ยากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ นิยาย บท 713
ขันทีหนุ่มทั้งสามกลัวจนเลือดทั่วร่างกายไหลย้อนกลับ เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาที่โหดเหี้ยมอำมหิตของกู้โม่หาน ก็คุกเข่าลงกับพื้นทันที เหยื่อเย็นเยียบเปียกชุ่มเสื้อผ้า
“ฝ่า ฝ่าบาทได้โปรดไว้ชีวิต! ข้าน้อยไม่กล้าอีกแล้ว!”
เฉินกงกงที่ยืนถัดจากกู้โม่หานตวาดอย่างดุดัน “ยังมีหน้ามาขอความเมตตาอีก ทหาร เข้ามาลากพวกเขาทั้งสามออกไป เอาไปประหารชีวิต!”
เด็กหนุ่มกลุ่มนี้ ถ้ากลับไปแอบพูดคุยกันที่ห้องก็ว่าไปอย่าง แต่ดันมาพูดอย่างเปิดเผยในอุทยานหลวง ไม่รู้จริงๆ หรือนี่คือแตะต้องต่อมโมโหของใคร?
ขันทีทั้งสามตกใจจนน้ำตาไหล องครักษ์กำลังจะพาตัวพวกเขาไป
แต่กู้โม่หานกลับมองลงไปที่พวกเขาทั้งสามด้วยสายตาที่เล็กเรียวและเย็นชา “เมื่อครู่พวกเจ้าบอกว่า คนมากมายในวังกำลังเดิมพันกันหรือ?”
เหล่าองครักษ์หยุดการกระทำทันที แต่เหล่าขันทีจะกล้าตอบได้อย่างไร พวกเขากำลังฉี่ราดกางเกง เฉินกงกงยังเตะอีกหลายครั้งด้วยความโกรธ “ตอบมา! เมื่อครู่ยังพูดเก่งอยู่เลยไม่ใช่หรือ ทำไมตอนนี้ถึงเป็นใบ้กันไปหมดล่ะ?”
เหล่าขันทีตัวสั่นพลางกล่าวว่า “ทูล ทูลฝ่าบาท ในวังหลัง มีคนมากมายกำลังพูดคุยเรื่องนี้จริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าน้อยก็เหมือนกัน สติเลอะเลือนเหมือนถูกผีเข้าสิง ถึงได้…โอ๊ย!”
ยังพูดไม่ทันจบ คนผู้นี้ก็ถูกกู้โม่หานเหยียบฝ่ามืออย่างโหดร้าย ออกแรงบดขยี้ไปบนพื้น
คิ้วและดวงตาของเขาเหมือนมีด อากาศเย็นรอบตัวสามารถแช่แข็งหัวใจของผู้คนได้ “ถกกันเรื่องความขัดแย้งภายในวังโดยไม่ยั้งคิด ยังมองเป็นช่องทางหาเงินอีก มือควรสงวนไว้สำหรับผู้ที่มีประโยชน์เท่านั้น มือคู่นี้ของเจ้า ไม่เอาก็ดี”
เสียงร้องแหลมของขันทีดังกึกก้องไปทั่วอุทยานหลวง ส่วนอีกสองคนก็หวาดกลัวจนแทบจะเป็นลม
กู้โม่หานกลับไม่ได้ยกเท้าขึ้น ความชั่วร้ายและเจตนาฆ่าในดวงตาแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
“คนทั้งสามนี้ฝ่าฝืนกฎของวัง ถูกลงโทษโบยห้าสิบไม้ ถูกขับไล่ออกจากวัง เนรเทศไปยังชายแดนทันที”
“สำหรับคนอื่นๆ ถ้ายังกล้าวิจารณ์คุณหนูแม้เพียงครึ่งคำ ก็จะโดนโทษหนักเช่นกัน!”
ตายไปจะมีประโยชน์อะไร ตายไปทุกอย่างก็จบลงไปด้วย ไม่ได้รับผลจากการลงโทษ ไม่ได้เรียนรู้จากบทเรียน!
ขันทีทั้งสามยิ่งร้องไห้หนักขึ้น แม้ว่าจะรอดจากโทษหนักนี้ แต่ก็ไม่ง่ายเหมือนตายไปเลย การมีชีวิตอยู่มันเจ็บปวดเกินไป!
“ฝ่าบาท ฝ่าบาทได้โปรดไว้ชีวิต…”
เสียงของกู้โม่หานอู้อี้ “ฮองเฮาของข้า จะมีเพียงหนึ่งเดียวตลอดไป เข้าใจกันหมดหรือยัง?”
“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว” เฉินกงกงไม่กล้าพูดอะไรมาก รีบตอบรับอย่างสั่นเทา เมื่อมองไปที่ด้านหลังของกู้โม่หานสะบัดแขนเสื้อจากไป รู้สึกเพียงขาทั้งสองอ่อนแรงจนแทบจะยืนไม่อยู่
แม้จะบอกว่าฮ่องเต้ทำเพื่อเชือดไก่ให้ลิงดู แต่เห็นได้ชัดว่าการที่ฮ่องเต้เล่นใหญ่ในเรื่องนี้ ก็เพราะให้ความสำคัญกับฮองเฮาเหนียงเหนียง
เขาจำเป็นต้องทำให้เหล่านางกำนัลและขันทีในวังปากมากเหล่านั้นปิดปากให้สนิท!
เฉินกงกงจัดการเรื่องต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในไม่ช้าข่าวก็แพร่สะพัดไปทั่วทั้งวังหลังว่า กู้โม่หานได้ลงโทษขันทีปากมากทั้งสามในอุทยานหลวงแล้ว
ไม่จำเป็นต้องพูด ทุกคนก็เข้าใจว่า ฮองเฮาเพียงหนึ่งเดียวจากคำพูดของกู้โม่หาน ต้องเป็นหนานหว่านเยียนแน่นอน
นับแต่นี้เป็นต้นไป ทุกคนต่างหายใจไม่ทั่วท้อง ไม่กล้าพูดอะไรมากอีกแล้ว
แต่หนานหว่านเยียนกลับไม่รู้ว่าผู้คนที่อยู่นอกตำหนักต่างอกสั่นขวัญแขวน พูดคุยกับเท่เฟยในตำหนักหยูซินอย่างมีความสุข
นางยังตรวจชีพจรให้เท่เฟย แล้วเขียนใบสั่งยาเพื่อบำรุงสุขภาพด้วย
หลังจากที่เท่เฟยไปแล้ว หนานหว่านเยียนยังไม่มีเวลาพูดคุยกับพี่เซียงอวี้มากนัก หลี่หมัวมัวก็เข้ามา
หลี่หมัวมัวมองใบหน้างดงามจับใจผู้คนของหนานหว่านเยียน สีหน้าซับซ้อนอย่างบอกไม่ถูก ถึงขั้นรู้สึกผิดและโทษตัวเอง
“ฮองเฮาเหนียงเหนียง…”
หนานหว่านเยียนยิ้มให้นาง “หลี่หมัวมัว เสด็จย่าตามหาข้าหรือ?”
หลี่หมัวมัวหลุบตาลง ไม่กล้ามองหนานหว่านเยียนตรงๆ “ฮองเฮาเหนียงเหนียงเฉลียวฉลาด กรุณาตามบ่าวไปที่ตำหนักหลวนเฟิ่งด้วยเถิด”
ก่อนหน้านี้ นางและเสด็จย่าทวดปล่อยให้ฮองเฮาเหนียงเหนียงทำเรื่องร้ายแรง!
ทำให้ฮองเฮาเหนียงเหนียงหาผู้หญิงให้ฮ่องเต้ด้วยตัวเอง มันช่าง…
ตอนนี้รู้แล้วว่าไป๋จื่อก็คือฮองเฮาเหนียงเหนียง นางยังคงรู้สึกใจคอไม่ค่อยดี
หนานหว่านเยียนมองเห็นความชอบยั่วเย้าของหลี่หมัวมัวแต่กลับเงียบไว้ เพียงแค่ยิ้มบางๆ เดินตามหลี่หมัวมัวไปที่ตำหนักหลวนเฟิ่ง
เมื่อเข้าไปในตำหนัก หนานหว่านเยียนก็เห็นเสด็จย่าทวดนั่งอยู่ในตำหนักใหญ่ด้วยสีหน้าห่อเหี่ยว
จอนผมทั้งสองข้างของนางมีสีค่อนข้างเทา ดวงตาคู่นั้นจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ เพียงแต่ในแววตาเผยให้เห็นความสิ้นหวังและรู้สึกผิด
ในใจของหนานหว่านเยียนรู้สึกเจ็บแปลบ แต่ไม่นานนางก็จัดการอารมณ์ได้เรียบร้อย แล้วโค้งคำนับเสด็จย่าทวดด้วยความเคารพ “เยียนเอ๋อร์คารวะเสด็จย่า”
เมื่อได้ยินเสียงที่ไพเราะของหนานหว่านเยียน เสด็จย่าทวดก็ได้สติกลับมาทันที พลางหันไปมองหนานหว่านเยียนด้วยสายตาคลุมเครือ
นางเห็นหนานหว่านเยียนยิ้มน่ารัก คิ้วและดวงตาที่คุ้นเคย เช่นเดียวกับใบหน้าอันงดงาม ล้วนทำให้หัวใจของนางสั่นไหว
หลังจากตกตะลึงอยู่เป็นเวลานาน ดวงตาของนางก็แดงก่ำด้วยความเจ็บปวด แต่ไม่พูดอะไรไม่ออกสักคำ “เยียนเอ๋อร์ เจ้า…”
ในขณะที่นางได้ยินข่าวก่อนหน้านี้ นางยังไม่อยากจะเชื่อเลย
ตอนนี้ได้เห็นตัวจริงแล้ว ในหัวใจของคนชราอย่างนาง มีห้ารสชาติที่ผสมผสานกันอย่างบอกไม่ถูก ทั้งดีใจและอึดอัดปะปนกัน
จู่ๆ หนานหว่านเยียนก็คุกเข่าให้เสด็จย่าทวดด้วยความเคารพ
เมื่อเห็นดังนั้น เสด็จย่าทวดก็รีบลุกขึ้นเข้าไปประคองนาง “เยียนเอ๋อร์ เจ้าทำอะไรน่ะ! รีบลุกขึ้น!”