิชัดเจนอยู่บ้าง นางจึงได้แต่สะกิดเซียงอวี้ที่อยู่ด้านข้าง “เจ้าดูซิว่า ใช่เป็นไป๋จื่อผู้นั้นรุดมาแล้วหรือไม่?”
เซียงอวี้ก็เห็นมิชัดเจนนักเช่นกัน แต่เมื่อได้เห็นเครื่องแต่งกายของผู้มาเยือนธรรมดาสามัญทั่วไป ก็แน่ใจในชั่วพริบตาว่าเป็นไป๋จื่อรุดมาแล้ว
นางพับแขนเสื้อขึ้นมา กัดฟันเล็กน้อยด้วยความโกรธเคือง “พูดถึงโจโฉโจโฉก็มาถึง พี่สาวท่านรอคอยอยู่ในที่นี้ คอยดูว่าข้าจะสั่งสอนบทเรียนนางให้หนำใจอย่างใด!”
พูดพลาง เซียงอวี้ก็มุ่งหน้าวิ่งไปยังทิศทางของเงาร่างนั้นแล้ว
เซียงเหลียนกระซิบเสียงค่อยคำหนึ่ง “เจ้าจะต้องมีความยับยั้งชั่งใจด้วย เวลานี้ไป๋จื่อเป็นคนที่ฮ่องเต้ปกป้องอยู่”
“ข้าทราบแล้วล่ะ!” เซียงอวี้โบกมือไหวๆ ดวงตาทั้งสองถลึงมองจนเบิกกว้าง เดินรวดเร็วยิ่งขึ้นแล้วด้วยความเดือดดาล
คนที่ฮ่องเต้ปกป้องอันใดกัน ยังมิใช่ใช้กลอุบายหลอกลวงฮ่องเต้แล้วหรอกหรือ
นางเองมิสามารถกระทำเรื่องราวที่ทำร้ายผู้อื่นได้ แต่ก็มิอาจปล่อยให้ผู้อื่นมารังแกถึงบนศีรษะอย่างเด็ดขาดเช่นกัน โดยการวาดมือวางเท้าสำแดงความแข็งแกร่งตรงหน้า!
วิ่งเข้าไปใกล้แล้ว ยังมิทันเห็นใบหน้าไป๋จื่อชัดเจน นางก็ชี้นิ้วใส่จมูกหนานหว่านเยียนโดยตรง แล้วพูดเอ็ดตะโรเสียงดังลั่นขึ้น “เจ้า เจ้าอย่าได้คิดอาศัยความโปรดปรานรักใคร่ของฮ่องเต้ ก็จะสามารถแทนที่ตำแหน่งของฮองเฮาเหนียงเหนียงพวกข้า หากเจ้าต้องการเป็นเหนียงเหนียง เช่นนั้นก็จงไปที่ตำหนักบรรทมของเจ้าเอง อย่าได้คิดยึดครองตำหนักบรรทมของฮองเฮาเหนียงเหนียง……”
คำพูดยังมิทันได้พูดจบลง เซียงอวี้มองเห็นหนานหว่านเยียนที่ก้าวย้อนทวนแสงเดินมานั้น ก็ตะลึงงันยืนอยู่กับที่ไปแล้วในชั่วพริบตา
นางกระพริบตาแล้วกระพริบอีก อารมณ์การแสดงออกตั้งแต่สะท้านตระหนกตกใจจนถึงส่งเสียงร่ำไห้โฮออกมานั้น ใช้เวลาเพียงครู่เดียวเท่านั้น “ฮองเฮาเหนียงเหนียง?!”
เซียงอวี้ตะลึงงันไปแล้ว มองดูสตรีโฉมสะคราญผู้สง่างามสูงส่งดุจดวงดาวที่อยู่เบื้องหน้า ออกแรงขยี้ตาซ้ำแล้วซ้ำเล่า “เหนียงเหนียง ท่าน ท่านหาได้เสียชีวิตไม่? หรือเป็นเพราะว่า หรือเป็นเพราะว่าบ่าวคิดถึงท่านมากเกินไปแล้ว จึงเกิดเป็นภาพหลอนเงามายาแล้ว?”
หนานหว่านเยียนมองเด็กสาวตัวน้อย ที่แสดงอารมณ์ความสุขโกรธเคืองออกมาจนหมดสิ้นตรงหน้าแล้ว มีความรู้สึกที่หัวเราะมิออกร่ำไห้มิได้อยู่บ้าง
ความรู้สึกอึดอัดใจที่ทะเลาะโต้เถียงครั้งใหญ่กับกู้โม่หานมารอบหนึ่งเมื่อครู่นี้ ก็ยังถูกนางลดทอนลงไปชั่วคราวแล้วเช่นกัน
นางเชิดริมฝีปากขึ้น รอยยิ้มอันสดใสสวยงามเปี่ยมสเน่ห์นั้น เพียงพอทำให้แม้แต่ดอกไม้แห่งคิมหันตฤดู(ฤดูร้อน)บริเวณโดยรอบก็ยังต้องหมองหม่นขาดสีสัน “เจ้าพิสูจน์ยืนยันดูซิว่า ใช่เป็นภาพหลอนเงามายาหรือไม่?”
เซียงอวี้พูดอย่างไม่แน่ใจอยู่บ้างว่า “บ่าว บ่าวสามารถ สามารถสัมผัสท่านสักคราหนึ่งหรือไม่?”
หนานหว่านเยียนพยักหน้าแสดงว่าอนุญาตโดยปริยาย เซียงอวี้จึงได้ยื่นนิ้วมือออกไปลองสะกิดตัวของหนานหว่านเยียนอย่างระมัดระวัง
เป็นสัมผัสอันนุ่มนวล และก็ยังมีความอบอุ่น กลับ กลับเป็นคนที่มีชีวิตอยู่จริงๆ ด้วย!
น้ำตาของเซียงอวี้แทบทะลักออกมา นางร่ำไห้พลางเดินไปข้างหน้า ดึงแขนเสื้อของหนานหว่านเยียนเอาไว้ หลั่งน้ำมูกและน้ำตาจนนองหน้า “โฮ——ฮองเฮาเหนียงเหนียง! ท่าน ท่านในที่สุดก็กลับมาแล้ว!”
“ท่านทราบหรือไม่ว่า สองเดือนมานี้ พวกบ่าวผ่านไปด้วยความยากลำบากมากเพียงใด วันเวลาที่มิมีท่านอยู่ ภายในตำหนักหยูซินขาดเสียงหัวเราะเบิกบานสำราญใจ ช่างเงียบเหงาอ้างว้างมากเพียงใดนะเนี่ย!”
หลังจากนั้นนางนึกถึงสิ่งใดขึ้นมาได้ ลดเสียงให้ค่อยลงแล้ว สีหน้าเต็มเปี่ยมด้วยความขุ่นเคืองมิพอใจพูดว่า “นอกจากนี้ นอกจากนี้ท่านพูดไว้มิมีผิด บุรุษล้วนเป็นคนเนรคุณไร้คุณธรรม ท่านมิทราบหรอกว่า หลังจากที่ท่านได้จากไปแล้ว หลายวันมานี้พลันปรากฏไป๋จื่อขึ้นมาคนหนึ่ง”
“ไป๋จื่อผู้นั้นเนื่องเพราะมีส่วนคล้ายท่านอยู่บ้างครึ่งหนึ่ง ฮ่องเต้จึงได้ทรงโปรดปรานรักใคร่นางเป็นพิเศษ ตลอดจน ตลอดจนแทบจะแทนที่ตำแหน่งของท่านไปแล้ว!”
“ฮองเฮาเหนียงเหนียง ตอนนี้ท่านกลับมาแล้ว มิอาจให้นางเป็นนกพิราบยึดครองรังนกกางเขนอย่างเด็ดขาด!”
(นกพิราบยึดครองรังนกกางเขน นกพิราบทำรังไม่เป็นและมักใช้กำลังเข้ายึดครองรังของนกกางเขน ต่อมาภายหลังอุปมา เป็นการเข้าครอบครองที่อยู่อาศัย ที่ดิน ธุรกิจการค้าของผู้อื่น)
หนานหว่านเยียนเผชิญกับการกล่าวโทษของเซียงอวี้ พลันความรู้สึกอับจนปัญญาก็ท่วมท้นขึ้นมาในใจทันใด
หากนางบอกให้นังหนูโง่งมคนนี้ทราบว่า ตนก็คือไป๋จื่อนั่นเอง ยังมิทราบเลยว่าเซียงอวี้จะมีปฏิกิริยาตอบสนองลักษณะเช่นใดบ้าง
แต่ว่านางยังมิทันได้มีเวลาเอ่ยปาก เซียงเหลียนที่อยู่หน้าประตูตำหนักหยูซินพบว่ามีบางสิ่งบางอย่างมิถูกต้อง ก็เร่งรุดเข้ามาแล้วเช่นกัน
เซียงเหลียนเห็นเซียงอวี้ร่ำไห้แล้วตั้งแต่ไกล ยังคิดว่านางได้รับความคับแค้นใจแล้วเสียอีก ผลปรากฏว่าเมื่อเข้าใกล้มาดูคราหนึ่ง นางก็รู้สึกขนลุกซู่ไปตลอดทั่วทั้งร่างกายนางแล้ว
“ฮองเฮาเหนียงเหนียง?!”
เซียงเหลียนแสดงอาการสะท้านขวัญตระหนกตกใจอย่างใหญ่หลวงถึงเพียงนี้ซึ่งหาได้ยากยิ่งนัก นางอ้าปากค้างจนกว้างจ้องมองดูหนานหว่านเยียน ยามกะทันหันมิทราบสมควรพูดอะไรดี
ฮองเฮาเหนียงเหนียงมิใช่เสียชีวิตในอัคคีภัยครั้งใหญ่แล้วหรือ? บัดนี้ไฉนจึงมีชีวิตรอดกลับมาแล้วอีกล่ะ?
เสียงสะอึกสะอื้นร่ำไห้ของเซียงอวี้ดังขึ้นมิหยุดหย่อน หนานหว่านเยียนมองดูพี่น้องสองสาวคู่นี้ แล้วยิ้มขึ้นอย่างอับจนปัญญาและรู้สึกปวดใจอยู่บ้าง
“อืม เป็นข้าเอง”
เซียงเหลียนรู้สึกว่าเหลือเชื่อ “ท่าน ท่านกลับวังมาตั้งแต่เมื่อใด?”
และยามนี้เอง ไท่เฟยก็เร่งรุดมาพร้อมกับหวางหมัวมัวแล้ว
หลังจากทราบว่ากู้โม่หานและหนานหว่านเยียนในตำหนักหย่างซินแยกกันอย่างบาดหมางแล้ว ไท่เฟยก็รีบเร่งรุดมาหา ต้องการไต่ถามความนัยกับหนานหว่านเยียนให้กระจ่าง และฉวยโอกาสบอกข้อมูลข่าวสารบางอย่างให้นางทราบ
เมื่อมาถึงก็เห็นเซียงอวี้และเซียงเหลียนห้อมล้อมหนานหว่านเยียนเอาไว้ถามโน่นถามนี่ นางก้าวเท้าเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว ยิ้มพลางเอ่ยปากพูดขึ้นว่า
“ฮองเฮาก็คือไป๋จื่อ นางเข้าวังมาแต่แรกแล้ว……”